อูลูรู (Uluru)
หรือ "หินแอร์ส"

Ayers Rock) ชื่ออุลูรูเป็นชื่อทางการซึ่งใช้ในปัจจุบัน ส่วนชื่อหินแอร์สนั้นตั้งตามชื่อ เซอร์เฮนรี แอร์ส นายกรัฐมนตรีของเซาธ์ออสเตรเลีย ซึ่งตั้งไว้ในปี ค.ศ. 1873
อูลูรู (Uluru) - เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจิน หรือ อะนานู ซึ่งเป็นขนเผ่าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย โดยภูเขาแห่งนี้มีอายุมากว่า 40,000 ปี เป็นเขาเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ก้อนหินดังกล่าวนี้เกิดจากแรงดันใต้พื้นดิน ผลักดันก้อนหินขึ้นมา เหนือพื้นแผ่นดินเมื่อประมาณ 650 ล้านปีที่แล้ว อูลูรู มีขนาดใหญ่ถึง 3 ตารางกิโลเมตร สูง 345 เมตร และรอบฐานยาว 9.4 กิโลเมตร โดยลักษณะภูเขาแห่งนี้ เหมือนแท่งตั้งตระหง่านที่ความสูง 348 เมตร และคล้ายกับภูเขาน้ำแข็งที่ส่วนใหญ่ของหินยังคงอยู่ข้างใต้ โขดหินอูลูรูจึงว่าถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศออสเตรเลียอย่างหนึ่ง เทียบเท่าโอเปร่าเฮาส์ของเมืองซิดนีย์เลยก็ว่าได้
สีสันของอูลูรูมักจะมีสีต่างกัน จากหินสีดำทะมึนในตอนกลางคืนก็ค่อยๆกลายเป็นสีม่วงอ่อน ปรากฏเป็นรูปร่างทีละน้อย และเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มสาดแดง ผิวของโขดหินอูลูรูก็จะสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายสีสันต่างๆไล่กันไป มีตั้งแต่สีแดงแก่อ่อนจนถึงสีชมพูโทนต่างๆ จนในที่สุดโขดหินก็สว่างทั้งก้อน สีสันต่างๆนั้นจะเปลี่ยนตลอดทั้งวัน มีตั้งแต่สีทอง สีดง ชมพู สีทับทิม สีแดงก่ำ และสีม่วง
ตำนานของชาวอะบอริจินีกล่าวไว้ว่า โขดหินอุรูลูเป็นภูมิประเทศเส้นทางแห่งความฝัน บรรพบุรุษสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยจูคูร์ปา (ยุคแห่งช่วงฝัน) ซึ่งเป็นพื้นพิภพกำลังก่อตัว ในยุคนั้นบริเวณแถบโขดหินอุลูรูเป็นถิ่นของมนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้และมนุษย์งูคาร์เป็ต
ครั้งหนึ่งมนุษย์งูคาร์เป็ตถูกมนุษย์งูพิษรุกรานซึ่งพวกมนุษย์งูพิษเป็นศัตรูจากแดนใต้ และพวกมนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้ก็ได้เข้ามช่วยเหลือมนุษย์งูคาร์เป็ต
โดยหัวหน้าเผ่ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้โดยเจ้าแม่บูลาริก็ได้เป่าพิษร้ายแห่งความตายและเชื้อโรคเข้าใส่ศัตรู อีกตำนานยังเล่าว่ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้นี้ได้ถูกศัตรูรุกรานโดยการปล่อยหมาป่าดิงโก้ ออกมากัด แต่โชคดีที่มนุษย์ครึ่งกระต่ายหลบหนีได้เพราะสามารถกระโดดได้ไกลกว่า
ปัจจุบันนี้ชาวอะบอริจินีเชื่อว่าร่างของมนุษย์ครึ่งงูพิษถูกสาปให้กลายเป็นโขดหินอุลูรู และรอยน้ำไหลที่ด้านหนึ่งของหินเป็นรอยเลือด ส่วนรอยเท้ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้นั้นที่ทิ้งไว้ขณะวิ่งหนีศัตรูได้กลายเป็นถ้ำทั้งหลายที่ฐานโขดหิน
และเชื่อกันว่าที่นี้เป็นที่อยู่ของคนตายในเผ่าอะบอริจิน หากใครนำเอาก้อนหินนี้ไป จะพบแต่ความโชคร้าย อาจเกิดหายนะถึงแก่ชีวิต
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.facebook.com/pichappy
มหัศจรรย์ธรรมชาติที่ อูลูรู อีกครั้ง (ออนไลน์). สืบค้นจาก:
http://www.mundoyo.com/Journal/?j=1182 [16 มกราคม 2554]
อูลูรู(Uluru )หินก้อนเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ออนไลน์). สืบค้นจาก:
http://www.ความรู้รอบตัว.com/ที่สุดในโลก-ความรู้รอบ/อูลูรูuluru-หินก้อนเดี่ยวที.html. [9 ธันวาคม 2555]
Cr.
