บรรพบุรุษมนุษย์ เมื่อ 3.8 ล้านปีก่อน
รายงานการค้นพบกะโหลกมนุษย์โบราณ Australopithecus afarensis (ออสทราโลพิเทคัส อะฟาเรนซิส) เป็นครั้งแรกเผยถึงโฉมหน้าบรรพบุรุษของมนุษย์ตอนต้น
นิตยสาร เนเจอร์ ตีพิมพ์บทความเรื่องราวของนักวิจัยจากศูนย์มานุษยวิทยาโวรันโซ-มิลล์ ค้นพบขากรรไกรด้านบนของมนุษย์โบราณในรัฐอะฟาร์ของเอธิโอเปีย เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2559 และใช้เวลาอีก 16 ช.ม. จึงพบชิ้นส่วนที่เหลือ รวมทั้งกะโหลกศีรษะ
สันนิษฐานว่า ออสทราโลพิเทคัส อะมาเนนซิส (amanensis) หรือ เอ็มอาร์ดี น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วง 3.9- 4.2 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ ออสทราโลพิเทคัส อะฟาเรนซิส ยุคเดียวกับ “ลูซี” ที่คาดว่ามีชีวิตอยู่ในช่วง 3-3.8 ล้านปีที่แล้ว กะโหลกที่พบนี้อยู่ห่างจากจุดที่พบกะโหลกของลูซี่ไปทางเหนือประมาณ 54 ก.ม. ส่วนกะโหลกลูซีพบในปี 2517
คณะนักวิจัยนานาชาติได้ตรวจสอบอายุของกะโหลกและศึกษาสภาพแวดล้อมบริเวณที่พบ เชื่อว่าน่าจะเป็นกะโหลกผู้ชายที่ถูกนำมาฝังไว้ที่แม่น้ำแล้วถูกตะกอนดินปากแม่น้ำทับถมร่าง ดังนั้น อะมาเนนซิสจึงน่าจะอาศัยริมแม่น้ำที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้
นาโอมิ เลวิน จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ สันนิษฐานว่า เอ็มอาร์ดี น่าจะอาศัยใกล้ทะเลสาบกวางใหญ่ที่แห้งขอด และกำลังศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศที่ส่งผลต่อวิวัฒนาการของมนุษย์ นักวิจัยศึกษากะโหลกมนุษย์โบราณโดยนำไปเปรียบเทียบกับสปีชีส์โอมินินที่พบทางตะวันออกและทางใต้ของแอฟริกาเพื่อศึกษาว่ามีความเกี่ยวข้องกับสปีชีส์อื่นอย่างไร
ก่อนหน้านี้ นักวิจัยเชื่อว่าอะมาเนนซิส เป็นต้นกำเนิดของอะฟาเรนซิส แต่จากการเปรียบเทียบโครงสร้างกะโหลกเอ็มอาร์ดี กับกะโหลกของ
มนุษย์อะฟาเรนซิสที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 3.9 ล้านปีก่อน ทำให้พบว่าทั้ง 2 สปีชีส์น่าจะอยู่ในช่วงที่คาบเกี่ยวกันหรืออยู่ร่วมกันอย่างน้อย 1 แสนปี
Cr.
