หนึ่งในพืชที่หายากที่สุดในโลก

Jellyfish tree



Jellyfish tree มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Medusagyne oppositifolia เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองบนเกาะมาฮี บริเวณพื้นที่ของประเทศเซเชลส์ ในมหาสมุทรอินเดีย ในอดีตเคยคิดว่ามันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ลักษณะที่โดดเด่นอยู่บริเวณผลของมันที่มีลักษณะคล้ายกับแมงกะพรุนจึงกลายเป็นที่มาของชื่อ ปัจจุบันมีต้นแมงกะพรุนหลงเหลืออยู่บนโลกเพียง 86 ต้น   สาเหตุที่มีมีชื่อว่าต้นแมงกะพรุนเพราะว่า ผลของมันที่คล้ายกับแมงกะพรุนนั่นแหละ 

ต้นแมงกะพรุนนั้นเป็นต้นไม้ขนาดเล็กสูงประมาณ 10 เมตร มีใบหน้าแน่น ดอกสีขาว ปัจจุบันมันเป็นต้นไม้ที่ได้รับความคุ้มครองจาก Morne Seychellois National Park อุทยานแห่งชาติในประเทศเซเชลส์
ขอบคุณที่มา: https://www.xn--12c1bij4d1a0fza6gi5c.com/jellyfish-tree.html
ที่มา : สำรวจโลก
Cr.https://th-th.facebook.com/samrujlok/posts/10153629811902226




Rhizanthella gardneri 



เรียกกันอีกชื่อว่า Western Underground Orchid (กล้วยไม้ใต้ดินทางตะวันตก) เป็นพืชวงศ์กล้วยไม้หนึ่งในพืชที่หายากที่สุดในโลกพบเฉพาะในพื้นที่ รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียประเทศออสเตรเลียที่เดียวเท่านั้น และจะมีกลิjนที่หอมมากๆ

กล้วยไม้ชนิดนี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 1928 โดยนายJack Trott ใบของกล้วยไม้ถูกสร้างขึ้นจากลำต้นใต้ดิน(หัว) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตดอกกล้วยไม้ด้วย และใบจะอยู่อย่างสมบูรณ์ใต้ดินตลอดชีวิตของมัน ไม่สามารถสังเคราะห์พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ จึงใช้เชื้อราไมคอไรซาในการสังเคราะห์แสงแทน 

ดอกกล้วยไม้จะบานในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนและกล้วยไม้1ช่อดอกมีขนาด 2.5-3 ซม. มีดอกขนาดเล็กสีแดงเข้มประมาณ 8-90 ดอก รวมกันอยู่เป็นกระจุกที่ฐานของกลีบเลี้ยงที่มีรูปคล้ายระฆัง มีกลีบเลี้ยงทำหน้าที่คุ้มกันอันตรายให้แก่ตัวดอกในขณะที่มันเจริญเติบโตจากส่วนลึกของใต้ดิน Rhizanthella gardneri จะสามารถขยายพันธุ์โดยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยแมลงใต้ดิน เช่น ปลวกในการช่วยผสมเกสรดอกไม้ มันจะส่งกลิ่นหอมพอล่อปลวกมาผสมเกสร ฝักจะแก่ในเวลาประมาณ 6 เดือน

ปัจจุบันมีการสำรวจและคาดว่ากล้วยไม้ดินสุดหายากนี้หลงเหลืออยู่ในธรรมชาติเพียงแค่ราว 300 ต้น เท่านั้น ซึ่งนับว่ามันน้อยมาก จึงไม่แปลกที่มันจะเป็นหนึ่งในพืชที่หายากที่สุดในโลกอีกชนิดหนึ่ง
Cr.ภาพ
http://goo.gl/2fkFH3
http://goo.gl/U4RVlk
https://goo.gl/9f7oqT
http://goo.gl/su8cO9
Cr.https://www.facebook.com/ChumchnKhnRaksPhrrnMi/posts/1138459632843060/