http://www.thaibizaustralia.com/au/knowledges/detail.php?id=17295
“น้ำตกเมดูซ่า”
ที่เมืองนาเรสโบโรห์ ประเทศอังกฤษ มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีทั้งความน่ากลัวและน่าพิศวงอยู่ในที่เดียวกัน ที่นั่นคือ อุโมงค์น้ำตก Petrifying Well น้ำตกที่นี่ถ้าดูผิวเผินอาจจะดูเหมือนน้ำตกธรรมดาทั่วไป
อุโมงค์น้ำตก Petrifying Well มีอีกฉายาหนึ่งว่า อุโมงค์น้ำตกเมดูซ่า เพราะด้วยตัวของอุโมงค์นั้นมีรูปร่างละม้ายคล้ายกับหน้าคน และเมื่อนำสิ่งของอะไรก็ตามไปวางไว้ที่ใต้น้ำตกแห่งนี้ สิ่งๆ นั้นจะกลายเป็นหินราวกับต้องมนต์ของเมดูซ่า แต่ต้องใช้เวลาในการกลายสภาพเป็นหินประมาณ 3-5 เดือน
แต่เดิมผู้คนเชื่อว่าอุโมงค์นี้โดนคำสาป สิ่งของต่างๆจึงกลายเป็นหิน กลายเป็นหินแผ่น ซากศพของสัตว์ก็กลายเป็นหิน กระจายไปทั่วบริเวณข้างๆอุโมงค์ เป็นต้น นอกจากนี้ เนื่องจากอุโมงค์นี้ดูเหมือนกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีเรื่องเล่าอีกอย่างคือ ข้างในนั้นมีปีศาจอาศัยอยู่
ก็คือแม่ชีชิฟตัน(Mother Shipton)ได้กำเนิดที่นี่ เธอเป็นลูกสาวของโสเภณี รูปลักษณ์ภายนอกอัปลักษณ์ จึงโดนชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่าปีศาจ ตามตำนานบอกว่า เธอทำนายถูกว่าขบวนเรือรบของสเปนจะพ่ายแพ้ ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ลอนดอน ในปี 1666
ในทางวิทยาศาสตร์ได้ให้คำตอบว่า สิ่งที่ทำให้ของเหล่านั้นกลายเป็นหินได้ก็คือ แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตในน้ำนั้นมีสูงมากจนสามารถไปเคลือบทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้น้ำตกให้กลายเป็นหินคล้ายกับการเกิดหินงอกหินย้อยนั่นเอง
cr.odditycentral.com,SpokeDark.TV
http://www.liekr.com/post_135435.html
Cr.
