- เริ่มแรกเรามีก้อนเล็กขนาด 1 ซม.ขึ้นที่คอ ใต้กรามด้านขวา เราเลยไปหาหมอที่ รพ.วิชัยเวช 2ครั้งๆ ที่ 2 หมอค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นมะเร็ง แนะนำให้เราไปรักษากับรพ.ต้นสังกัดเพื่อใช้สิทธิ์ลดปัญหาค่าใช้จ่าย คือรพ. ราชพิพัต (แต่เราย้ายบ้านมาอยู่นครปฐมฯ)
- เราได้ไปติดต่อกับรพ.ราชพิพัต ได้ถูกส่งตัวไปรักษาเบื้องต้นที่ รพ.ตากสิน ( คลองสาน) ไปหลายครั้งจนรู้ผลว่าเป็นมะเร็งที่โพรงจมูก ตอนมาที่นี่ก้อนโต 4ซม.แล้ว
- เรานำผลตรวจกลับมาที่รพ.ราชพิพัต อีกครั้ง คราวนี้คุณหมอท่านเดิม จึงส่งตัวเราไปรักษามะเร็งที่ รพ.วชิร (ข้ามสะพานซังฮี้ไป)
- เราได้รักษาด้วยการคีโม แต่ก่อนที่จะได้รักษานั้น เราผ่านการตรวจร่างกายต่างๆ มากมาย กว่าจะได้คีโม ซึ่งต้องใช้ความอดทนอย่างมาก การเดินทางจากบ้านไปรพ. ใช้เวลานานมาก จากร่างกายที่แข็งแรงเราเริ่มอ่อนเพลีย การใช้บริการ รพ.ของรัฐต้องใช้เวลารอนาน ต้องอดทน ซึ่งเรายอมทำตามทุกอย่างเพื่อให้ผ่านไปด้วยดี
- แล้วเราก็ได้คุยกับหมอที่จะรักษาเรา ด้วยคีโม คุณหมอพูดกับคนไข้ดีมากๆ อธิบายถึงวิธีรักษาว่าเราจะต้องรักษาอย่างไรบ้าง
- เราไปนอนที่รพ.ให้ยา ทั้งหมด 5 คืน 6 วัน เรามีอาการแพ้ยาในครั้งแรก จนกลับมาบ้าน ได้ 2วัน เราถ่ายท้อง แล้วเป็นลมล้มในห้องน้ำ จนหน้าแตก แต่ดีหัวไม่ฟาดพื้น ต้องไปนอนแอดมิทที่รพ.วิชัยเวชรักษาอาการท้องเสียและขาดวิตามินอย่างรุนแรง อยู่ 2คืน 3วัน กลับมาพักต่อที่บ้าน (ก้อนที่คอยุบไปเกือบหมดในครั้งแรกนี้)
- พอถึงวันนัดพบคุณหมอเราไปตามนัดอีกครั้ง และได้นอนที่รพ. ให้ยาต่อ ครั้งที่ 2 ครั้งนี้เรารู้สึกดีขึ้นที่คุณหมอเริ่มปรับยาบางตัวให้เข้ากับเรา ทำให้อาการคลื่นไส้ลดลงมาก แต่เราก็ยังทานอาหารได้ไม่มาก แต่เราก็พยายาม ได้ผลไม้ที่ลูกชายทำใส่กล่องจากบ้าน มาให้ทานพอทำให้สดชื่น อิ่มท้อง เที่ยวนี้กลับบ้านเรา ดื่มน้ำในคืนนั้นเป็นเหยือก ล้างสารเคมีตกค้างในร่างกาย คืนนั้น เรานอนได้ปกติ แล้วไม่มีอาการเหมือนครั้งแรกเลย กลับมาทำอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ทานกับลูกๆ ทานผลไม้ควบกันไป รู้สึกดีมากๆ ร่างกายฟื้นยาไวมาก เดินตากแดดเช้าๆ ทุกวัน
- ครั้งที่3 ครั้งสุดท้ายที่ไปให้ยาคีโม ผ่านไปด้วยดี ก้อนที่คอยุบหายไปจนไม่เหลือ มีแค่นูนบางๆ ที่ลึกลงไป
- ต่อจากนี้ไปเราต้องไปฉายแสงในเดือน มกราคม ตามที่ทางรพ. บอกไว้
- การฉายแสง ทำให้การดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไป เราต้องไป รพ. จ-ศ เรานั่งรถเมล์ติดแอร์ไปกับลูกจากนครปฐม ออกจากบ้านตี 4 นั่งรถเมล์ไปลงแถวรพ. เกษมราษฏ์ต่อรถแท็กซี่ไป รพ. วชิร อีกที เพื่อความประหยัดค่าแท็กซี่ ลงบ้าง ไปถึงรพ. ประมาณ เกือบ 6โมงเช้า ยื่นสิทธิ์ก็ไปตึกฉายแสง แต่กว่าจะได้ฉายก็เกือบเย็น
- ในวันแรกที่ฉายแสง คือวันจันทร์ เราต้องไป ให้ยาคีโม ทุกครั้งๆ ละประมาณ 3 ชม.กว่า คือให้ทุกอาทิตย์ๆ ละครั้ง เราถึงลงไปฉายแสงได้ ส่วน อังคารถึง ศุกร์ไม่ต้องให้