Anogramma ascensionis



เฟิร์นพาร์สลีย์ อัสเซนชัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anogramma ascensionis เป็นพืชเฉพาะที่สามารถพบได้บนเกาะอัสเซนชัน ซึ่งเป็นดินแดนของสหราชอาณาจักรในมหาสมุทรแอตแลนติก 
เป็นเวลากว่า 50 ที่เชื่อว่ามันเป็นพืชที่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว จนกระทั่งปี 2009 นักพฤกษศาสตร์ได้ค้นพบอีกครั้ง และนำสปอร์ของมันเพาะพันธุ์ภายในสวนพฤกษศาสตร์รอยัล ประเทศอังกฤษ และคาดว่ามีเฟิร์นพาร์สลีย์ อัสเซนชันจำนวน 40 ต้นที่เติบโตอยู่ในป่าตอนนี้
Photo : Reinhard Mischke
Cr.http://www.nextsteptv.com/anogramma-ascensionis-หนึ่งในพืชที่หายากท/





Strangler fig 



Strangler fig คือกาฝากชนิดหนึ่ง เป็นไม้เถาวัลย์อาศัยดูดซับสารอาหารจากต้นไม้อื่นและเจริญเติบโตขึ้นอย่าง ช้าๆ เหมือนกาฝาก แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก พอๆกับต้นที่มันเกาะอาศัยอยู่ทีเดียว รากของมันไม่ได้แค่เกาะไปกับต้นไม้ที่มันอาศัย แต่จะพันรัดไปรอบทั้งลำต้นเลยทีเดียว จนในที่สุดโอบรัดต้นไม้ใหญ่และสังหารต้นที่มันอาศัยเสีย เมื่อตัวมันเติบโตเต็มที่ ทำให้ได้ฉายา Strangler (สแทรงเกลอร์ฟิก) หรือนักบีบรัด นั่นเอง ที่จริงพฤติกรรมโหดๆแบบนี้ ไม่น่าหายาก หรือใกล้สูญพันธ์เลยนะ
Cr.https://sites.google.com/site/10phanthuthihayakthisudnilok/9-strangler-fig




Puya berteroniana



Puya berteroniana หรือ Puya chilensis   ดอกไม้สุดแปลกแห่งชิลี
ดอกไม้ชนิดนี้เป็นพืชพื้นเมืองในประเทศชิลี ลำต้นมีความสูง 3-4 เมตร เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศหนาว ที่ระดับความสูง 500-2000 เมตรลักษณะช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 1.5 เมตร ลักษณะของดอกมีสีฟ้าอมเขียวแปลกตา มีกลีบดอก 3 กลีบ เกสรตรงกลางเป็นสีส้ม มีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่หนามแหลมสีสดสุดอันตราย   และถือได้ว่าเป็นหนึ่งในพืชที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

สิ่งที่ทำให้ทำให้พืชชนิดนี้มีชื่อเสียงที่สุดนั้น คือเป็นพืชที่มีความสามารถในการ “จับแกะกิน” ได้   ความสามารถสุดแปลกของต้นไม้ต้นนี้เกิดขึ้นจากการต้น Puya chilensis มักจะเต็บโตอยู่ที่แถบเทือกเขาแอนดิสที่มีสารอาหารในดินเพียงอย่างเดียว บางครั้งก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของต้นไม้ต้นนี้
 
ดังนั้นต้น Puya chilensis จึงใช้หนามของมันในการเกี่ยวขนสัตว์ที่หลงเข้ามาใกล้ไม่ให้ไปไหน จนทำให้สัตว์ที่เป็นเหยื่อบาดเจ็บและอดตาย ก่อนที่ต้น Puya chilensis จะสูบเอาสารอาหารที่จำเป็นมาจากซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยลงบนดินต่อไป

และดอกของต้น Puya chilensis มีรูปร่างงดงามแปลกตามาก จนมีคนหลายกลุ่มพยายามที่จะนำมันมาเพาะปลูกเพื่อดอกสวยของมัน
Photo:commons.wikimedia
ที่มา สำรวจโลก
ที่มา  businessinsider, theweek และ thesun
Cr.https://www.facebook.com/samrujlok/photos/puya-berteroniana-ดอกไม้สุดแปลกแห่งชิลีดอกไม้ชนิดนี้เป็นพืชพื้นเมืองในประเทศชิลี/10157327157412226/
Cr.https://www.catdumb.tv/puya-chilensis-378/By เหมียวศรัทธา





“ชมพูภูคา” 



(ดอกชมพูภูคา (ปี 63) ดอกไม้สุดหายากของโลก (ภาพ : อช.ดอยภูคา โดย : รัตนาพันธุ์ แก้วกันทา))

