น.ช.เก่า

“ถ้าถูกจับ กูจะไม่ไปดูดำ ดูดีเลย” นี่คือคำพูดที่แม่ใช้ขู่ผมเป็นประจำในเวลาที่ผม “พี้ยา” จากผงขาว แม้เวลาจะผ่านมาได้เกือบยี่สิบปีแล้วหลังจากที่ผมได้พ้นโทษมาจากคดีมียาบ้าไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย และเฮโรอีนไว้เพื่อเสพ และสุดท้ายก็มีแต่แม่และน้องชายคนเล็กที่คอยไปเยี่ยม สำหรับพวกเพื่อน ๆ ที่ผมเคยช่วยเหลือในด้านการเงิน (แม้ตัวเองจะติดเสพ แต่เนื่องจากเป็นผู้จำหน่ายจึงพอมีเงินหมุนบ้าง) แค่ไปเยี่ยมช่วงสัปดาห์แรกเท่านั้นทีเหลือผมต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยสมองและสติปัญญาเท่าที่จะมีได้

แทบจะไม่มีใครเชื่อว่าเด็กที่เรียนใช้ได้และรวมทั้งเป็นเกย์ที่ค่อนข้างเรียบร้อยในสายตาผู้ใหญ่อย่างผมจะพลิกผันตัวเองจนกลายเป็นขี้ยาซึ่งไม่มีใครรู้แม้กระทั่งครอบครัวของผมเองว่าผมนั้นได้มีแผลเป็นในใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่จำความได้เนื่องจากเป็นลูกชายคนรองในครอบครัวคนจีนหัวโบราณที่ลูกชายคนแรกจะถูกทะนุถนอมส่วนคนรองจะถูกลืมความรู้สึกของเด็กที่ไร้เดียงสาที่ต้องคอยมองพี่ชายและน้องๆได้รับเสื้อผ้าใหม่ชองเล่นใหม่ส่วนตัวเองต้องได้รับของเก่าจากพี่ชายตลอดรวมทั้งถ้าหากว่าเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตามที่มีการผิดตามความเป็นเด็กที่ก็มีความซนและดื้อตามธรรมชาติก็จะมีแต่ผมคนเดียวที่ถูกลงโทษ

ซึ่งพอเข้าวัยรุ่นผมจึงมีเพื่อน ๆ เป็นสารณะ ไม่สนใจคำสอนของพ่อ แม่ และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะถูกลงโทษ และยิ่งโดนทำโทษก็ยิ่งทำให้ผมกลายเป็นคนดื้อไม้เรียว โดนตีขนาดไม้ขัดก้นหลัวแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะอายุสิบขวบ ไม่มีวันไหนที่จะไม่โดนทำโทษ พอเริ่มเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ ซึ่งผมเป็นเกย์คนเดียวในกลุ่มเด็กผู้ชาย ก็จะเที่ยวตะลอนมีเรื่องไปทั่วตามวิสัยของเด็กผู้ชาย จนอายุสิบห้า ผมก็ได้เข้าเรียนสายพาณิชย์ซึ่งก็ช่วยทำให้ผมลดอาการก้าวร้าวลงมาได้ เนื่องจากมีแต่เพื่อนผู้หญิง จนจบปีสาม เกรดเฉลี่ยผมอยู่ที่ 3.5  แต่แผลในใจไม่เคยจางหายไปเลย พอเรียนจบ ผมจึงได้เดินออกมาจากครอบครัว และท่องเที่ยวไปกับเพื่อนซึ่งเป็นหมอนวด และเดินสายไปทั่วประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นในการสูบกัญชา เนื่องจากเกิดอาการอกหัก และด้วยเป็นคนขาดภูมิคุ้มกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงไม่สามารถหยุดความคิดตัวเองได้ จากเป็นคนไม่สูบบุหรี่ พอเริ่มก็กัญชาเลย ติดอยู่สองปี ก็คิดว่าควรจะกลับไปอยู่บ้าน ไปลองเริ่มต้นใหม่ และก็เป็นไปตามที่คิด เพราะพอกลับไปเจอบรรดาเพื่อนเก่า ซึ่งผมเองไม่รู้ว่า พวกเพื่อน ๆ ในเวลานั้นเริ่มติดผงขาวกันแล้ว และด้วยความไม่รู้ คิดว่าเพื่อนสูบบุหรี่ธรรมดา จึงไปขอสูบด้วยและพอสูบก็เกิดอาการพี้ยา ทำอย่างนี้สามวัน ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองติดไปแล้ว และมันก็สายไปแล้ว หลังจากนั้นก็สูบทุกวัน ด้วยการ “สอยใส่บุหรี่” พอเสพไปนาน ๆ ก็เริ่มดื้อยา จนครั้งสุดท้ายก่อนถูกจับ ใช้ผงขาววันละสองบิ๊ก (บิ๊กคือคำเรียกบรรจุภัณฑ์ของผงขาว) บุหรี่วันละสองซองซึ่งตอนหลังมียาบ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจึงเสพทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน

จากปกติน้ำหนักประมาณหกสิบกิโลกรัม ลดลงเหลือสี่สิบห้ากิโลกรัม ณเวลานั้น พ่อ แม่ของเพื่อน ๆ ได้พาเพื่อน ๆ ไปอดยาตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ตัวผมเองไม่ยอมไป คิดว่าขอตายไปกับมันในที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งได้เข้าไปกินข้าวกับแม่ที่บ้าน แล้วตัวเอง “ม้าตาย” หน้าคว่ำลงไปในจานข้าว จนแม่ต้องปลุก ยังดีที่ปลุกแล้วตื่นขึ้นมา แม่จึงบอกว่า ถ้าเลิกไม่ได้ก็ขอให้เล่นน้อยลงได้ไหม แม่ไม่อยากทำงานศพให้ลูก แต่อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกว่า ผมเป็นคนขาดภูมิคุ้มกัน และพอคิดว่า “ยา” เป็นสิ่งเดียวที่พึ่งพาได้และทำให้ผมลืมได้ทุกอย่างจึงไม่ได้สนใจคำพูดเตือนของแม่และเนื่องจากพอเสพหนักเข้าจึงต้องหาเงินเพื่อมาซื้อยาและหนทางเดียวที่ทำได้คือการจำหน่ายผมเริ่มหาเอเยนและลูกค้าไปในตัวซึ่งพอพ่อและแม่รู้ท่านทั้งสองโกรธมากแต่ผมคิดว่านี่คือความสะใจของผมที่สามารถทำให้ท่านรู้สึกผิดหวังเหมือนที่ผมได้รับมาตลอดซึ่งพอผมมีรายได้เพื่อนที่ไม่เคยสนิทก็เข้ามาขอให้ผมช่วยและผมก็ได้จุนเจือในทุกๆด้านจนในที่สุดก็ถึงวันที่ผมหมดอิสระภาพและคนแรกที่ผมเห็นหน้าขณะถูกกักขังที่โรงพักก่อนส่งตัวไปเรือนจำก็คือแม่ผมเอง

ในขณะที่ผมถูกกักขังอยู่ที่โรงพัก ผมอยู่นานกว่าคนอื่น เพราะปกติคนที่ถูกจับจะอยู่ที่โรงพักได้ไม่เกิน 3 วัน แต่ของผมอยู่ทั้งหมด 12 วัน ซึ่งก็เหมือนทำให้ผมมีเวลาพักร่างกายไปในตัว แต่ก็ยังไม่วายที่จะหายานอนหลับเข้าไปเสพ เพื่อให้เมาตลอด จนกระทั่งวันที่ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ในทันทีที่รถของเรือนจำเคลื่อนเข้าไปหลังกำแพง ภาพทุกภาพที่เห็นมันเหมือนกับว่าเกิดเหตุการณ์ “แดจาวู” เนื่องจากเป็นภาพที่คุ้นเคยมากความรู้สึกณเวลานั้นรู้แม้กระทั่งว่าจะต้องเดินไปทางไหนโดยที่ไม่ต้องบอก

