ต้องขอบคุณช่วงเวลาหยุดยาวจึงสามารถมีเวลาดูหนังชุดนี้ได้อย่างที่ตั้งใจรวดเดียวเต็มอิ่ม การได้มาดูไตรภาคหนังรักในตำนานที่ถ่ายทำและออกฉายห่างกันตามเวลาของชีวิตจริงของตัวละครในช่วงอายุคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตตัวละครหลักของเรื่อง (23ปี,32ปี,41ปี) ยิ่งทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดเรื่องชีวิตและความรักของทั้งคู่มากขึ้น
Richard Linklater เป็นผู้กำกับที่ทะเยอทะยานในการทำหนังแบบใช้เวลาถ่ายทำยาวนานเพื่อให้ผู้ชมร่วมใช้ชีวิตไปกับตัวละคร (12 ปีตั้งแต่เด็กจนโตใน Boyhood (2014) และ 18 ปีของไตรภาค Before นี้) แต่หนังของเขากลับใช้วิธีการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายแต่หนักแน่นจนผู้ชมต้องอาศัยความเข้าใจชีวิตพอสมควรถึงจะซึมซับสิ่งที่ผู้กำกับเสนอ
จากวัยรุ่นแปลกหน้าสองคนที่เจอบนรถไฟก่อนชวนกันลงไปท่องราตรีจนฟ้าสางในเวียนนา ก่อนจากกันไป 9 ปีเพื่อมาเจอกันยามบ่ายสั้น ๆ อีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ที่ปารีส แล้วกลายเป็นจุดเปลี่ยนนำมาสู่ความสัมพันธ์อีก 9 ปีจนมาถึงค่ำคืนในวัยกลางคนที่ทำให้พวกเขาต้องทบทวนและอยู่กับความเป็นจริงในกรีซ
ต้องยกความดีให้สองนักแสดง Ethan Hawke และ Julie Delpy ที่เคมีเข้ากันที่สุดตั้งแต่ตอนวัยรุ่นถึงวัยกลางคน และแสดงบทพูดแบบด้นสดในหลายฉาก จนคนดูไม่รู้สึกว่าเราดูการแสดง แต่เป็นการได้ติดตามคู่รักที่พูดคุยกันอยู่ในชีวิตจริง
หนังใช้บทสนทนาของสองตัวละครเดินเรื่องไปตั้งแต่ต้นจนจบไตรภาค เล่าตั้งแต่ความคิดในเรื่องความรัก ชีวิต ศิลปะ ไปจนถึงความเชื่อตั้งแต่ทางสังคมการเมืองและศาสนา ผ่านแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่การยังมองโลกอย่างมีไฟแรงกล้าในวัยรุ่นผู้ค้นหา การมองโลกอย่างเริ่มเข้าใจความเป็นไปในวัยผู้ใหญ่ จนการต้องมานั่งทบทวนตัวเองและความสัมพันธ์ที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้นในวัยกลางคน
ทำให้ผู้ชมจำเป็นต้องใช้สมาธิในการชมพอสมควร และควรมีวุฒิภาวะอย่างน้อยในวัยเดียวกับตัวละครในแต่ละภาค (ผมคนหนึ่งที่เคยดูหนึ่งในเรื่องนี้สมัยเด็ก ๆ แล้วดูไม่จบเพราะยังไม่อินพอ) จึงจะยิ่งดื่มด่ำไปกับบทสนทนาของทั้งคู่ตามช่วงเวลา
หากพูดถึงไตรภาคนี้เฉพาะเรื่องความรัก เราเริ่มเห็นความเป็นไปของความรักแบบหนุ่มสาวที่ประทับใจแต่แรกเห็น ตัดสินใจอย่างไม่ต้องคิดมากนัก ใช้ช่วงเวลาแบบโรแมนติคราวกับหลุดไปในนิยาย มีความคิดแบบขบถเสรี พูดถึงแต่อนาคตที่คิดฝัน และจากกันไปอย่างฝังใจ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบทศวรรษ เราก็พบกับการกลับมาเจอในสภาพวัยผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่การงาน เปลี่ยนผ่านชีวิตมาระดับหนึ่ง ได้เห็นโลกมากขึ้น มีเงื่อนไขในชีวิตมากขึ้น (ตัวเอกชายถึงกับแต่งงานมีลูก) บทสนทนาทั้งคู่จึงเหมือนได้พบคนรักที่ฝังใจและเพื่อนที่รู้ใจที่โหยหามานาน เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของชีวิตแต่ละฝ่าย เปลี่ยนจากคุยความฝันกลายเป็นความเป็นไปของชีวิตจริง