- แรกๆ เราไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่ต่อมา เรามาทุกวัน เวลาอาหารเปลี่ยนไป ท้องไส้ปั่นป่วน ด้วยที่เรา นั่งรถเมล์ ในตอนกลับ เกือบ 3ชม.ทุกวัน เราเริ่มทานไม่ได้ ดื่มได้แต่นม น้ำ และมีอาการต่างๆ หน้ามืด อาเจียร ทั้งคืน คือทรมาน อดหลับนอน ต้องตื่นเช้ามืดเดินทางทุกวัน จาก น้ำหนัก 69 กิโล วันสุดท้ายที่ชั่ง เหลือ 57 กิโล
- เราทรมาน เราหิว แต่เราทานไรไม่ได้เลย แถมตอนเดินทางไปรพ. เราอาเจียร ต้องคอยบ้วนน้ำลายใส่ทิชชู่ แล้วคลื่นไส้ตลอดทาง มีที่เรา ล้มทั้งยืน มีถ่ายรดกางเกงขณะนอนอยู่แบบไม่รู้ตัว ทำให้เราเดินทางไปรพ. ไม่ได้
คนจะถามเรามากว่าเราได้พบกับหมอฉายแสงไม๊ พบคะ แต่หมอเป็นผู้หญิงที่พูดจาดุดัน กดดันคนไข้ เราอยากถามอะไร แกก็ห้ามเสียงดังใส่ ว่าไม่ต้องถาม ตอนไปพบแกทุกวันพูธ แกจะพูดอยู่คนเดียวว่าโรคนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ๆ แบบที่แกอธิบาย เขาไม่ให้เราถามอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเราตั้งใจมากที่มาพบแล้วอยากจะถามอะไร เราไม่ได้ถามเลย
- บางทีหมอก็ถามเราย้อนหลังว่าทำไม วันนั้นเราถึงไม่มาพบแก เราทำท่านึกแต่เรานึก ณตอนนั้นไม่ออก เพราะเราเบลมาก เราอดนอน เราอาเจียรทั้งคืน เราแทบจะไม่มีแรงมาหาหมอ แต่เราก็พยายามจะมา เรากลับถูกหมอมองว่า ไม่รับผิดชอบ ไม่ตั้งใจรักษา ทำตัวอ่อนแอ เรานั่งฟัง เรา งง มาก คุณหมอ มาว่าเราทำไม เราจำไม่ได้ แกถามย้อนหลัง ไปปีที่ผ่านมา คือเราจำไม่ได้จริงๆ ลูกคนที่เคยดูแลเราช่วงปีที่แล้วเขาก็ไปทำงานไม่ได้มากับเรา ส่วนคนที่มาดูแลเราช่วงฉายแสงเป็นลูกอีกคน ซึ่งเขาก็ไม่ทราบเรื่องในปีที่ผ่าน
- มีพุธหนึ่งเราต้องไปต่อเวลาใบส่งตัว คือทางรพ.ราชพิพัต ระบุให้ไปวันพุธ ซึ่ง มันตรงกับวันที่พบ หมอตึกฉายแสง รพ.วชิร พอดี ซึ่งเรากังวลมากว่าจะไปพบหมอไม่ทัน เราได้โทรไปรพ .ราชพิพัต แล้วว่าถ้าเราไป ต่อใบส่งตัวต้องพบหมอที่รพ. ด้วยหรือไม่ ทางรพ. ราชพิพัต บอกมาว่าไม่ต้อง เช้ามืดวันนั้นเราเลยเดินทางไปกับลูก พอไปถึง เค้าให้เราพบหมอก่อน เราบอกว่าไม่ได้คะ หนูต้องไป พบหมอที่รพ .วชิร ตอน 9โมงเช้า ยังไงวันนั้นเค้าก็ไม่ยอมปล่อยเราไปต้องให้เราพบหมอให้ได้ ออกจากรพ .ราชพิพัต เกือบ 10โมงเช้ากว่าๆ เราเรียกแท็กซี่ให้รีบไปส่งที่รพ.วชิร แต่ รถติดมากเลยคะ ทำให้ไปถึง รพ. 11 โมงกว่า
และหมอก็ไปแล้ว * กรณี หมอเอามาถามเราอยู่ครั้งนึง วันนั้นเราตอบไปด้วยความที่ลืมและเบลอว่า เราไม่สบาย พอกลับมาบ้านเรานึกได้ แต่ก็แก้ไขอะไรในคำพูดไม่ได้แล้ว เเพราะแกบ่นเรา ดุเราไปแล้ว
