กะโหลกศรีษะพิศวง

“หมวกกันน็อก” ที่ทำจากกะโหลกเด็ก
วารสาร Latin American Antiquity ได้มีการตีพิมพ์การค้นพบ โครงกระดูกเด็ก 2 ร่างในเอกวาดอร์ ถูกฝังไว้โดยใส่ “หมวกกันน็อก” ที่ทำจากกะโหลกศีรษะของเด็กอีกคน  การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยทีมสำรวจของมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งมีโอกาสเข้าไปสำรวจแหล่งโบราณคดีชื่อ Salango ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายฝั่งตอนกลางของประเทศ

ตลอดช่วงปี 2014-2016 ที่ทีมสำรวจใช้ในการสำรวจแหล่งโบราณคดี พวกเขาได้พบกับโครงกระดูกอย่างต่ำถึง 11 ร่าง โดยโครงกระดูกส่วนมากจะมี มีอายุอยู่ที่ราวๆ 2,100 ปี อย่างไรก็ตาม ไม่มีโครงกระดูกร่างไหนเลยที่จะน่าสนใจเท่ากับโครงกระดูกเด็กทั้งสองร่าง
 
อ้างอิงจากทีมสำรวจ โครงกระดูกเด็กที่พวกเขาพบทั้งสองร่างเป็นของเด็กที่ยังคงเป็นทารกอยู่ ในขณะที่กะโหลกศีรษะซึ่งถูกนำมาทำเป็นหมวกกันน็อกเป็นของเด็กที่มีอายุมากกว่าผู้สวมใส่อีกที   พวกเขาอธิบายเพิ่มเติมว่ากะโหลกศีรษะเหล่านี้ เชื่อกันว่าในตอนที่ถูกนำมาใส่ให้ทารก น่าจะยังคงมีเนื้อหนังติดอยู่เป็นบางส่วน เนื่องจากหากขาดเนื้อหนังไป ตัวหมวกกันน็อกจะไม่สามารถคงรูปร่างอยู่ได้ในรูปแบบที่พวกเขาพบ

เมื่อนักโบราณคดีได้ตรวจสอบกะโหลกศีรษะที่ถูกนำมาทำหมวกกันน็อกอย่างละเอียด พบว่าภายในของตัวหมวกยังมีกระดูกนิ้วท่อนปลายบรรจุอยู่ระหว่างศีรษะของเด็กกับตัวหมวก ทำให้เกิดปริศนาที่ว่าการฝังศพสุดแปลกนี้เกิดขึ้นเพื่ออะไร 
น่าเสียดายที่ข้อมูลในจุดนี้ นักโบราณคดีไม่สามารถบอกได้ว่าทั้งเด็กที่ถูกนำมาทำหมวกกันน็อกและเด็กที่สวมหมวกกันน็อกอยู่นั้น เป็นใครมาจากไหน หรือมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร

อย่างไรก็ตาม อ้างอิงจากการที่ในพื้นที่เคยมีประวัติภูเขาไฟระเบิดในช่วงเวลาเดียวกับที่เด็กเหล่านี้ถูกฝังพอดี กับที่เด็กร่างอื่นๆ มีร่องรอยการขาดอาหาร นักโบราณคดีคาดเดาไว้ว่าเด็กๆ เหล่านี้อาจจะเป็นเหยื่อของความอดอยาก ที่มาจากเหตุเถ้าภูเขาไฟ
ส่วนที่ว่าทำไมเด็กทั้งสองถึงต้องถูกฝังโดยใส่หมวกกันน็อกที่ทำจากกะโหลกคน อาจเป็นพิธีกรรมบางอย่างของชาวลาตินอเมริกาในเวลานั้นก็เป็นได้ 
ที่มา livescience, foxnews
Cr.https://www.catdumb.tv/infants-buried-wearing-skull-helmets-378/  By เหมียวศรัทธา

The Starchild skull 
เป็นหัวกะโหลกศีรษะคล้ายมนุษย์ โดยพบหัวกะโหลกนี้ในอุโมงค์เหมืองที่ประเทศเม็กซิโก โดยกะโหลกถูกฝังรวมกับโครงกระดูกมนุษย์ธรรมดาอีกหลายศพ ถูกครอบครองโดย  เรย์และ เมลานี ยอง