และอาวรณ์กับเรื่องราวที่ผ่านไปในห้วงเวลาที่พบและจากกัน สุดท้ายเมื่อทั้งคู่ตัดสินใจทำตามฝันเพื่อใช้ชีวิตร่วมกันหลังจากกลับมาพบไปอีกทศวรรษ ในวัยกลางคน เราจึงพบว่าหลากหลายความรับผิดชอบในชีวิตได้กลืนกินตัวตนพวกเขาไป โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่มีภาระหน้าที่ของความเป็นแม่บีบคั้น บทสนทนาของทั้งคู่จึงเปลี่ยนไป ช่วงเวลาของการพูดคุยเป็นกันเองและน่าจดจำดังสองภาคแรกจึงมีเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนเปิดเรื่อง การแลกเปลี่ยนความคิดของคนทุกวัยบนโต๊ะอาหาร และการเดินชมเมืองเล็ก ๆ ดังสองภาคแรกเท่านั้น หนังใช้องค์สุดท้ายของเรื่องอยู่แต่ภายในห้องของโรงแรมราวกับเป็นที่กักขังทั้งคู่ไม่ใช่ความเพลิดเพลินจากการเดินทางไปข้างหน้าอีกแล้ว ทั้งคู่ต่างพูดคุยแต่เรื่องในชีวิตที่ไม่เป็นไปดังคิดแต่ต่างต้องประนีประนอมต่อกันมา ความหมาดหมางใจจากชีวิตที่ใช้ร่วมกัน
การเดินทางของทั้งคู่จากการเฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้นร่วมกันก่อนจาก จนมาถึงการดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ไม่อาจห้ามได้แม้เว้าวอนเพียงใด ฉากสุดท้ายของทั้งคู่ยังแสดงให้เห็นถึงทางที่ต้องเลือกเป็นปลายเปิดของคู่รักร่วมสองทศวรรษว่าจะเดินต่อไปเช่นไร ปนเปความรู้สึกทั้งเศร้าใจในความรักโรแมนติคในอดีตที่จบไป หรือจะสุขใจกับการยอมรับตัวตนและความจริงในชีวิตของแต่ละคนแล้วเดินต่อไปร่วมกัน
ขอบคุณที่โลกนี้มีภาพยนตร์
9/10
"Before" Trilogy (1995,2004,2013): คืนแห่งฝัน-บ่ายแห่งรัก-ค่ำแห่งชีวิตจริง (Spoil)
ต้องขอบคุณช่วงเวลาหยุดยาวจึงสามารถมีเวลาดูหนังชุดนี้ได้อย่างที่ตั้งใจรวดเดียวเต็มอิ่ม การได้มาดูไตรภาคหนังรักในตำนานที่ถ่ายทำและออกฉายห่างกันตามเวลาของชีวิตจริงของตัวละครในช่วงอายุคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตตัวละครหลักของเรื่อง (23ปี,32ปี,41ปี) ยิ่งทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดเรื่องชีวิตและความรักของทั้งคู่มากขึ้น
Richard Linklater เป็นผู้กำกับที่ทะเยอทะยานในการทำหนังแบบใช้เวลาถ่ายทำยาวนานเพื่อให้ผู้ชมร่วมใช้ชีวิตไปกับตัวละคร (12 ปีตั้งแต่เด็กจนโตใน Boyhood (2014) และ 18 ปีของไตรภาค Before นี้) แต่หนังของเขากลับใช้วิธีการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายแต่หนักแน่นจนผู้ชมต้องอาศัยความเข้าใจชีวิตพอสมควรถึงจะซึมซับสิ่งที่ผู้กำกับเสนอ
จากวัยรุ่นแปลกหน้าสองคนที่เจอบนรถไฟก่อนชวนกันลงไปท่องราตรีจนฟ้าสางในเวียนนา ก่อนจากกันไป 9 ปีเพื่อมาเจอกันยามบ่ายสั้น ๆ อีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ที่ปารีส แล้วกลายเป็นจุดเปลี่ยนนำมาสู่ความสัมพันธ์อีก 9 ปีจนมาถึงค่ำคืนในวัยกลางคนที่ทำให้พวกเขาต้องทบทวนและอยู่กับความเป็นจริงในกรีซ
ต้องยกความดีให้สองนักแสดง Ethan Hawke และ Julie Delpy ที่เคมีเข้ากันที่สุดตั้งแต่ตอนวัยรุ่นถึงวัยกลางคน และแสดงบทพูดแบบด้นสดในหลายฉาก จนคนดูไม่รู้สึกว่าเราดูการแสดง แต่เป็นการได้ติดตามคู่รักที่พูดคุยกันอยู่ในชีวิตจริง