- หลังๆ ที่เราไปฉายแสง อาการเราแย่ลงเรื่อยๆ เหตุที่ไม่มีอาหารหนักตกลงท้องมานานด้วย เราไม่ค่อยมีแรง การฉายแสงของเรา มาถึง ครั้งที่ 25 แล้วเราก็ไม่ได้ต่อ ตอนไปพบหมอวันพุธ เรามีคำถามที่อยากจะถามหมอมาก เพราะตอนนั้นคอเริ่มแดงเป็นริ้วๆ พองนิดๆ เราอยากรู้ว่าเราจะดูแลแผลที่คออย่างไร แต่วันนั้นเราไปแล้ว ไปแต่ตี 4 เช่นเคย ไปยื่นใบพบหมอคนแรกเลย แต่ทำไม เสมียญ ถึงให้คนที่มาทีหลังไปพบหมอก่อน เราทวงถามก็บอกให้เรานั่งรอ จนเวลามาถึง 9โมงเช้ากว่าๆ แล้วก็ยังไม่เรียก เราเลยเดินไปถามก็ยังให้เรานั่งรอต่อไป จน 10โมงเช้าถึงเรียกเรามานั่งหน้าห้องรอหมอ ซึ่งมีคนรออยู่ก่อนแล้ว รอไปสักพัก เสมียญก็เดินมาบอกว่า คุณ.... ให้ไปพบหมอที่ตึก รังสี อีกตึกหนึ่ง ในวันอังคารหน้า เราร้องอ้าว ว่าทำไมละคะ ไหนๆ ก็ถึงคิวเราแล้วเลื่อนไปอีกทำไม เรา งง มาก เสมียญบอกว่าเราเพิ่งพบหมอเมื่อวาน หืม.. เมื่อวาน พบหมอเหรอคะ แค่หมอเดินผ่านเรา ไป นี่เรียกว่าพบหมอแล้วเหรอ
คือว่า การฉายรังสีของเรามาถึงครั้งที่ 25 แล้ว ถึงเวลาเราต้องไปปรับบริเวณของการฉายแสงให้แคบลง เราจึงต้องไปปรับบริเวณที่ตึกรังสีอีกตึกหนึ่ง วันนั้นที่เราไป เราป่วยกลางคืนเป็นไข้สูง แล้วอาเจียรทั้งคืน เราไม่ได้นอน จนเช้า เแต่เรากลัวหมอว่าเอาเราเลย กัดฟัน เดินทางมารพ. เมื่อวานนั้น เสมียยสั่งให้เรามาที่ตึกฉายแสงก่อน เราก็มา ๆ แต่เค้าไม่ให้เอกสารเราไปตึกรังสีเสียที กว่าจะได้ไปก็ 9 โมงกว่า ไปถึง คนที่รออยู่นั่นก็มากพอดู ด้วยเหตุที่เราอดนอน ร่างกายเราไม่มีแรงเหลือเลย เราล้มตัวลงนอนกับเก้าอี้ตรงทางเดินในห้อง ระหว่างรอ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงเดินมาเอาหมอนที่เพิ่งเปลี่ยนปลอกมาให้หนุนนอนรอไปก่อน คือเรารอนานหลาย ชั่วโมงมาก เราไม่มีแรงเลย ตอตนั้นลูกชายขอตัวไปทานข้าว เราก็นอนหลับอยู่ คุณหมอที่เขาดูแลเรา แกมาชี้ บอกให้เราลูกขึ้นนั่ง ห้ามนอน ลุกเดี๋ยวนี้ แกพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ยิ้ม ใช่คะแกไม่เคยยิ้มกับเราตั้งแต่แรก แล้ว ไม่รู้ทำไมนะคะ เราจำใจลูกนั่ง พนง.รพ ยืนมองเราด้วยความเห็นใจ แล้วแอบพูดอะไรเบาๆ ที่เราฟังก้ไม่ถนัด
อยากถามว่า นี่คือเราพบหมอแล้วเหรอ ?
- วันศุกร์เป็นวันไปฉายแสงสุดสัปดาห์ คำถามที่เราอยากรู้เรื่องแผล ทำให้เราหันไปถามคุณหมอที่ฉายแสงว่าเราจะทำอย่างไรกะคอที่เริ่มจะเป็นแผล คุณหมอก็แนะนำให้ไปหาพยาบาลที่เคาเตอร์ จากนั้นเราก็ไปปรึกษาพยาบาลคะ พยาบาลบอกว่า ให้เรากลับบ้านอาบน้ำ แล้วให้เอาน้ำเกลือเช็ดที่แผล แล้วเอาครีมที่พยาบาลให้มา ทาบางๆ เป่าลมให้แห้ง วันละ 2ครั้ง เช้าเย็น เรากลับมาวันนั้น เราทำตามที่พยาบาลบอกทุกประการ ผลออกมาคือ แผลมีน้ำใสใสไหลเยิ้มออกมา เรื่อยๆ แผลเริ่มเปิด มีกลิ่นน้ำเหลือง มีเลือดปนออกมา และบานใหญ่ขึ้นมาก อย่างรวดเร็วในวันอาทิตย์ ทำเราเครียดมาก พรุ่งนี้วันจันทร์เราต้องไปรพ. เราจะไปอย่างไร ช่วงนี้โควิด 19 ก็กำลังระบาด ไม่ควรไปนะ แผลก็เปิดมากอาจติดเชื้อได้ ทำให้เราไม่ได้ไปรพ. แผลลามใหญ่โตและลึก มีน้ำเหลืองไหลตลอก พร้อมเลือด มีกลิ่นคลุ้งทั้งคอ เราทรมานมากเลยคะ เราต้องอาเจียรไปด้วย เจ็บแผลไปด้วย แล้วมีอาการกรดไหลย้อนที่เป็นมาตั้งแต่ฉายแสงไปด้วย บางคืนเราแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ตาค้างทั้งคืน สุขภาพเราย่ำแย่ลง แผลไม่ดีขึ้นเลยเราอยุดทาครีมไปแล้วเช็ดด้วยน้ำเกลือแทนอย่างเดียว เราลืมบอกไปว่าเรา ไม่มีเสียงพูดมานานแล้ว เนื่องจากเราอาเจียรทุกคืน เราสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษามือแทน
- ฉายแสงวันแรกที่เรากลับไปบ้านมือเราชา เท้าชาทั้งสองข้าง และเวลาก้มหัวลง เส้นจะกระตุกเหมือนไฟฟ้าช๊อต และหูข้างขวามีเสียงดังเหมือนอากาศวี้ตลอด เราเอาเรื่องนี้ไปถามหมอธนา.. แกบอกที่ ชา ไม่เกี่ยวกับฉายแสง และฉายแสงไม่ทำให้มีเสียงในหูคะ เราก็ งง กับคำตอบคือ มันเป็นหลังจากเราไปฉายแสงครั้งแรก ที่เรายังไม่ได้คีโมในวั้นนั้น แต่หมอคีโมบอกว่า ที่คอกระตุกน่ามาจากการฉายแสงโดนเส้น ประสาทที่หลังคอคะ แต่เราไม่ได้เอาตรงนี้ไปบอกคุณหมอธนา..หรอกคะ
- เราสงสารตัวเอง ตอนคีโมครั้งแรกตอนนั้นเรามีอาการหูอื้อ จริง แต่จบคีโม 3ครั้ง เราหายดีไม่มีอาการอีกเลย
- คุณหมอ ธนา.. แอบถามเราตรงที่เราเคยหูอื้อมาก่อนใช่มั๊ย เหมาเอาว่าไม่เกี่ยวกับฉายแสง แต่แยกเสียงออก เสียงหูอื้อกับเสียงวิ้งในหัวคนละแบบกันเลยคะ มันรบกวนเราตลอดเวลา ไม่ลดลงเลย ยิ่งถ้าไปอยู่ในที่เสียงครึกโครมบนถนน หรือคนเยอะๆ เสียงจะยิ่งดังหนัก จนเราปวดหัวไปข้างนึง
- ย้อนกลับมาว่าเมื่อเราเป็นแผลอย่างหนักจนไม่ไหวแล้ว คือเราคิออยากตายเลยทีเดียว เรานอนดมกลิ่นน้ำเหลืองบนเตียงทั้งวันทั้งคืน และยังทรมานอื่นๆ ในร่างกายเราอีก เช้าวันนั้นเราตัดสินใจเดินทางไปรพ.ใกล้ที่สุดคือวิชัยเวช เราเอาเสื้อห่อแผลไปกับลุกชาย พยาบาลทำแผลให้อย่างดี แล้ว*** เตือนว่าอย่าเอาครีมมาทาแผลอีกนะคะ ทาไม่ได้คะ *** เอ้าทำไมกลายเป็นงั้นไป เราขอยาแก้อักเสบจากคุณหมอศัลยกรรม ได้ยามา 2ชนิดที่ไม่แรง เนื่องจากเราเป็นผู้ป่วยที่ทานยาปฏิชีวนไม่ได้ คือหมอคีโมสั่งไว้คะ ทางหมอเลยจัดยาเหมือนของเด็กให้คะ เราเอายขามาทาน และเช้ดน้ำเกลือบ่อยๆ ทำให้แผลแห้งลง ดีขึ้น จนตอนนี้เป็นแผลเป็นที่คออย่างเดียว
- แผลหายปุ้บเราก็เดินทางไปต่อเวลาใบส่งตัวที่ขาด แล้วรีบไปรพ.วชิรติดต่อ ขอรักษาตัวต่อ ที่แรกที่ไปคือ ตึกมะเร็งที่เราไปรักษาโดยเคมี เราไปเจออาจารย์หมอและผู้ช่วย ไม่ใช่คุณหมอปกติที่ดูและคะ ช่วงนี้ โควิดกำลังระบาดหนัก วันนั้นอาจารย์หมอดูเราแล้วบอกว่า การรักษาจบเท่านี้แล้วนะครับ ไม่ต้องมาแล้ว เราแอบงง ว่าทำไมนะ แต่เราก็ไม่ทันพูดเลย เราไม่มีเสียงพูดด้วย ออกจากตึกนี้เราก็เดินไปที่ตึกฉายแสง เขาให้เรานั่งรอ ประมาณ ชั่วโมงมั้งคะ พยาบาลก็บอกให้เรากลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เพราะ คุณหมอ ธนา ติดประชุมเรื่องโควิด ไม่รับสาย เราเลยถามกลับว่าแล้วพรุ่งนี้จะเจอหมอไม๊คะ พยาบาลบอกว่า เจอไม่เจอ ก็ต้องมา เราแอบ งง บ้านเราอยู่ไกล เราอธิบายไป เราขอเบอร์โทรเพื่อจะโทรมาถามได้ไม๊คะ แกกลับมาขอเบอร์มือถือเราแทน เราก็ให้ไปคะ พอเราเดินจะกลับบ้าน พยาบาลก็เรียกเราไว้ บอกว่าคุรหมอธนา...โทรมาแล้ว บอกว่า " ถ้าอยากรักษาต่อพรุ่งนี้ก็มา ให้เราไปพบที่ตึกรังสี แต่เช้า 8 โมง " เราตกลงจะมาแต่เช้าเลยคะ