ภายหลังได้นำมาให้แก่นักมานุษยวิทยากับศัลยแพทย์และจักษุแพทย์ทำการตรวจสอบ ในเดือนกุมภาพันธ์ 1999 ก็พบความแปลกคือหัวกะโหลกมีรูปร่างผิดปกติ แต่สมองมีขนาดใหญ่กว่าของผู้ใหญ่โดยเฉลี่ย ด้านหลังกะโหลกแบน เบ้าตาตรวจพบว่าตาปูดออก จนมีคนคาดเดาว่าเป็นหัวกะโหลกของมนุษย์ต่างดาวจึงได้เอาไปพิสูจน์  ผลการตรวจขั้นต้น สรุปได้ว่าดีเอ็นเอของกะโหลกใบนั้นไม่ใช่คน เป็นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศเมีย  และจนบัดนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเจ้าของกะโหลกศีรษะนี้เป็นตัวอะไร
Cr. https://generalmenmen.blogspot.com/2016/10/the-starchild-skull.html / เขียนโดย menmen 

 “คนหัวสูง” แห่งคองโก
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2019 ทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเวียนนาได้ประกาศการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณสามร่างที่โครเอเชีย ตีพิมพ์ผ่านวารสาร PLOS One   ในบรรดาโครงกระดูกเหล่านี้ 2 ร่างมีกะโหลกศีรษะที่มีรูปร่างยาวกว่าปกติ   โครงกระดูกมนุษย์ทั้งสามร่างถูกพบในแหล่งโบราณคดีชื่อ Hermanov vinograd

โดยเป็นของเด็กวัยรุ่นผู้ชายอายุตอนเสียชีวิตอยู่ในช่วง 12-16 ปี  คาดว่าเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศักราชที่ 415-560 และมีร่องรอยของการขาดสารอาหาร  เด็กสองในสามคน มีร่องรอยการถูกดัดแปลงกะโหลกศีรษะด้วยวิธีการภายนอก ซึ่งคนหนึ่งมีกะโหลกศีรษะยาวกว่าปกติจากการถูกพันด้วยผ้าหรือเครื่องประดับแบบพิเศษ  ในขณะที่เด็กอีกคนมีร่องรอยคล้ายการถูกนำไม้กระดานมาติดหรือวางไว้ที่บริเวณหน้าผากจนทำให้กระโหลกมีการเปลี่ยนรูปร่างไปจนคล้ายฝักข้าวโพด

การดัดแปลงกระโหลกศีรษะในรูปแบบนี้แม้ว่าอาจจะฟังดูแปลก แต่ก็สามารถพบได้ในแทบทุกพื้นที่ทั่วโลก มักเป็นการกระทำเพื่อบ่งบอกว่าคนเหล่านี้มีฐานะทางสังคมแบบพิเศษ  ในปัจจุบันเรามีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการดัดแปลงกะโหลกแบบนี้อยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งมีอายุมากถึง 12,000 ปี

นักโบราณคดีไม่พบหลักฐานใดๆ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับกับสถานะทางสังคมของเด็กหนุ่มทั้งสามคน รู้เพียงว่าเด็กเหล่านี้ เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงการอพยพครั้งใหญ่ (Great Migration Period) ไม่นานหลังจากที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย และมี DNA เชื้อสายที่ต่างกัน
โดยเด็กที่กะโหลกไม่ถูกดัดแปลงนั้น มีเชื้อสายของชาวยูเรเชียตะวันตก ในขณะที่เด็กที่กะโหลกคล้ายฝักข้าวโพดเป็นชาวเอเชียตะวันออก (อาจจะเป็นชาวฮัน) และเด็กผู้ถูกดัดแปลงกะโหลกด้วยผ้าหรือเครื่องประดับเป็นชาวตะวันออกใกล้ (กลุ่ม Near East)
ที่มา livescience, dailymail
Cr.https://www.catdumb.tv/alien-like-skulls-unearthed-in-croatia-378/ By เหมียวศรัทธา

 "กะโหลก" ของ "พระเจ้าอองรีที่ 4"
(บั่นออกจากร่างอันเป็นผลมาจากการปฎิวัติฝรั่งเศส กะโหลกนี้ก็ถูกประมูลผ่านมือมาเรื่อยๆ) (AFP)
พระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ( เรียกพระนามตามแบบอังกฤษ Henry IV of France) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์บูร์บอง อันเป็นที่รักของชาวฝรั่งเศส แต่ถูกลอบสังหารในปี 1610 ขณะมีพระชนม์ได้ 57 พรรษา อันเนื่องมาจากประเด็นทางศาสนา
 
พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ในโบสถ์แซงเดอนี (Saint-Denis) ซึ่งเป็นที่ฝังศพของราชวงศ์ผู้ปกครองฝรั่งเศส แต่ในปี 1793 ช่วงที่เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส โบสถ์ดังกล่าวก็ถูกปล้นสดมภ์ มีการนำพระศพและซากโครงกระดูกของกษัตริย์ผู้ปกครองมาตัดชิ้นส่วนต่างๆ ออก แล้วโยนกลับลงไป  กระทั่งอีก 2 ศตวรรษต่อมา ปรากฎว่ามีกะโหลกศีรษะที่เชื่อว่าเป็นของพระเจ้าอองรีที่ 4 ถูกนำไปประมูล ซื้อขาย ส่งต่อไปเก็บไว้ตามที่ต่างๆ เป็นชุดสะสมของเหล่าเศรษฐี จนมีการนำมาพิสูจน์ว่าเจ้าชิ้นส่วนนี้เป็นของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสดังที่สงสัยกันไว้หรือไม่
       
ในที่สุด ทีมนิติวิทยาศาสตร์เมื่อได้วิเคราะห์แล้วก็ประกาศว่า ศรีษะดังกล่าวคือพระเศียรของกษัตริย์อองรีที่ 4 จริง  กะโหลกศีรษะดังกล่าวถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี และมี 2 ร่องรอยที่ศีรษะที่พบเห็นได้ชัดที่เหมือนของพระเจ้าอองรีที่ 4  อย่างแรกคือ รอยแผลที่เป็นสีดำ และมีลักษณะคล้ายดอกเห็ด ความยาวประมาณ 11 มม. อยู่เหนือบริเวณรูจมูก และสองคือ พบรูขนาดใหญ่ที่บริเวณติ่งหูขวา ซึ่งเป็นรอยของการใส่ต่างหูเป็นเวลานาน
 
ฟิลิปเป้ ชาร์ลิเยร์ (Philippe Charlier) นิติพยาธิแพทย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเรย์มองด์ ปวงกาเร ในเมืองการ์ชส์ ฝรั่งเศส (University Hospital Raymond Poincare in Garches) ผู้นำทีมวิเคราะห์ได้รายงานผลการพิสูจน์ตีพิมพ์ลงในวารสารบริติช เมดิซีน เจอร์นัล (British Medical Journal : BMJ) ฉบับวันพุธที่ 16 ธ.ค.2010
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
Cr.http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=1799&Itemid=0

กะโหลกแก้วมรณะ (Skull of Doom) 
(กะโหลกแก้วมรณะที่แอนนาค้นพบ เมื่อยามต้องแสงไฟดูงดงามอย่างน่าประหลาด แต่จากการตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ปรากฏว่าเป็นของที่ทำขึ้นในช่วงค.ศ.ที่ 19 เท่านั้น) 

ตำนานปรัมปราของชาวอเมริกากลางโบราณได้กล่าวเอาไว้ว่า “กะโหลกแก้วแห่งอารยธรรมแอสเท็กซ์มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 ชิ้น ในช่วงที่ชาวสเปนบุกเข้ามารุกรานนั้นกะโหลกเหล่านี้ได้กระจัดกระจายออกไปอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยที่กะโหลกแก้ว 12 ใน 13 ชิ้นถูกสร้างขึ้นมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น 12 ดวงที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่มาก่อนโลก และเมื่อโลกถือกำเนิดขึ้นมาและยังไร้ซึ่งวิทยาการใดๆ กะโหลกแก้วทั้ง 12 ชิ้นนี้จึงถูกส่งมายังโลกเพื่อถ่ายทอดสรรพวิชาความรู้อันก้าวล้ำให้กับมนุษย์โลก และกะโหลกแก้วชิ้นที่ 13 ก็ได้รับการรังสรรค์ขึ้นมาโดยมนุษย์บนโลกของเรานี่เอง 

"เมื่อกะโหลกทั้ง 13 ชิ้นได้อยู่พร้อมกัน ความลับของจักรวาลและชะตาลิขิตของมนุษยชาติจะถูกเปิดเผย”

ปัจจุบัน ยังไม่มีการค้นพบกะโหลกแก้วหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กะโหลกคริสตัล” ครบทั้ง 13 ชิ้นแต่อย่างใด จึงไม่สามารถได้ว่าถ้ามีการค้นพบกะโหลกคริสตัลทั้ง 13 ชิ้นตามตำนานแล้วมันจะเกิดปรากฏการณ์พิศวงหรือไม่ ปัจจุบันนักโบราณคดีได้ค้นพบกะโหลกคริสตัลของชาวอเมริกาโบราณมาแล้วไม่น้อย 