หนังใช้บทสนทนาของสองตัวละครเดินเรื่องไปตั้งแต่ต้นจนจบไตรภาค เล่าตั้งแต่ความคิดในเรื่องความรัก ชีวิต ศิลปะ ไปจนถึงความเชื่อตั้งแต่ทางสังคมการเมืองและศาสนา ผ่านแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่การยังมองโลกอย่างมีไฟแรงกล้าในวัยรุ่นผู้ค้นหา การมองโลกอย่างเริ่มเข้าใจความเป็นไปในวัยผู้ใหญ่ จนการต้องมานั่งทบทวนตัวเองและความสัมพันธ์ที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้นในวัยกลางคน
ทำให้ผู้ชมจำเป็นต้องใช้สมาธิในการชมพอสมควร และควรมีวุฒิภาวะอย่างน้อยในวัยเดียวกับตัวละครในแต่ละภาค (ผมคนหนึ่งที่เคยดูหนึ่งในเรื่องนี้สมัยเด็ก ๆ แล้วดูไม่จบเพราะยังไม่อินพอ) จึงจะยิ่งดื่มด่ำไปกับบทสนทนาของทั้งคู่ตามช่วงเวลา
หากพูดถึงไตรภาคนี้เฉพาะเรื่องความรัก เราเริ่มเห็นความเป็นไปของความรักแบบหนุ่มสาวที่ประทับใจแต่แรกเห็น ตัดสินใจอย่างไม่ต้องคิดมากนัก ใช้ช่วงเวลาแบบโรแมนติคราวกับหลุดไปในนิยาย มีความคิดแบบขบถเสรี พูดถึงแต่อนาคตที่คิดฝัน และจากกันไปอย่างฝังใจ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบทศวรรษ เราก็พบกับการกลับมาเจอในสภาพวัยผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่การงาน เปลี่ยนผ่านชีวิตมาระดับหนึ่ง ได้เห็นโลกมากขึ้น มีเงื่อนไขในชีวิตมากขึ้น (ตัวเอกชายถึงกับแต่งงานมีลูก) บทสนทนาทั้งคู่จึงเหมือนได้พบคนรักที่ฝังใจและเพื่อนที่รู้ใจที่โหยหามานาน เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของชีวิตแต่ละฝ่าย เปลี่ยนจากคุยความฝันกลายเป็นความเป็นไปของชีวิตจริง และอาวรณ์กับเรื่องราวที่ผ่านไปในห้วงเวลาที่พบและจากกัน สุดท้ายเมื่อทั้งคู่ตัดสินใจทำตามฝันเพื่อใช้ชีวิตร่วมกันหลังจากกลับมาพบไปอีกทศวรรษ ในวัยกลางคน เราจึงพบว่าหลากหลายความรับผิดชอบในชีวิตได้กลืนกินตัวตนพวกเขาไป โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่มีภาระหน้าที่ของความเป็นแม่บีบคั้น บทสนทนาของทั้งคู่จึงเปลี่ยนไป ช่วงเวลาของการพูดคุยเป็นกันเองและน่าจดจำดังสองภาคแรกจึงมีเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนเปิดเรื่อง การแลกเปลี่ยนความคิดของคนทุกวัยบนโต๊ะอาหาร และการเดินชมเมืองเล็ก ๆ ดังสองภาคแรกเท่านั้น หนังใช้องค์สุดท้ายของเรื่องอยู่แต่ภายในห้องของโรงแรมราวกับเป็นที่กักขังทั้งคู่ไม่ใช่ความเพลิดเพลินจากการเดินทางไปข้างหน้าอีกแล้ว ทั้งคู่ต่างพูดคุยแต่เรื่องในชีวิตที่ไม่เป็นไปดังคิดแต่ต่างต้องประนีประนอมต่อกันมา ความหมาดหมางใจจากชีวิตที่ใช้ร่วมกัน
การเดินทางของทั้งคู่จากการเฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้นร่วมกันก่อนจาก จนมาถึงการดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ไม่อาจห้ามได้แม้เว้าวอนเพียงใด ฉากสุดท้ายของทั้งคู่ยังแสดงให้เห็นถึงทางที่ต้องเลือกเป็นปลายเปิดของคู่รักร่วมสองทศวรรษว่าจะเดินต่อไปเช่นไร ปนเปความรู้สึกทั้งเศร้าใจในความรักโรแมนติคในอดีตที่จบไป หรือจะสุขใจกับการยอมรับตัวตนและความจริงในชีวิตของแต่ละคนแล้วเดินต่อไปร่วมกัน
ขอบคุณที่โลกนี้มีภาพยนตร์
9/10