มะเร็งที่โพรงจมูก ใครเคยเจอเหตุการณ์อย่างเราบ้าง มาช่วยแนะนำด้วยคะ
- เราได้ไปติดต่อกับรพ.ราชพิพัต ได้ถูกส่งตัวไปรักษาเบื้องต้นที่ รพ.ตากสิน ( คลองสาน) ไปหลายครั้งจนรู้ผลว่าเป็นมะเร็งที่โพรงจมูก ตอนมาที่นี่ก้อนโต 4ซม.แล้ว
- เรานำผลตรวจกลับมาที่รพ.ราชพิพัต อีกครั้ง คราวนี้คุณหมอท่านเดิม จึงส่งตัวเราไปรักษามะเร็งที่ รพ.วชิร (ข้ามสะพานซังฮี้ไป)
- เราได้รักษาด้วยการคีโม แต่ก่อนที่จะได้รักษานั้น เราผ่านการตรวจร่างกายต่างๆ มากมาย กว่าจะได้คีโม ซึ่งต้องใช้ความอดทนอย่างมาก การเดินทางจากบ้านไปรพ. ใช้เวลานานมาก จากร่างกายที่แข็งแรงเราเริ่มอ่อนเพลีย การใช้บริการ รพ.ของรัฐต้องใช้เวลารอนาน ต้องอดทน ซึ่งเรายอมทำตามทุกอย่างเพื่อให้ผ่านไปด้วยดี
- แล้วเราก็ได้คุยกับหมอที่จะรักษาเรา ด้วยคีโม คุณหมอพูดกับคนไข้ดีมากๆ อธิบายถึงวิธีรักษาว่าเราจะต้องรักษาอย่างไรบ้าง
- เราไปนอนที่รพ.ให้ยา ทั้งหมด 5 คืน 6 วัน เรามีอาการแพ้ยาในครั้งแรก จนกลับมาบ้าน ได้ 2วัน เราถ่ายท้อง แล้วเป็นลมล้มในห้องน้ำ จนหน้าแตก แต่ดีหัวไม่ฟาดพื้น ต้องไปนอนแอดมิทที่รพ.วิชัยเวชรักษาอาการท้องเสียและขาดวิตามินอย่างรุนแรง อยู่ 2คืน 3วัน กลับมาพักต่อที่บ้าน (ก้อนที่คอยุบไปเกือบหมดในครั้งแรกนี้)
- พอถึงวันนัดพบคุณหมอเราไปตามนัดอีกครั้ง และได้นอนที่รพ. ให้ยาต่อ ครั้งที่ 2 ครั้งนี้เรารู้สึกดีขึ้นที่คุณหมอเริ่มปรับยาบางตัวให้เข้ากับเรา ทำให้อาการคลื่นไส้ลดลงมาก แต่เราก็ยังทานอาหารได้ไม่มาก แต่เราก็พยายาม ได้ผลไม้ที่ลูกชายทำใส่กล่องจากบ้าน มาให้ทานพอทำให้สดชื่น อิ่มท้อง เที่ยวนี้กลับบ้านเรา ดื่มน้ำในคืนนั้นเป็นเหยือก ล้างสารเคมีตกค้างในร่างกาย คืนนั้น เรานอนได้ปกติ แล้วไม่มีอาการเหมือนครั้งแรกเลย กลับมาทำอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ทานกับลูกๆ ทานผลไม้ควบกันไป รู้สึกดีมากๆ ร่างกายฟื้นยาไวมาก เดินตากแดดเช้าๆ ทุกวัน
- ครั้งที่3 ครั้งสุดท้ายที่ไปให้ยาคีโม ผ่านไปด้วยดี ก้อนที่คอยุบหายไปจนไม่เหลือ มีแค่นูนบางๆ ที่ลึกลงไป
- ต่อจากนี้ไปเราต้องไปฉายแสงในเดือน มกราคม ตามที่ทางรพ. บอกไว้
- การฉายแสง ทำให้การดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไป เราต้องไป รพ. จ-ศ เรานั่งรถเมล์ติดแอร์ไปกับลูกจากนครปฐม ออกจากบ้านตี 4 นั่งรถเมล์ไปลงแถวรพ. เกษมราษฏ์ต่อรถแท็กซี่ไป รพ. วชิร อีกที เพื่อความประหยัดค่าแท็กซี่ ลงบ้าง ไปถึงรพ. ประมาณ เกือบ 6โมงเช้า ยื่นสิทธิ์ก็ไปตึกฉายแสง แต่กว่าจะได้ฉายก็เกือบเย็น
- ในวันแรกที่ฉายแสง คือวันจันทร์ เราต้องไป ให้ยาคีโม ทุกครั้งๆ ละประมาณ 3 ชม.กว่า คือให้ทุกอาทิตย์ๆ ละครั้ง เราถึงลงไปฉายแสงได้ ส่วน อังคารถึง ศุกร์ไม่ต้องให้