จุดเริ่มต้นแรกชีวิตในเรือนจำได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ทุกคนจะถูกค้นตัวเพื่อหาสิ่งผิดกฏระเบียบ ซึ่งก็มีคนสามารถนำมันเข้าไปได้เช่นกัน ส่วนตัวผมโดนปล้นข้าวของเครื่องใช้จากนักโทษด้วยกันเอง ซึ่งอยู่มานานจน “เก๋าเกมส์​“ หลังจากนั้นก็จะถูกส่งตัวไปห้องแรกรับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความโชคดีของผมที่เพื่อนหลายคนที่โดนเข้าไปก่อน และโดนกันมาหลายรอบแล้ว สามารถดึงผมให้ไปนอนในแถวริมกำแพง ห้องนอนที่ว่าเป็นห้องใหญ่ที่โล่ง แม้กระทั่งห้องส้วมหรือที่เค้าเรียกกันว่า “บล๊อก” ซึ่งเรื่องเรือนนอนนี้ ถ้าไม่ใช่คนมีพวกจะลำบากมาก เนื่องจากจะต้องนอนสายกลาง ที่เรียกกันว่า “ขาเสียบ” นอนเบียดกันเหมือนปลากระป๋องใครลุกไปเข้าห้องน้ำจะเสียที่ทันทีซึ่งห้องใหญ่นี้ปกตินอนได้ไม่น่าจะเกินหกสิบคนแต่ยอดจริงๆร้อยสามสิบคนและก็โชคดีอีกเรื่องที่พอเพื่อนๆรู้ว่าผมถูกจับเพื่อนหลายคนได้ฝากคนมาเตือนผมว่าให้เก็บอาการไม่อย่างนั้นจะต้องไปนอนห้องซอยกะเทยซึ่งเป็นห้องเล็กๆท้ายเรือนนอนที่จริงๆแล้วนอนได้แค่หกคนแต่ในความเป็นจริงนอนกันสิบกว่าคนและไม่มีห้องส้วมเหมือนห้องนอนใหญ่ทุกคนจะต้องถ่ายในถังสีและจะผลัดกันทุกวันเอาไปเททิ้งชีวิตกะเทยในคุกต่างจังหวัดไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนเข้าใจแม้จะมีคนเลี้ยงหรือมีผัวก็ตามจะต้องถูกแยกห้องนอนตามที่เกริ่นไว้ทีแรกและกะเทยจะเป็นตัวสร้างสีสรรให้กับเรือนจำเป็นอย่างมากถ้ามีเทศกาลอย่างเช่นปีใหม่หรือสงกรานต์ทางเรือนจำจะจัดงานเพื่อให้นักโทษได้ผ่อนคลายและกะเทยจะรวมตัวกันเพื่อหัดเต้นเป็นหางเครื่องสำหรับวงดนตรี

ซึ่งห้องซอยนี้จะมีสองแบบ คือซอยกะเทยและซอยทำโทษ จะเป็นห้องเล็ก ๆ ไม่มีห้องน้ำและโทรทัศน์ในตัว ส่วนห้องซอยอีกแบบจะเป็นห้องซอยขาใหญ่และพวกนักโทษที่มีหน้าที่ช่วยเหลือนาย ห้องแบบนี้จะมีห้องน้ำและโทรทัศน์ เป็นห้องที่ค่อนข้างกว้างขวางสำหรับบรรจุนักโทษแค่ประมาณ 8 คน ซึ่งตามปกติที่นอนของห้องทั่วไป (ยกเว้นพวกขาใหญ่) ที่นอนจะมีความกว้างแค่หนึ่งศอก แต่ห้องซอยแบบหลังที่นอนจะใหญ่เกือบหนึ่งวา และจะมีการตัดเย็บอย่างดี นายจะไม่ยุ่งเนื่องจากเป็นพวกขาใหญ่และหรือมีหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือนาย ซึ่งตัวผมเองพออยู่ได้สักพัก ผมเริ่มหาโอกาสให้ตัวเองด้วยการเข้าไปเป็นเสมียนร้านค้า ซึ่งด้วยผมเป็นคนคิดเลขและใช้เครื่องคิดเลขได้เร็ว และด้วยบุคลิกที่ดูเหมือนเป็นคนเรียบร้อย จึงทำให้เป็นที่ไว้วางใจของนาย