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2846261
มนุษย์โบราณ "โฮโม นาเลดี" (Homo naledi)
(SCIENCE PHOTO LIBRARY ภาพมนุษย์โบราณ โฮโม นาเลดี จากฝีมือของศิลปิน)
ผลการศึกษาลักษณะของสมองจากร่องรอยที่ปรากฏบนกะโหลกศีรษะมนุษย์โบราณ "โฮโม นาเลดี" (Homo naledi) พบว่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์สายพันธุ์นี้มีโครงสร้างของสมองที่ซับซ้อน บ่งบอกถึงระดับสติปัญญาที่อาจจะเข้าขั้นทัดเทียมกับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน แม้สมองจะมีขนาดเล็กราวผลส้มเท่านั้น
ศ. ลี เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยวิตวอเทอร์สแรนด์ของแอฟริกาใต้ ผู้นำทีมสำรวจซึ่งค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกของโฮโม นาเลดีเมื่อปี 2015 ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเพิ่มเติมล่าสุดลงในวารสาร PNAS โดยระบุถึงหลักฐานใหม่ซึ่งชี้ว่า ขนาดของสมองอาจไม่ได้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงวิวัฒนาการทางสติปัญญาในมนุษย์ตามที่เคยเชื่อกันมาก็เป็นได้
มีการสแกนฟอสซิลกะโหลกศีรษะของโฮโม นาเลดี และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประกอบชิ้นส่วนกะโหลกที่แยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นมาใหม่ให้สมบูรณ์ ทำให้เห็นร่องรอยที่ชี้ว่า มนุษย์โบราณสายพันธุ์นี้มีรอยหยักของสมองที่ซับซ้อนในหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงสมองส่วนที่เชื่อมโยงกับการควบคุมอารมณ์ และสมองกลีบหน้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาด้วย โดยไม่พบลักษณะซับซ้อนเช่นนี้ในสมองของมนุษย์โบราณสายพันธุ์อื่นที่มีขนาดเล็กเท่ากัน
นอกจากหลักฐานที่เป็นกะโหลกศีรษะแล้ว ศ. เบอร์เกอร์ยังบอกว่า มือของโฮโม นาเลดี มีลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการใช้สร้างเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ และสถานที่ซึ่งพบซากฟอสซิลของมนุษย์ดึกดำบรรพ์กลุ่มนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสุสานใช้ประกอบพิธีศพ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยพบว่ามีมนุษย์โบราณกลุ่มใดมีความสามารถประกอบพิธีกรรมได้มาก่อน
เมื่อปี 2015 มีการค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกของโฮโม นาเลดี ซึ่งมีความสูงราว 150 เซนติเมตร จำนวน 15 ร่าง ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศแอฟริกาใต้ โดยคาดว่ามีอายุเก่าแก่ราว 236,000 - 335,000 ปี ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับช่วงที่มนุษย์ยุคใหม่หรือโฮโม เซเปียนส์ เริ่มมีการประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นใช้อย่างแพร่หลาย
Cr.
https://www.bbc.com/thai/features-44137546?xtor=AL-73-%5Bpartner%5D-%5Bkhaosod.co.th%5D-%5Blink%5D-%5Bthai%5D-%5Bbizdev%5D-%5Bisapi%5D
H. floresiensis ชื่อเล่นว่า "ฮ็อบบิท"
(รูปจำลองของ Homo floresiensis ที่เรียกว่า "ฮ็อบบิท")
มีชีวิตอยู่ในช่วง 13,000-95,000 ปีก่อน ที่ชื่อ "ฮ็อบบิท" เพราะตัวเล็ก ซึ่งอาจเกิดขึ้นผ่านกระบวนการ insular dwarfism (ซึ่งสัตว์ใหญ่ย่อขนาดลงโดยผ่านหลายชั่วรุ่น เมื่อเกิดการจำกัดพื้นที่ เช่นย้ายไปอยู่บนเกาะ) อาจเคยมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน
แม้ว่ามนุษย์สปีชีส์นี้จะมีบรรพบุรุษร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน แต่ก็ได้เกิดการแยกสายพันธุ์ แล้วมีวิถีวิวัฒนาการเป็นของตนเอง โครงกระดูกหลักที่พบเชื่อว่าเป็นของหญิงอายุประมาณ 30 ปี พบในปี ค.ศ. 2003 บนเกาะ Flores ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีความเก่าแก่ประมาณ 18,000 ปี มีความสูงประมาณ 1 เมตร และมีขนาดสมองเพียงแค่ 380-420 ซม3 (แค่ 1/3 ของมนุษย์ปัจจุบัน)
นักวิทยาศาสตร์บางพวกเชื่อว่า H. sapiens ที่มีสภาพแคระโดยโรค สมมติฐานนี้มีหลักฐานโดยส่วนหนึ่งว่า มนุษย์ปัจจุบันบางพวกที่เกาะ Flores ที่ค้นพบซากของสปีชีส์คนพิกมี (กลุ่มชนที่เฉลี่ยมีความสูงต่ำกว่า 150-155 ซ.ม.) เพราะฉะนั้น คนพิกมีที่มีสภาพแคระโดยโรค อาจจะทำให้เกิดมนุษย์ที่มีรูปร่างคล้ายฮ็อบบิท
Cr.