ต้นชมพูภูคาในอดีตเคยถูกพบมากบริเวณผืนป่าพรมแดนระหว่างจีนและเวียดนาม ภายหลังป่าบริเวณดังกล่าวถูกทำลายไปหมด จึงถูกคาดว่าสูญพันธุ์ไปจากโลก แต่กลับถูกค้นพบที่ประเทศไทยแห่งเดียวในโลกเท่านั้น

“ชมพูภูคา” เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่หาได้ยากและใกล้สูญพันธุ์ ชมพูภูคาจะขึ้นอยู่ในบริเวณป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 1,200-1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนใหญ่แล้วจะพบในบริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน ภาคเหนือของเวียดนาม ไต้หวัน และไทย โดยในประเทศไทยพบที่ดอยภูคา จ.น่าน

อย่างไรก็ดีพบว่าภายหลังป่าบริเวณที่มีต้นชมพูภูคาในต่างประเทศถูกทำลายไปหมด จึงคาดว่าต้นชมพูภูคาอาจสูญพันธุ์ไป ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลระบุว่าพบต้นชมพูภูคาที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน ประเทศไทย เพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น

ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ที่ต้นชมพูภูคาจะเจริญเติบโต จะมีร่มเงาของไม้ใหญ่หนาทึบ มีอากาศหนาวเย็น มีความชุ่มชื้นสูง มีเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี จึงถือว่าระบบนิเวศของชมพูภูคามีความเปราะบางมาก

นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ต้นชมพูภูคากลายเป็นพรรณไม้หายาก เนื่องจากในเมล็ดของชมพูภูคามีเมือกสำหรับยับยั้งการเจริญเติบโต อีกทั้งระบบนิเวศของป่าดิบเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทำให้มีการขยายพันธุ์ได้ยาก
 
ทุก ๆ ปี ต้นชมพูภูคาที่ดอยภูคา จ.น่าน จะออกดอกบานระหว่างช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งภาพดอกชมพูภูคาบานนั้นหาชมได้ยากมาก โดยดอกชมพูภูคาจะออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ตัวดอกมีสีชมพู เมื่อบานดอกจะชิดกันแน่น ทำให้ดูเป็นพุ่มสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมได้ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน
ที่มา Youtube :Travel MGR
Cr.https://mgronline.com/travel/detail/9630000012163 / โดย: ผู้จัดการออนไลน์





Rheum nobile



ดอกชนิดนี้มีชื่อว่า Rheum nobile หรือ rhubarb เป็นพืชสมุนไพรยักษ์ที่หายากมาก มีถิ่นกำเนิดของเทือกเขาหิมาลัยจากทางตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถานทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านปากีสถาน อินเดีย เนปาล ภูฏานและทิเบตไปยังพม่า เกิดขึ้นในเขตอัลไพน์ที่ระดับความสูง 4,000–4,800 เมตร มันสามารถเติบโตได้สูงถึง 1 ถึง 2 เมตร จะเติบโต เบ่งบานทุกๆ 45 ปี

ว่ากันว่า เพื่อความอยู่รอดที่ระดับความสูงมากกว่า 4,000 เมตร ดอกชนิดมักจะบานตั้งแต่มิถุนายนถึงกรกฎาคม และจะเกิดผลในเดือนกันยายน ที่สำคัญพืชชนิดต้องใช้เวลา 15 ถึง 45 ปีในการสะสมสารอาหารก่อนออกดอก "ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันจะเติบโตออกดอกเพียงครั้งเดียวในชีวิต"

ผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยว่า รากของมันมีฤทธิ์ใน ลดไ ข้ กำจัดความเมื่อยล้าในช่องท้อง,ห้ามเลือด ,ลดอาการบวม และในช่วงก่อนที่จะออกดอกนั้นมันจะมีลักษณะภายนอกเหมือนผักกาดขาว แต่หลังจากออกดอกมันจะเติบโตสูง 1.5 ถึง 2 เมตร หากมันเบ่งบานออกดอกนั่นก็หมายความว่ามันจะต้องตายในปีนี้ ฉะนั้นชาวจีนจึงอยากจะรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันอนุรักษ์พืชชนิดนี้ไว้ เพราะมันหายากมากจริงๆ 
ที่มา:teepr
แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR
Cr. http://www.liekr.com/post09091811013696


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่