https://www.tvpoolonline.com/content/342074
สะพานหินโบราณในสกอตแลนด์
เผยเรื่องราวลี้ลับอาถรรพ์ของสะพานหินโบราณในประเทศสกอตแลนด์ สถานที่ที่ดึงดูดให้สุนัขกระโดดฆ่าตัวตายกว่า 600 ตัว โดยเชื่อว่ามีบางสิ่งบางอย่างให้สุนัขกระโดดลงไปสู่พื้นจนเสียชีวิต
สะพานแห่งนี้มีชื่อว่า สะพานโอเวอร์โทน (Overtoun Bridge) ตั้ง อยู่ที่เมืองเวสต์ดันบาร์ตันเชียร์ สหราชอาณาจักร เป็นสะพานเก่าแก่กว่าศตวรรษ ซึ่งอยู่ติดกับปราสาทสไตล์โกธิค ชื่อ โอเวอร์โทน เฮ้าส์ เชื่อกันว่ามีวิญญาณของไวท์เลดี้โอเวอร์โทนสถิตอยู่ที่นี่มากว่า 100 ปี
แต่ปรากฏการณ์ประหลาดที่คร่าชีวิตสุนัขหลายตัว เพิ่งจะได้รับการเก็บสถิติตั้งแต่ช่วงปี 2005 เมื่อมีสุนัขจำนวน 5 ตัว มากระโดดฆ่าตัวตายจากสะพานที่มีความสูงถึง 15 เมตร ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งปี และในเวลาต่อมา สุนัขจำนวนกว่า 600 ตัวที่ผ่านมาละแวกนี้ก็ทยอยพากันมากระโดดจากสะพานแห่งนี้ และมีบันทึกว่าการดิ่งพสุธาลงไปฆ่าตัวตายของพวกมัน แต่พวกมันตายจริง ๆ ถึง 50 ตัวด้วยกัน
ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนี้ผูกโยงกับสิ่งลี้ลับและสันนิษฐานกันไปต่าง ๆ นานา โดยนอกจากเรื่องราววิญญาณไวท์เลดี้โอเวอร์โทนแล้ว ยังมีรายงานว่าในปี 2537 ชายคนหนึ่งชื่อว่า เควิน มอย ได้โยนลูกชายของตัวเองตกลงไปตาย จากนั้นจึงกระโดดฆ่าตัวตายตามลงไปตรงที่เดียวกันนั้น ผู้คนจึงพากันเชื่อว่านี่เป็นอาถรรพ์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สุนัขเป็นจำนวนมากตกลงมาตายที่สะพานแห่งนี้
ดร.เดวิด แซนส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุนัข เปิดเผยว่า ได้มีการทดสอบกับสุนัขตัวหนึ่งชื่อ เฮนดริกซ์ วัย 19 ปี โดยให้มันเดินข้ามสะพานแห่งนี้ ในตอนแรก เฮนดริกซ์ก็ดูสบายอกสบายใจดี แต่จู่ ๆ มันก็มีอาการหยุดนิ่งชะงัก และจ้องมองที่บางสิ่งอย่างไม่วางตา และโชคดีที่เฮนดริกซ์ไม่สามารถกระโดดข้ามราวสะพานไปได้เพราะมันแก่มากแล้ว
เพื่อไขคดีปริศนานี้ให้ได้ ดร.เดวิด เซ็กซ์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์ ได้เดินทางมาพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยการลงไปสำรวจที่ใต้สะพาน พบว่าพื้นดินเบื้องล่างเป็นรังขนาดใหญ่ของหนู ตัวมิงค์ และกระรอก เขาจึงสันนิษฐานว่ากลิ่นฉุน ๆ ของสัตว์ฟันแทะเหล่านี้อาจปลุกเร้าสัญชาตญาณนักล่า จนต้องกระโดดออกจากสะพาน แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น
Cr.
https://way-of-life-menmen.blogspot.com/2016/08/blog-post.html
รีสอร์ทร้าง ในเมือง New Taipei
ตอนนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีน Hung Kuo Group วางแผนที่จะสร้างรีสอร์สุดหรูไว้ให้สำหรับทหารอเมริกัน เอาไว้สำหรับการพักผ่อน แต่ว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นดังต้องการ เพราะว่าพื้นที่ที่ใช้ในการสร้างรีสอร์เป็นดินแดนต้องคำสาป และนอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อันเลวร้ายเกิด คือคนงานที่ทำการก่อสร้างที่นี้ได้ถูกพรากชีวิตไปหลายคน
การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1978 ในเมืองนิวไทเป (New Taipei) ประเทศไต้หวัน การออกแบบรีสอร์ที่นี้เน้นความทันสมัย ซึ่งในแต่ละห้องพักสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้รอบเลยทีเดียว และยังมีการสร้างสวนน้ำในรีสอร์นี้อีกด้วย หลังจากนั้น 2 ปี การสร้างก็ต้องหยุดชะงักลงไป เพราะมีข่าวลือว่า “รีสอร์แห่งนี้สร้างทับบนหลุมฝังศพของทหารฮอลแลนด์ มีคนงานหลายคนได้ฝันเห็นทหารชาวยุโรปในชุดโบราณเข้ามาทำร้ายตนเอง”
และในขณะที่กำลังทำการก่อสร้างก็ได้มีคนงานฆ่าตัวตายไปหลายคน โดยไม่ทราบสาเหตุ และยังมีอีกตำนานหนึ่งที่ถูกกล่าวขานกันต่อมาอีกว่า เมื่อในอดีต ณ ที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมังกรจีนอันศักสิทธิ์ ผู้ซึ่งไม่ชอบให้ใครเข้ามารบกวน
เมื่อหยุดทำการก่อสร้างลง ก็มีชาวเมืองหลายคนได้เข้าไปทำการสำรวจในรีสอร์นี้กันอย่างมากมาย จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายเข้าไปพิสูจน์ความกล้ากัน นอกจากนี้รีสอร์แห่งนี้ยังถูกใช้ทำเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์และมิวสิวีดิโออีกหลายชิ้น
เคยมีการวางแผนที่จะอนุรักษ์รีสอร์แห่งนี้เอาไว้ แต่แล้วสุดท้าย มันก็ต้องถูกยุติลงไปเมื่อปี ค.ศ. 2008 แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 2010 รีสอร์แห่งนี้ก็ถูกขายต่อไปให้กับบริษัทอีกแห่งหนึ่งและพวกเขาได้วางแผนที่จะสร้างรีสอร์นี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ที่มา :
https://www.wittyfeed.com
Cr.