- แรกๆ เราไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่ต่อมา เรามาทุกวัน เวลาอาหารเปลี่ยนไป ท้องไส้ปั่นป่วน ด้วยที่เรา นั่งรถเมล์ ในตอนกลับ เกือบ 3ชม.ทุกวัน เราเริ่มทานไม่ได้ ดื่มได้แต่นม น้ำ และมีอาการต่างๆ หน้ามืด อาเจียร ทั้งคืน คือทรมาน อดหลับนอน ต้องตื่นเช้ามืดเดินทางทุกวัน จาก น้ำหนัก 69 กิโล วันสุดท้ายที่ชั่ง เหลือ 57 กิโล
- เราทรมาน เราหิว แต่เราทานไรไม่ได้เลย แถมตอนเดินทางไปรพ. เราอาเจียร ต้องคอยบ้วนน้ำลายใส่ทิชชู่ แล้วคลื่นไส้ตลอดทาง มีที่เรา ล้มทั้งยืน มีถ่ายรดกางเกงขณะนอนอยู่แบบไม่รู้ตัว ทำให้เราเดินทางไปรพ. ไม่ได้
คนจะถามเรามากว่าเราได้พบกับหมอฉายแสงไม๊ พบคะ แต่หมอเป็นผู้หญิงที่พูดจาดุดัน กดดันคนไข้ เราอยากถามอะไร แกก็ห้ามเสียงดังใส่ ว่าไม่ต้องถาม ตอนไปพบแกทุกวันพูธ แกจะพูดอยู่คนเดียวว่าโรคนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ๆ แบบที่แกอธิบาย เขาไม่ให้เราถามอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเราตั้งใจมากที่มาพบแล้วอยากจะถามอะไร เราไม่ได้ถามเลย
- บางทีหมอก็ถามเราย้อนหลังว่าทำไม วันนั้นเราถึงไม่มาพบแก เราทำท่านึกแต่เรานึก ณตอนนั้นไม่ออก เพราะเราเบลมาก เราอดนอน เราอาเจียรทั้งคืน เราแทบจะไม่มีแรงมาหาหมอ แต่เราก็พยายามจะมา เรากลับถูกหมอมองว่า ไม่รับผิดชอบ ไม่ตั้งใจรักษา ทำตัวอ่อนแอ เรานั่งฟัง เรา งง มาก คุณหมอ มาว่าเราทำไม เราจำไม่ได้ แกถามย้อนหลัง ไปปีที่ผ่านมา คือเราจำไม่ได้จริงๆ ลูกคนที่เคยดูแลเราช่วงปีที่แล้วเขาก็ไปทำงานไม่ได้มากับเรา ส่วนคนที่มาดูแลเราช่วงฉายแสงเป็นลูกอีกคน ซึ่งเขาก็ไม่ทราบเรื่องในปีที่ผ่าน
- มีพุธหนึ่งเราต้องไปต่อเวลาใบส่งตัว คือทางรพ.ราชพิพัต ระบุให้ไปวันพุธ ซึ่ง มันตรงกับวันที่พบ หมอตึกฉายแสง รพ.วชิร พอดี ซึ่งเรากังวลมากว่าจะไปพบหมอไม่ทัน เราได้โทรไปรพ .ราชพิพัต แล้วว่าถ้าเราไป ต่อใบส่งตัวต้องพบหมอที่รพ. ด้วยหรือไม่ ทางรพ. ราชพิพัต บอกมาว่าไม่ต้อง เช้ามืดวันนั้นเราเลยเดินทางไปกับลูก พอไปถึง เค้าให้เราพบหมอก่อน เราบอกว่าไม่ได้คะ หนูต้องไป พบหมอที่รพ .วชิร ตอน 9โมงเช้า ยังไงวันนั้นเค้าก็ไม่ยอมปล่อยเราไปต้องให้เราพบหมอให้ได้ ออกจากรพ .ราชพิพัต เกือบ 10โมงเช้ากว่าๆ เราเรียกแท็กซี่ให้รีบไปส่งที่รพ.วชิร แต่ รถติดมากเลยคะ ทำให้ไปถึง รพ. 11 โมงกว่า
และหมอก็ไปแล้ว * กรณี หมอเอามาถามเราอยู่ครั้งนึง วันนั้นเราตอบไปด้วยความที่ลืมและเบลอว่า เราไม่สบาย พอกลับมาบ้านเรานึกได้ แต่ก็แก้ไขอะไรในคำพูดไม่ได้แล้ว เเพราะแกบ่นเรา ดุเราไปแล้ว
- หลังๆ ที่เราไปฉายแสง อาการเราแย่ลงเรื่อยๆ เหตุที่ไม่มีอาหารหนักตกลงท้องมานานด้วย เราไม่ค่อยมีแรง การฉายแสงของเรา มาถึง ครั้งที่ 25 แล้วเราก็ไม่ได้ต่อ ตอนไปพบหมอวันพุธ เรามีคำถามที่อยากจะถามหมอมาก เพราะตอนนั้นคอเริ่มแดงเป็นริ้วๆ พองนิดๆ เราอยากรู้ว่าเราจะดูแลแผลที่คออย่างไร แต่วันนั้นเราไปแล้ว ไปแต่ตี 4 เช่นเคย ไปยื่นใบพบหมอคนแรกเลย แต่ทำไม เสมียญ ถึงให้คนที่มาทีหลังไปพบหมอก่อน