https://th.wikipedia.org/wiki/วิวัฒนาการของมนุษย์
วิวัฒนาการใบหน้าบรรพบุรุษสู่มนุษย์ยุคใหม่
มหาวิทยาลัยเยล (Yale University Press) เผยคลิปวิดีโอแสดงวิวัฒนาการใบหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตั้งแต่บรรพบุรุษยุคลิงเอปจนกระทั่งถึงมนุษย์ยุคปัจจุบัน พาท่องกาลเวลามากกว่า 6 ล้านปีในคลิปวิดีโอความยาวเพียง 1.33 นาที
โดยในคลิปวิดีโอนั้นเริ่มต้นจากบรรพบุรุษของมนุษย์อย่างลิงเอปไร้หางในวงศ์ลิงใหญ่ (Hominid, Great Ape) ก่อนจะค่อย ๆ วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดสมองใหญ่ขึ้น หน้าเล็กลง จมูกเริ่มมีดั้ง ขนบนใบหน้าเริ่มหายไป และมีปากเล็กลง
จากนั้นมนุษย์ก็เริ่มวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ โครงหน้าของมนุษย์เริ่มยาวขึ้น หน้าผากกว้างขึ้น ซึ่งแปลว่าสมองของมนุษย์เริ่มมีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม จมูกเองก็ค่อย ๆ เล็กลงและมีดั้งมากขึ้น จนสุดท้ายก็กลายเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างที่เห็น
ภาพจาก Yale Press สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบ
Cr.
https://hilight.kapook.com/view/128958
Cr.
https://www.kroobannok.com/77003
มนุษย์โครมายอง เมื่อ 28,000 ปีที่แล้ว
มนุษย์โครมายอง (Cro-Magnon man) หรือมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ เซเปียนส์ (Homo sapiens sapiens) เป็นสายวิวัฒนาการหนึ่งของมนุษย์ มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ปัจจุบัน กะโหลกศีรษะของมนุษย์โครมายองมีความโค้งมน ใบหน้าเล็ก แต่มีสมองขนาดใหญ่ นับว่าเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เนื่องจากพบว่ามนุษย์กลุ่มนี้สามารถวาดภาพบนผนังและประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยในการดำรงชีวิต
มื่อปี พ.ศ.2411 นักมานุษยวิทยาได้ค้นพบซากโครงกระดูกของมนุษย์โครมายองเพศชาย ได้รับการยืนยันว่ามีอายุเก่าแก่ 28,000 ปี โดยพบซากภายในถ้ำเอซี่ส์ (Eyzies) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส แต่เมื่อเร็วๆนี้นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแวร์ซาย แซงต์ กงแตง ออง อีฟว์ลิน ในฝรั่งเศส ได้นำซากมนุษย์โครมายองนี้มาตรวจสอบอีกครั้ง พร้อมกับใช้กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์สร้างภาพใบหน้าขึ้นมาใหม่ ผลที่ได้คือ ใบหน้าของมนุษย์โบราณดังกล่าวเต็มไปด้วยตุ่มเนื้อขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง
นักมานุษยวิทยาอธิบายว่า ก้อนเนื้อใหญ่ที่สุดอยู่ตรงหน้าผากนั้นอาจเกิดจากโรคทางพันธุกรรมที่รู้จักกันในชื่อโรคท้าวแสนปม (neurofibro-matosis) คือการเกิดเนื้องอกที่แนวระบบประสาทและส่งผลทำลายกระดูก จึงมีความเป็นไปได้ว่าภายในหูซ้ายของมนุษย์โครมายองผู้นี้ จะได้รับความเสียหายจากการที่เนื้องอกโตขึ้น
Cr.
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1252769
Homo habilis มนุษย์สกุลโฮโมที่เก่าแก่ที่สุด
(รูปจำลองของ Homo habilis มนุษย์สกุลโฮโมที่เก่าแก่ที่สุด)
H. habilis มีชีวิตอยู่ในช่วง 1.4-2.3 ล้านปีก่อน คือเกิดวิวัฒนาการในแอฟริกาใต้และตะวันออกในสมัยไพลโอซีนช่วงปลาย หรือสมัยไพลสโตซีน ช่วงต้น คือประมาณ 2-2.5 ล้านปีก่อน และได้แยกออกจาก homonini สายพันธุ์ australopithecine
H. habilis มีฟันกรามที่เล็กกว่า และมีสมองที่ใหญ่กว่า australopithecine (เฉลี่ย 610ซม3) และใช้เครื่องมือทำจากหินและอาจจะกระดูกสัตว์ด้วย เป็น hominin ที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จัก และมีชื่อเล่นว่า "handy man (ช่างซ่อม)" ตั้งโดยผู้ค้นพบคือนักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษหลุยส์ ลีกคี เนื่องจากพบซากพร้อมกับเครื่องมือหิน
แต่ว่า มีนักวิทยาศาสตร์บางพวกที่เสนอการย้ายสปีชีส์นี้ออกจากสกุล Homo เข้าไปในสกุล Australopithecus เนื่องจากสัณฐานของโครงกระดูกที่ปรับตัวเข้ากับการอยู่บนต้นไม้ มากกว่าที่จะเดินบนสองเท้าเหมือนกับ Homo sapiens
H. habilis เป็นสปีชีส์ที่ในตอนแรกพิจารณาว่าเป็นสปีชีส์แรกในสกุล Homo จนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 เมื่อมีการเสนอสปีชีส์ใหม่
คือ H. gautengensis ในประเทศแอฟริกาใต้ (เป็นงานวิเคราะห์โครงกระดูกที่พบในอดีต) ที่ผู้เสนอเชื่อว่าเป็นสปีชีส์เก่าแก่ที่สุดในสกุล Homo
Cr.