หนึ่งในข้อเท็จจริงที่นักโบราณคดีค้นพบกะโหลกแก้วแล้วเป็นจำนวนมาก ทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันไป และแน่นอนว่าจะต้องมีกะโหลกแก้ว “ของปลอม” รวมอยู่ด้วย
ส่วนกะโหลกที่ดูแล้วมีเสน่ห์ติดตรึงสายตาของผู้พบเห็นมากที่สุดก็คือ  กะโหลกแก้วชิ้นแรกสุดที่ถูกค้นพบในนครของชาวมายาโบราณที่มีชื่อว่า “ลูบานตุน” (Lubaantun) ในประเทศเบลิซ เมื่อปี ค.ศ.1924 ในชื่อว่า “กะโหลกแก้วมรณะ”

ที่มา : http://www.gypzyworld.com/article/view/702
ภาพ : https://theunredacted.com/mystery-of-the-crystal-skulls-the-stare-of-death/)
Cr.https://here-manman.blogspot.com/2017/09/blog-post.html   


สมองกลายเป็นแก้ว
นักมานุษยวิทยาชาวอิตาลีค้นพบส่วนหนึ่งของสมองที่กระเบิดจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ที่เสียชีวิตจากการระเบิดของภูเขาไฟภูเขาไฟวิสุเวียส ในอิตาลีเมื่อปี ค.ศ. 79 หรือในยุคของจักรวรรดิโรมัน 
การค้นพบนี้ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 16 มกราคมในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ถือเป็นสิ่งหายากในโบราณคดี โดยพบในซากปรักหักพังของเมืองเฮอร์คิวลาเนียม อีกหนึ่งเมืองโบราณใกล้ปอมเปอีที่ถูกฝังโดยเถ้าถ่านของภูเขาไฟภูเขาไฟวิสุเวียส

หลายปีที่ผ่านมานักวิชาการได้ศึกษาซากศพของผู้คนที่ถูกเถ้าถ่านลาวาและก๊าซพิษคร่าชีวิต เมื่อภูเขาไฟทางตอนใต้ของอิตาลีเกิดระเบิดเมื่อเกือบ 2,000 ปีก่อน และได้พบกับวัสดุแก้วแปลกๆในกะโหลกศีรษะของเหยื่อรายหนึ่ง
 
ปิเอร์ เปาโล เปโตรเน นักมานุษยวิทยานิติวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเนเปิลส์เฟเดริโกที่ 2 หนึ่งในนักวิจัยบอกกับ AFP ว่า ในเดือนตุลาคม 2018 ได้ตรวจสอบซากศพและเห็นว่ามีบางสิ่งที่แวววาวในกะโหลกศีรษะที่แตก และเขาค่อนข้างแน่ใจว่าน่าจะเป็นสมองของมนุษย์
การวิเคราะห์เพิ่มเติมโดย ปิเอโร ปุชชี จากศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง CEINGE ในเนเปิลส์  ยืนยันว่ามันประกอบด้วยโปรตีนและกรดไขมันจากผมและเนื้อเยื่อสมอง

ชายที่เป็นเจ้าของสมองแก้ว เชื่อว่าเคยเป็นผู้ปกครองของวิทยาลัยออกัสตัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางของลัทธิบูชาจักรพรรดิออกัสตัส ร่างที่ไหม้เกรียมของเขาถูกค้นพบในช่วงปี 1960 ภายในห้องพักของเขา โดยศพนอนอยู่บนเตียงไม้

นักวิจัยเชื่อว่าความร้อนเพิ่มขึ้นเป็น 520 องศาเซลเซียสจากก๊าซร้อนจากการปะทุ ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงพอที่จะทำให้ไขมันในร่างกายติดไฟและเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มกลายเป็นไอ อุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายกลายเป็นแก้ว

เฮอร์คิวลาเนียมเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของเมืองปอมเปอีในสมัยโรมันที่อุดมสมบูรณ์
เมื่อวิสุเวียสปะทุขึ้น ลาวาหลอมเหลวที่ปกคลุมเมืองมีความหนาถึง 16 เมตร ต่อมาแข็งตัวและรักษาซากอินทรีย์อายุเกือบ 2,000 ปีเอาไว้
Cr.https://www.posttoday.com/world/613126

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่