https://lifestyle.campus-star.com/scoop/33579.html
Dibbuk Box กล่องต้องคำสาป
อ้างอิงจากเรื่องเล่าของชาวยิว Dibbuk Box คือกล่องที่มีปีศาจที่ชั่วร้ายสิงสถิตอยู่ และมันสามารถครอบงำผู้ที่เป็นเจ้าของ ซึ่งเรื่องราวของกล่องต้องสาปนี้ได้โด่งดังไปทั่วโลก
เรื่องราวสยองนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายนปี 2001 เมื่อ เควิน แมนนิส ได้เข้าประมูลสิ่งของในบ้านเก่าแก่หลังหนึ่งที่ถูกขายในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน โดยเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวเป็นหญิงชราวัย 103 ปี ที่เคยอยู่ในค่ายกักกันนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะหนีออกไปยังสเปน ซึ่งเธอได้ซื้อกล่องไวน์นี้มาและนำมันติดตัวมายังอเมริกาด้วย
หลานสาวของหญิงชราอธิบายว่า กล่องไวน์นี้ไม่เคยถูกเปิด เพราะยายของเธอเล่าว่า มันมีปีศาจที่ชื่อว่า Dibbuk อยู่ข้างในนั้น และตามประเพณีของชาวยิวแล้ว เธอต้องให้กล่องนี้ถูกฝังไปพร้อมกับเธอ
แต่ถึงเจ้าของเก่าจะไม่เคยเปิดมัน แต่เควินก็ตัดสินใจเปิดมัน และพบว่า ข้างในกล่องมีเหรียญเพนนีในยุคทศวรรษที่ 1920 สองเหรียญ ปอยผมสีบลอนด์และสีดำถูกมัดด้วยด้าย ป้ายทีแกะสลักเป็นภาษาฮิบบรูเขียนว่า “Shalom” แก้วไวน์ทองเหลือง ดอกกุหลาบที่แห้งแล้ว เชิงเทียนที่มีขาตั้งเป็นรูปหนวดปลาหมึก
หลังจากนำกล่องนี้มาเก็บไว้ในห้องใต้ดิน เควินและผู้ช่วยก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ ที่น่ากลัวในห้องใต้ดิน ประตูห้องปิดและล็อคเอง ไฟเปิดปิดได้เอง และจู่ๆ ไฟก็ระเบิด หรือแม้กระทั่งมีกลิ่นเหม็นคล้ายฉี่แมวลอยอยู่ในอากาศ หลังจากนั้นไม่นาน เควินได้มอบกล่องนี้ให้แม่ของเขาเพื่อเป็นของขวัญ ซึ่งหลังจากที่เธอรับกล่องนี้ไปไม่นานก็เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
เควินเริ่มหลอนกับกล่องต้องสาปนี้ และเขาได้พยายามมอบกล่องนี้เพื่อเป็นของขวัญให้คนอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่นานกล่องนี้ก็ถูกนำมาคืนเขาภายในเวลาไม่กี่วัน
สุดท้าย เจสัน แฮกซ์สัน ภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์การแพทย์ในรัฐมิสซูรี ได้ประมูลกล่องต้องสาปชิ้นนี้ไป หลังจากนั้นเขาก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ความหลอนของกล่อง Dibbuk Box นี้ จนกระทั่งเรื่องราวของกล่องสยอง ก็ถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ที่ชื่อ The Possession ที่เข้าฉายในปี 2012
ที่มา : dibbukbox | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
Cr.
https://petmaya.com/dibbuk-box-possession
Cr.