https://fr-fr.facebook.com/872371766119797/photos/h-habilis-และ-h-gautengensisรูปจำลองของ-homo-habilis-มนุษย์สกุลโฮโมที่เก่าแก่ที่/872374649452842/
วิวัฒนาการมนุษย์โฮโม (The Evolution of Homo Genus)
มนุษย์ในสกุลโฮโม (Homo) เป็นสกุลของมนุษย์ในสายพันธุ์ปัจจุบัน โดยสกุลโฮโมจะประกอบไปด้วยสปีชีส์ (Species) ที่สำคัญหลากหลายสปีชีส์ โดยสปีชีส์ที่สำคัญที่สุดก็คือ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) อันเป็นสปีชีส์ของมนุษย์ที่ครอบครองโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในราว 3 แสนปีก่อน
มนุษย์สกุลโฮโมได้รับการวิวัฒนาการจากมนุษย์ในสกุลออสตราโลพิเธคคัส (Australopithecus) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในราว 5 ล้านปีก่อน โดยมนุษย์ในสกุลออสตราโลพิเธคคัสที่มีความใกล้ชิดกับสกุลโฮโมมากที่สุดก็คือ ออสตราโลพิเธคคัส แอฟริกานัส (Australopithecus africanus)
มนุษย์สกุลโฮโมในกลุ่มแรกๆ คือ โฮโม แฮบิลิส (Homo habilis) ซึ่งวิวัฒนาการต่อมาเป็น โฮโม เออร์แกสเตอร์ (Homo ergaster) หลังจากนั้นโฮโม เออร์แกสเตอร์ ได้วิวัฒนาการแยกออกมาเป็น โฮโม อิเร็กตัส (Homo erectus) และโฮโม ไฮเดลแบร์กเอนซิส (Homo Heidelbergensis) โดยกลุ่มแรกได้สูญพันธุ์ในราว 1 แสนปีก่อน ส่วนกลุ่มที่สองได้วิวัฒนาการต่อไป
โฮโม ไฮเดลแบร์กเอนซิส ได้วิวัฒนาการแยกออกมาเป็น 2 สปีชีส์สำคัญคือ โฮโม นีแอนเดอธัล (Homo neanderthalensis) และโฮโม ซาเปียนส์ ซึ่งท้ายที่สุด มนุษย์ในสกุลโฮโมก็หลงเหลืออยู่เพียงสปีชีส์เดียวคือ โฮโม ซาเปียนส์
แหล่งข้อมูล
https://www.nhm.ac.uk/discover/the-origin-of-our-species.html
https://medium.com/@Yisela/human-evolution-infographic-72be012d13a8
http://humanorigins.si.edu/evidence/human-fossils/species/
https://coolinfographics.com/blog/2014/6/12/the-evolution-of-life-poster.html
Cr.