เราทวงถามก็บอกให้เรานั่งรอ จนเวลามาถึง 9โมงเช้ากว่าๆ แล้วก็ยังไม่เรียก เราเลยเดินไปถามก็ยังให้เรานั่งรอต่อไป จน 10โมงเช้าถึงเรียกเรามานั่งหน้าห้องรอหมอ ซึ่งมีคนรออยู่ก่อนแล้ว รอไปสักพัก เสมียญก็เดินมาบอกว่า คุณ.... ให้ไปพบหมอที่ตึก รังสี อีกตึกหนึ่ง ในวันอังคารหน้า เราร้องอ้าว ว่าทำไมละคะ ไหนๆ ก็ถึงคิวเราแล้วเลื่อนไปอีกทำไม เรา งง มาก เสมียญบอกว่าเราเพิ่งพบหมอเมื่อวาน หืม.. เมื่อวาน พบหมอเหรอคะ แค่หมอเดินผ่านเรา ไป นี่เรียกว่าพบหมอแล้วเหรอ
คือว่า การฉายรังสีของเรามาถึงครั้งที่ 25 แล้ว ถึงเวลาเราต้องไปปรับบริเวณของการฉายแสงให้แคบลง เราจึงต้องไปปรับบริเวณที่ตึกรังสีอีกตึกหนึ่ง วันนั้นที่เราไป เราป่วยกลางคืนเป็นไข้สูง แล้วอาเจียรทั้งคืน เราไม่ได้นอน จนเช้า เแต่เรากลัวหมอว่าเอาเราเลย กัดฟัน เดินทางมารพ. เมื่อวานนั้น เสมียยสั่งให้เรามาที่ตึกฉายแสงก่อน เราก็มา ๆ แต่เค้าไม่ให้เอกสารเราไปตึกรังสีเสียที กว่าจะได้ไปก็ 9 โมงกว่า ไปถึง คนที่รออยู่นั่นก็มากพอดู ด้วยเหตุที่เราอดนอน ร่างกายเราไม่มีแรงเหลือเลย เราล้มตัวลงนอนกับเก้าอี้ตรงทางเดินในห้อง ระหว่างรอ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงเดินมาเอาหมอนที่เพิ่งเปลี่ยนปลอกมาให้หนุนนอนรอไปก่อน คือเรารอนานหลาย ชั่วโมงมาก เราไม่มีแรงเลย ตอตนั้นลูกชายขอตัวไปทานข้าว เราก็นอนหลับอยู่ คุณหมอที่เขาดูแลเรา แกมาชี้ บอกให้เราลูกขึ้นนั่ง ห้ามนอน ลุกเดี๋ยวนี้ แกพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ยิ้ม ใช่คะแกไม่เคยยิ้มกับเราตั้งแต่แรก แล้ว ไม่รู้ทำไมนะคะ เราจำใจลูกนั่ง พนง.รพ ยืนมองเราด้วยความเห็นใจ แล้วแอบพูดอะไรเบาๆ ที่เราฟังก้ไม่ถนัด
อยากถามว่า นี่คือเราพบหมอแล้วเหรอ ?
- วันศุกร์เป็นวันไปฉายแสงสุดสัปดาห์ คำถามที่เราอยากรู้เรื่องแผล ทำให้เราหันไปถามคุณหมอที่ฉายแสงว่าเราจะทำอย่างไรกะคอที่เริ่มจะเป็นแผล คุณหมอก็แนะนำให้ไปหาพยาบาลที่เคาเตอร์ จากนั้นเราก็ไปปรึกษาพยาบาลคะ พยาบาลบอกว่า ให้เรากลับบ้านอาบน้ำ แล้วให้เอาน้ำเกลือเช็ดที่แผล แล้วเอาครีมที่พยาบาลให้มา ทาบางๆ เป่าลมให้แห้ง วันละ 2ครั้ง เช้าเย็น เรากลับมาวันนั้น เราทำตามที่พยาบาลบอกทุกประการ ผลออกมาคือ แผลมีน้ำใสใสไหลเยิ้มออกมา เรื่อยๆ แผลเริ่มเปิด มีกลิ่นน้ำเหลือง มีเลือดปนออกมา และบานใหญ่ขึ้นมาก อย่างรวดเร็วในวันอาทิตย์ ทำเราเครียดมาก พรุ่งนี้วันจันทร์เราต้องไปรพ. เราจะไปอย่างไร ช่วงนี้โควิด 19 ก็กำลังระบาด ไม่ควรไปนะ แผลก็เปิดมากอาจติดเชื้อได้ ทำให้เราไม่ได้ไปรพ. แผลลามใหญ่โตและลึก มีน้ำเหลืองไหลตลอก พร้อมเลือด มีกลิ่นคลุ้งทั้งคอ เราทรมานมากเลยคะ เราต้องอาเจียรไปด้วย เจ็บแผลไปด้วย แล้วมีอาการกรดไหลย้อนที่เป็นมาตั้งแต่ฉายแสงไปด้วย บางคืนเราแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ตาค้างทั้งคืน สุขภาพเราย่ำแย่ลง แผลไม่ดีขึ้นเลยเราอยุดทาครีมไปแล้วเช็ดด้วยน้ำเกลือแทนอย่างเดียว เราลืมบอกไปว่าเรา ไม่มีเสียงพูดมานานแล้ว เนื่องจากเราอาเจียรทุกคืน เราสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษามือแทน
- ฉายแสงวันแรกที่เรากลับไปบ้านมือเราชา เท้าชาทั้งสองข้าง และเวลาก้มหัวลง เส้นจะกระตุกเหมือนไฟฟ้าช๊อต และหูข้างขวามีเสียงดังเหมือนอากาศวี้ตลอด เราเอาเรื่องนี้ไปถามหมอธนา.. แกบอกที่ ชา ไม่เกี่ยวกับฉายแสง และฉายแสงไม่ทำให้มีเสียงในหูคะ เราก็ งง กับคำตอบคือ มันเป็นหลังจากเราไปฉายแสงครั้งแรก ที่เรายังไม่ได้คีโมในวั้นนั้น แต่หมอคีโมบอกว่า ที่คอกระตุกน่ามาจากการฉายแสงโดนเส้น ประสาทที่หลังคอคะ แต่เราไม่ได้เอาตรงนี้ไปบอกคุณหมอธนา..หรอกคะ
- เราสงสารตัวเอง ตอนคีโมครั้งแรกตอนนั้นเรามีอาการหูอื้อ จริง แต่จบคีโม 3ครั้ง เราหายดีไม่มีอาการอีกเลย
- คุณหมอ ธนา.. แอบถามเราตรงที่เราเคยหูอื้อมาก่อนใช่มั๊ย เหมาเอาว่าไม่เกี่ยวกับฉายแสง แต่แยกเสียงออก เสียงหูอื้อกับเสียงวิ้งในหัวคนละแบบกันเลยคะ มันรบกวนเราตลอดเวลา ไม่ลดลงเลย ยิ่งถ้าไปอยู่ในที่เสียงครึกโครมบนถนน หรือคนเยอะๆ เสียงจะยิ่งดังหนัก จนเราปวดหัวไปข้างนึง
- ย้อนกลับมาว่าเมื่อเราเป็นแผลอย่างหนักจนไม่ไหวแล้ว คือเราคิออยากตายเลยทีเดียว เรานอนดมกลิ่นน้ำเหลืองบนเตียงทั้งวันทั้งคืน และยังทรมานอื่นๆ ในร่างกายเราอีก เช้าวันนั้นเราตัดสินใจเดินทางไปรพ.ใกล้ที่สุดคือวิชัยเวช เราเอาเสื้อห่อแผลไปกับลุกชาย พยาบาลทำแผลให้อย่างดี แล้ว*** เตือนว่าอย่าเอาครีมมาทาแผลอีกนะคะ ทาไม่ได้คะ *** เอ้าทำไมกลายเป็นงั้นไป เราขอยาแก้อักเสบจากคุณหมอศัลยกรรม ได้ยามา 2ชนิดที่ไม่แรง เนื่องจากเราเป็นผู้ป่วยที่ทานยาปฏิชีวนไม่ได้ คือหมอคีโมสั่งไว้คะ ทางหมอเลยจัดยาเหมือนของเด็กให้คะ เราเอายขามาทาน และเช้ดน้ำเกลือบ่อยๆ ทำให้แผลแห้งลง ดีขึ้น จนตอนนี้เป็นแผลเป็นที่คออย่างเดียว
- แผลหายปุ้บเราก็เดินทางไปต่อเวลาใบส่งตัวที่ขาด แล้วรีบไปรพ.วชิรติดต่อ ขอรักษาตัวต่อ ที่แรกที่ไปคือ ตึกมะเร็งที่เราไปรักษาโดยเคมี เราไปเจออาจารย์หมอและผู้ช่วย ไม่ใช่คุณหมอปกติที่ดูและคะ ช่วงนี้ โควิดกำลังระบาดหนัก วันนั้นอาจารย์หมอดูเราแล้วบอกว่า การรักษาจบเท่านี้แล้วนะครับ ไม่ต้องมาแล้ว เราแอบงง ว่าทำไมนะ แต่เราก็ไม่ทันพูดเลย เราไม่มีเสียงพูดด้วย ออกจากตึกนี้เราก็เดินไปที่ตึกฉายแสง เขาให้เรานั่งรอ ประมาณ ชั่วโมงมั้งคะ พยาบาลก็บอกให้เรากลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เพราะ คุณหมอ ธนา ติดประชุมเรื่องโควิด ไม่รับสาย เราเลยถามกลับว่าแล้วพรุ่งนี้จะเจอหมอไม๊คะ พยาบาลบอกว่า เจอไม่เจอ ก็ต้องมา เราแอบ งง บ้านเราอยู่ไกล เราอธิบายไป เราขอเบอร์โทรเพื่อจะโทรมาถามได้ไม๊คะ แกกลับมาขอเบอร์มือถือเราแทน เราก็ให้ไปคะ พอเราเดินจะกลับบ้าน พยาบาลก็เรียกเราไว้ บอกว่าคุรหมอธนา...โทรมาแล้ว บอกว่า " ถ้าอยากรักษาต่อพรุ่งนี้ก็มา ให้เราไปพบที่ตึกรังสี แต่เช้า 8 โมง " เราตกลงจะมาแต่เช้าเลยคะ