https://www.facebook.com/LSS.thailand/photos/dibbuk-box-กล่องขังวิญญาณร้าย-เรื่องจริงหรือแหกตา-หลังจากที่ผมได้ดูเรื่อง-the-po/566016446759433/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สถานที่นี้มีเรื่องเล่า
หรือ "หินแอร์ส"
อูลูรู (Uluru) - เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจิน หรือ อะนานู ซึ่งเป็นขนเผ่าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย โดยภูเขาแห่งนี้มีอายุมากว่า 40,000 ปี เป็นเขาเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ก้อนหินดังกล่าวนี้เกิดจากแรงดันใต้พื้นดิน ผลักดันก้อนหินขึ้นมา เหนือพื้นแผ่นดินเมื่อประมาณ 650 ล้านปีที่แล้ว อูลูรู มีขนาดใหญ่ถึง 3 ตารางกิโลเมตร สูง 345 เมตร และรอบฐานยาว 9.4 กิโลเมตร โดยลักษณะภูเขาแห่งนี้ เหมือนแท่งตั้งตระหง่านที่ความสูง 348 เมตร และคล้ายกับภูเขาน้ำแข็งที่ส่วนใหญ่ของหินยังคงอยู่ข้างใต้ โขดหินอูลูรูจึงว่าถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศออสเตรเลียอย่างหนึ่ง เทียบเท่าโอเปร่าเฮาส์ของเมืองซิดนีย์เลยก็ว่าได้
สีสันของอูลูรูมักจะมีสีต่างกัน จากหินสีดำทะมึนในตอนกลางคืนก็ค่อยๆกลายเป็นสีม่วงอ่อน ปรากฏเป็นรูปร่างทีละน้อย และเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มสาดแดง ผิวของโขดหินอูลูรูก็จะสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายสีสันต่างๆไล่กันไป มีตั้งแต่สีแดงแก่อ่อนจนถึงสีชมพูโทนต่างๆ จนในที่สุดโขดหินก็สว่างทั้งก้อน สีสันต่างๆนั้นจะเปลี่ยนตลอดทั้งวัน มีตั้งแต่สีทอง สีดง ชมพู สีทับทิม สีแดงก่ำ และสีม่วง
ตำนานของชาวอะบอริจินีกล่าวไว้ว่า โขดหินอุรูลูเป็นภูมิประเทศเส้นทางแห่งความฝัน บรรพบุรุษสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยจูคูร์ปา (ยุคแห่งช่วงฝัน) ซึ่งเป็นพื้นพิภพกำลังก่อตัว ในยุคนั้นบริเวณแถบโขดหินอุลูรูเป็นถิ่นของมนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้และมนุษย์งูคาร์เป็ต
ครั้งหนึ่งมนุษย์งูคาร์เป็ตถูกมนุษย์งูพิษรุกรานซึ่งพวกมนุษย์งูพิษเป็นศัตรูจากแดนใต้ และพวกมนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้ก็ได้เข้ามช่วยเหลือมนุษย์งูคาร์เป็ต
โดยหัวหน้าเผ่ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้โดยเจ้าแม่บูลาริก็ได้เป่าพิษร้ายแห่งความตายและเชื้อโรคเข้าใส่ศัตรู อีกตำนานยังเล่าว่ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้นี้ได้ถูกศัตรูรุกรานโดยการปล่อยหมาป่าดิงโก้ ออกมากัด แต่โชคดีที่มนุษย์ครึ่งกระต่ายหลบหนีได้เพราะสามารถกระโดดได้ไกลกว่า
ปัจจุบันนี้ชาวอะบอริจินีเชื่อว่าร่างของมนุษย์ครึ่งงูพิษถูกสาปให้กลายเป็นโขดหินอุลูรู และรอยน้ำไหลที่ด้านหนึ่งของหินเป็นรอยเลือด ส่วนรอยเท้ามนุษย์ครึ่งกระต่ายครึ่งจิงโจ้นั้นที่ทิ้งไว้ขณะวิ่งหนีศัตรูได้กลายเป็นถ้ำทั้งหลายที่ฐานโขดหิน
และเชื่อกันว่าที่นี้เป็นที่อยู่ของคนตายในเผ่าอะบอริจิน หากใครนำเอาก้อนหินนี้ไป จะพบแต่ความโชคร้าย อาจเกิดหายนะถึงแก่ชีวิต
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.facebook.com/pichappy
มหัศจรรย์ธรรมชาติที่ อูลูรู อีกครั้ง (ออนไลน์). สืบค้นจาก: http://www.mundoyo.com/Journal/?j=1182 [16 มกราคม 2554]