ผมขอเริ่มอธิบายเกี่ยวกับชีวิตของกะเทยก่อนนะครับก่อนที่จะเริ่มชีวิตนักโทษที่จะแตกต่างไปกันคนละทางกันเลยกะเทยที่ถูกจับก็จะโดนกันมาหลากหลายคดีตั้งแต่คดียาลักและชิงซึ่งคนที่ถูกคดีชิงจะถูกตีตรวนตลอดเวลาแต่สาเหตุหลักจะมาจากเรื่องยาเสพติดเป็นหลักพวกนี้ถ้ามีคนเลี้ยงก็จะมีของดีๆใช้มีอาหารดีๆกินไม่ต้องเข้าแถวกินอาหารของเรือนจำส่วนพวกที่ไม่มีคนเลี้ยงก็จะหารายได้ด้วยการขายตัวซึ่งจะทำได้ในวันเสาร์อาทิตย์และสถานที่ก็คือบริเวณบ่ออาบน้ำซึ่งจะเอาผ้าห่มมากันเป็นห้องและถ้าช่วงไหนไม่มีแขกก็จะให้เช่าสถานที่สำหรับคนที่มีคู่ส่วนคนไหนถ้าเส้นใหญ่ก็จะไปใช้ห้องน้ำนายซึ่งจะได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าเพราะถ้าคู่ไหนใช้ซุ้มเป็นสถานที่จะมีแมงมุมเกาะรอบๆซุ้มและอย่างที่บอกกะเทยจะเป็นผู้สร้างสีสรรให้กับคุกจะมีเรื่องแปลกๆมานำเสนอตลอดตอนที่ผมเข้าไปใหม่ๆก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคือมีอยู่คู่หนึ่งก่อนที่จะมีเซ็กส์กันเค้าจะตีกันก่อนถึงขั้นเอาก้อนอิฐหรือเอาไม้ไล่ทุบกันเลยจนนายเค้าไม่ยุ่งแต่หลังจากที่ตีกันแล้วสองคนก็จะหายเข้าไปในห้องน้ำนายและหลังจากนั้นก็จะมานั่งกอดกันและเป็นกฏตายตัวเลยนะครับถ้าหากกะเทยคนไหนที่มีผัวแล้วคิดไม่ซื่อมีชู้จะโดนเททันทีและถ้าโดนเทแล้วใครก็ตามห้ามนำไปเลี้ยงต่อเป็นอันขาดเพราะถือว่าข้ามหน้าข้ามตากันกะเทยคนนั้นจะต้องไปขายตัวเท่านั้นเพราะส่วนใหญ่กะเทยน้อยคนที่จะมีญาติ

ในช่วงเวลาที่ผมอยู่ได้มีกะเทยลูกครึ่งอเมริกัน-เยอรมันถูกจับข้อหาค้ามนุษย์ ซึ่งนางเป็นคนสวยมากแถมมีนมด้วย ก็เลยเป็นที่ฮือฮามาก และด้วยท่าทางและจริตเกินหญิงของนาง ก็เป็นที่หมายปองของพวกกลัดมัน แต่ในนั้นจะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเกิดการข่มขืน ซึ่งก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่ “หน้าอ่อน” ซึ่งก็คือเด็กผู้ชายหน้าตาดีแต่ไม่มีตัวและคำว่าไม่มีตัวหรือมีตัวหมายถึงคนที่เป็นกะเทยหรือไม่พวกหน้าอ่อนนี้จะเป็นอันตรายที่สุดเพราะพวกขาใหญ่จะชอบเอามาเลี้ยงเป็นเมียเพราะหน้าอ่อนจะไม่ยิ้มจะอยู่ด้วยกันจนวันพ้นโทษบางคนอยู่ไปอยู่มาก็กลายพันธ์

ผมขอพักสักหน่อยนะครับ ถ้ามีเวลาว่างจะเข้ามาเล่าต่อ เพราะเวลาเกือบสี่ปีในกำแพงสี่เหลี่ยม เหมือนทำให้ผมได้จบปริญญาตรี ทำให้เห็นถึงบาป บุญ คุณ โทษ ได้รู้เล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ ของคน และถ้ามีคนสนใจผมจะเริ่มเขียนต่อครับ ถ้ายังไงก็ขอขอบคุณสำหรับเวลาของทุกท่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่