อูลูรู(Uluru )หินก้อนเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ออนไลน์). สืบค้นจาก: http://www.ความรู้รอบตัว.com/ที่สุดในโลก-ความรู้รอบ/อูลูรูuluru-หินก้อนเดี่ยวที.html. [9 ธันวาคม 2555]
Cr.http://www.thaibizaustralia.com/au/knowledges/detail.php?id=17295
“น้ำตกเมดูซ่า”
ที่เมืองนาเรสโบโรห์ ประเทศอังกฤษ มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีทั้งความน่ากลัวและน่าพิศวงอยู่ในที่เดียวกัน ที่นั่นคือ อุโมงค์น้ำตก Petrifying Well น้ำตกที่นี่ถ้าดูผิวเผินอาจจะดูเหมือนน้ำตกธรรมดาทั่วไป
อุโมงค์น้ำตก Petrifying Well มีอีกฉายาหนึ่งว่า อุโมงค์น้ำตกเมดูซ่า เพราะด้วยตัวของอุโมงค์นั้นมีรูปร่างละม้ายคล้ายกับหน้าคน และเมื่อนำสิ่งของอะไรก็ตามไปวางไว้ที่ใต้น้ำตกแห่งนี้ สิ่งๆ นั้นจะกลายเป็นหินราวกับต้องมนต์ของเมดูซ่า แต่ต้องใช้เวลาในการกลายสภาพเป็นหินประมาณ 3-5 เดือน
แต่เดิมผู้คนเชื่อว่าอุโมงค์นี้โดนคำสาป สิ่งของต่างๆจึงกลายเป็นหิน กลายเป็นหินแผ่น ซากศพของสัตว์ก็กลายเป็นหิน กระจายไปทั่วบริเวณข้างๆอุโมงค์ เป็นต้น นอกจากนี้ เนื่องจากอุโมงค์นี้ดูเหมือนกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีเรื่องเล่าอีกอย่างคือ ข้างในนั้นมีปีศาจอาศัยอยู่
ก็คือแม่ชีชิฟตัน(Mother Shipton)ได้กำเนิดที่นี่ เธอเป็นลูกสาวของโสเภณี รูปลักษณ์ภายนอกอัปลักษณ์ จึงโดนชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่าปีศาจ ตามตำนานบอกว่า เธอทำนายถูกว่าขบวนเรือรบของสเปนจะพ่ายแพ้ ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ลอนดอน ในปี 1666
ในทางวิทยาศาสตร์ได้ให้คำตอบว่า สิ่งที่ทำให้ของเหล่านั้นกลายเป็นหินได้ก็คือ แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตในน้ำนั้นมีสูงมากจนสามารถไปเคลือบทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้น้ำตกให้กลายเป็นหินคล้ายกับการเกิดหินงอกหินย้อยนั่นเอง
cr.odditycentral.com,SpokeDark.TV
http://www.liekr.com/post_135435.html
Cr.https://www.tvpoolonline.com/content/342074
สะพานหินโบราณในสกอตแลนด์
เผยเรื่องราวลี้ลับอาถรรพ์ของสะพานหินโบราณในประเทศสกอตแลนด์ สถานที่ที่ดึงดูดให้สุนัขกระโดดฆ่าตัวตายกว่า 600 ตัว โดยเชื่อว่ามีบางสิ่งบางอย่างให้สุนัขกระโดดลงไปสู่พื้นจนเสียชีวิต
สะพานแห่งนี้มีชื่อว่า สะพานโอเวอร์โทน (Overtoun Bridge) ตั้ง อยู่ที่เมืองเวสต์ดันบาร์ตันเชียร์ สหราชอาณาจักร เป็นสะพานเก่าแก่กว่าศตวรรษ ซึ่งอยู่ติดกับปราสาทสไตล์โกธิค ชื่อ โอเวอร์โทน เฮ้าส์ เชื่อกันว่ามีวิญญาณของไวท์เลดี้โอเวอร์โทนสถิตอยู่ที่นี่มากว่า 100 ปี
แต่ปรากฏการณ์ประหลาดที่คร่าชีวิตสุนัขหลายตัว เพิ่งจะได้รับการเก็บสถิติตั้งแต่ช่วงปี 2005 เมื่อมีสุนัขจำนวน 5 ตัว มากระโดดฆ่าตัวตายจากสะพานที่มีความสูงถึง 15 เมตร ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งปี และในเวลาต่อมา สุนัขจำนวนกว่า 600 ตัวที่ผ่านมาละแวกนี้ก็ทยอยพากันมากระโดดจากสะพานแห่งนี้ และมีบันทึกว่าการดิ่งพสุธาลงไปฆ่าตัวตายของพวกมัน แต่พวกมันตายจริง ๆ ถึง 50 ตัวด้วยกัน
ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนี้ผูกโยงกับสิ่งลี้ลับและสันนิษฐานกันไปต่าง ๆ นานา โดยนอกจากเรื่องราววิญญาณไวท์เลดี้โอเวอร์โทนแล้ว ยังมีรายงานว่าในปี 2537 ชายคนหนึ่งชื่อว่า เควิน มอย ได้โยนลูกชายของตัวเองตกลงไปตาย จากนั้นจึงกระโดดฆ่าตัวตายตามลงไปตรงที่เดียวกันนั้น ผู้คนจึงพากันเชื่อว่านี่เป็นอาถรรพ์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สุนัขเป็นจำนวนมากตกลงมาตายที่สะพานแห่งนี้
ดร.เดวิด แซนส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุนัข เปิดเผยว่า ได้มีการทดสอบกับสุนัขตัวหนึ่งชื่อ เฮนดริกซ์ วัย 19 ปี โดยให้มันเดินข้ามสะพานแห่งนี้ ในตอนแรก เฮนดริกซ์ก็ดูสบายอกสบายใจดี แต่จู่ ๆ มันก็มีอาการหยุดนิ่งชะงัก และจ้องมองที่บางสิ่งอย่างไม่วางตา และโชคดีที่เฮนดริกซ์ไม่สามารถกระโดดข้ามราวสะพานไปได้เพราะมันแก่มากแล้ว
เพื่อไขคดีปริศนานี้ให้ได้ ดร.เดวิด เซ็กซ์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์ ได้เดินทางมาพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยการลงไปสำรวจที่ใต้สะพาน พบว่าพื้นดินเบื้องล่างเป็นรังขนาดใหญ่ของหนู ตัวมิงค์ และกระรอก เขาจึงสันนิษฐานว่ากลิ่นฉุน ๆ ของสัตว์ฟันแทะเหล่านี้อาจปลุกเร้าสัญชาตญาณนักล่า จนต้องกระโดดออกจากสะพาน แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น
Cr. https://way-of-life-menmen.blogspot.com/2016/08/blog-post.html
รีสอร์ทร้าง ในเมือง New Taipei
ตอนนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีน Hung Kuo Group วางแผนที่จะสร้างรีสอร์สุดหรูไว้ให้สำหรับทหารอเมริกัน เอาไว้สำหรับการพักผ่อน แต่ว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นดังต้องการ เพราะว่าพื้นที่ที่ใช้ในการสร้างรีสอร์เป็นดินแดนต้องคำสาป และนอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อันเลวร้ายเกิด คือคนงานที่ทำการก่อสร้างที่นี้ได้ถูกพรากชีวิตไปหลายคน
การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1978 ในเมืองนิวไทเป (New Taipei) ประเทศไต้หวัน การออกแบบรีสอร์ที่นี้เน้นความทันสมัย ซึ่งในแต่ละห้องพักสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้รอบเลยทีเดียว และยังมีการสร้างสวนน้ำในรีสอร์นี้อีกด้วย หลังจากนั้น 2 ปี การสร้างก็ต้องหยุดชะงักลงไป เพราะมีข่าวลือว่า “รีสอร์แห่งนี้สร้างทับบนหลุมฝังศพของทหารฮอลแลนด์ มีคนงานหลายคนได้ฝันเห็นทหารชาวยุโรปในชุดโบราณเข้ามาทำร้ายตนเอง”
และในขณะที่กำลังทำการก่อสร้างก็ได้มีคนงานฆ่าตัวตายไปหลายคน โดยไม่ทราบสาเหตุ และยังมีอีกตำนานหนึ่งที่ถูกกล่าวขานกันต่อมาอีกว่า เมื่อในอดีต ณ ที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมังกรจีนอันศักสิทธิ์ ผู้ซึ่งไม่ชอบให้ใครเข้ามารบกวน
เมื่อหยุดทำการก่อสร้างลง ก็มีชาวเมืองหลายคนได้เข้าไปทำการสำรวจในรีสอร์นี้กันอย่างมากมาย จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายเข้าไปพิสูจน์ความกล้ากัน นอกจากนี้รีสอร์แห่งนี้ยังถูกใช้ทำเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์และมิวสิวีดิโออีกหลายชิ้น
เคยมีการวางแผนที่จะอนุรักษ์รีสอร์แห่งนี้เอาไว้ แต่แล้วสุดท้าย มันก็ต้องถูกยุติลงไปเมื่อปี ค.ศ. 2008 แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 2010 รีสอร์แห่งนี้ก็ถูกขายต่อไปให้กับบริษัทอีกแห่งหนึ่งและพวกเขาได้วางแผนที่จะสร้างรีสอร์นี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ที่มา : https://www.wittyfeed.com
Cr.https://lifestyle.campus-star.com/scoop/33579.html
Dibbuk Box กล่องต้องคำสาป
อ้างอิงจากเรื่องเล่าของชาวยิว Dibbuk Box คือกล่องที่มีปีศาจที่ชั่วร้ายสิงสถิตอยู่ และมันสามารถครอบงำผู้ที่เป็นเจ้าของ ซึ่งเรื่องราวของกล่องต้องสาปนี้ได้โด่งดังไปทั่วโลก
เรื่องราวสยองนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายนปี 2001 เมื่อ เควิน แมนนิส ได้เข้าประมูลสิ่งของในบ้านเก่าแก่หลังหนึ่งที่ถูกขายในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน โดยเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวเป็นหญิงชราวัย 103 ปี ที่เคยอยู่ในค่ายกักกันนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะหนีออกไปยังสเปน ซึ่งเธอได้ซื้อกล่องไวน์นี้มาและนำมันติดตัวมายังอเมริกาด้วย
หลานสาวของหญิงชราอธิบายว่า กล่องไวน์นี้ไม่เคยถูกเปิด เพราะยายของเธอเล่าว่า มันมีปีศาจที่ชื่อว่า Dibbuk อยู่ข้างในนั้น และตามประเพณีของชาวยิวแล้ว เธอต้องให้กล่องนี้ถูกฝังไปพร้อมกับเธอ
แต่ถึงเจ้าของเก่าจะไม่เคยเปิดมัน แต่เควินก็ตัดสินใจเปิดมัน และพบว่า ข้างในกล่องมีเหรียญเพนนีในยุคทศวรรษที่ 1920 สองเหรียญ ปอยผมสีบลอนด์และสีดำถูกมัดด้วยด้าย ป้ายทีแกะสลักเป็นภาษาฮิบบรูเขียนว่า “Shalom” แก้วไวน์ทองเหลือง ดอกกุหลาบที่แห้งแล้ว เชิงเทียนที่มีขาตั้งเป็นรูปหนวดปลาหมึก
หลังจากนำกล่องนี้มาเก็บไว้ในห้องใต้ดิน เควินและผู้ช่วยก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ ที่น่ากลัวในห้องใต้ดิน ประตูห้องปิดและล็อคเอง ไฟเปิดปิดได้เอง และจู่ๆ ไฟก็ระเบิด หรือแม้กระทั่งมีกลิ่นเหม็นคล้ายฉี่แมวลอยอยู่ในอากาศ หลังจากนั้นไม่นาน เควินได้มอบกล่องนี้ให้แม่ของเขาเพื่อเป็นของขวัญ ซึ่งหลังจากที่เธอรับกล่องนี้ไปไม่นานก็เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
เควินเริ่มหลอนกับกล่องต้องสาปนี้ และเขาได้พยายามมอบกล่องนี้เพื่อเป็นของขวัญให้คนอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่นานกล่องนี้ก็ถูกนำมาคืนเขาภายในเวลาไม่กี่วัน
สุดท้าย เจสัน แฮกซ์สัน ภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์การแพทย์ในรัฐมิสซูรี ได้ประมูลกล่องต้องสาปชิ้นนี้ไป หลังจากนั้นเขาก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ความหลอนของกล่อง Dibbuk Box นี้ จนกระทั่งเรื่องราวของกล่องสยอง ก็ถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ที่ชื่อ The Possession ที่เข้าฉายในปี 2012
ที่มา : dibbukbox | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
Cr.https://petmaya.com/dibbuk-box-possession
Cr.https://www.facebook.com/LSS.thailand/photos/dibbuk-box-กล่องขังวิญญาณร้าย-เรื่องจริงหรือแหกตา-หลังจากที่ผมได้ดูเรื่อง-the-po/566016446759433/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)