https://www.blockdit.com/posts/5de0e267ac3c371cec0ce2e9 / Post By Histofun DELUXE
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
โฉมหน้าบรรพบุรุษมนุษย์ในหลายล้านปีก่อน
รายงานการค้นพบกะโหลกมนุษย์โบราณ Australopithecus afarensis (ออสทราโลพิเทคัส อะฟาเรนซิส) เป็นครั้งแรกเผยถึงโฉมหน้าบรรพบุรุษของมนุษย์ตอนต้น
นิตยสาร เนเจอร์ ตีพิมพ์บทความเรื่องราวของนักวิจัยจากศูนย์มานุษยวิทยาโวรันโซ-มิลล์ ค้นพบขากรรไกรด้านบนของมนุษย์โบราณในรัฐอะฟาร์ของเอธิโอเปีย เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2559 และใช้เวลาอีก 16 ช.ม. จึงพบชิ้นส่วนที่เหลือ รวมทั้งกะโหลกศีรษะ
สันนิษฐานว่า ออสทราโลพิเทคัส อะมาเนนซิส (amanensis) หรือ เอ็มอาร์ดี น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วง 3.9- 4.2 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ ออสทราโลพิเทคัส อะฟาเรนซิส ยุคเดียวกับ “ลูซี” ที่คาดว่ามีชีวิตอยู่ในช่วง 3-3.8 ล้านปีที่แล้ว กะโหลกที่พบนี้อยู่ห่างจากจุดที่พบกะโหลกของลูซี่ไปทางเหนือประมาณ 54 ก.ม. ส่วนกะโหลกลูซีพบในปี 2517
คณะนักวิจัยนานาชาติได้ตรวจสอบอายุของกะโหลกและศึกษาสภาพแวดล้อมบริเวณที่พบ เชื่อว่าน่าจะเป็นกะโหลกผู้ชายที่ถูกนำมาฝังไว้ที่แม่น้ำแล้วถูกตะกอนดินปากแม่น้ำทับถมร่าง ดังนั้น อะมาเนนซิสจึงน่าจะอาศัยริมแม่น้ำที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้
นาโอมิ เลวิน จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ สันนิษฐานว่า เอ็มอาร์ดี น่าจะอาศัยใกล้ทะเลสาบกวางใหญ่ที่แห้งขอด และกำลังศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศที่ส่งผลต่อวิวัฒนาการของมนุษย์ นักวิจัยศึกษากะโหลกมนุษย์โบราณโดยนำไปเปรียบเทียบกับสปีชีส์โอมินินที่พบทางตะวันออกและทางใต้ของแอฟริกาเพื่อศึกษาว่ามีความเกี่ยวข้องกับสปีชีส์อื่นอย่างไร
ก่อนหน้านี้ นักวิจัยเชื่อว่าอะมาเนนซิส เป็นต้นกำเนิดของอะฟาเรนซิส แต่จากการเปรียบเทียบโครงสร้างกะโหลกเอ็มอาร์ดี กับกะโหลกของ
มนุษย์อะฟาเรนซิสที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 3.9 ล้านปีก่อน ทำให้พบว่าทั้ง 2 สปีชีส์น่าจะอยู่ในช่วงที่คาบเกี่ยวกันหรืออยู่ร่วมกันอย่างน้อย 1 แสนปี
Cr.https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2846261
มนุษย์โบราณ "โฮโม นาเลดี" (Homo naledi)
(SCIENCE PHOTO LIBRARY ภาพมนุษย์โบราณ โฮโม นาเลดี จากฝีมือของศิลปิน)
ผลการศึกษาลักษณะของสมองจากร่องรอยที่ปรากฏบนกะโหลกศีรษะมนุษย์โบราณ "โฮโม นาเลดี" (Homo naledi) พบว่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์สายพันธุ์นี้มีโครงสร้างของสมองที่ซับซ้อน บ่งบอกถึงระดับสติปัญญาที่อาจจะเข้าขั้นทัดเทียมกับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน แม้สมองจะมีขนาดเล็กราวผลส้มเท่านั้น
ศ. ลี เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยวิตวอเทอร์สแรนด์ของแอฟริกาใต้ ผู้นำทีมสำรวจซึ่งค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกของโฮโม นาเลดีเมื่อปี 2015 ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเพิ่มเติมล่าสุดลงในวารสาร PNAS โดยระบุถึงหลักฐานใหม่ซึ่งชี้ว่า ขนาดของสมองอาจไม่ได้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงวิวัฒนาการทางสติปัญญาในมนุษย์ตามที่เคยเชื่อกันมาก็เป็นได้
มีการสแกนฟอสซิลกะโหลกศีรษะของโฮโม นาเลดี และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประกอบชิ้นส่วนกะโหลกที่แยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นมาใหม่ให้สมบูรณ์ ทำให้เห็นร่องรอยที่ชี้ว่า มนุษย์โบราณสายพันธุ์นี้มีรอยหยักของสมองที่ซับซ้อนในหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงสมองส่วนที่เชื่อมโยงกับการควบคุมอารมณ์ และสมองกลีบหน้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาด้วย โดยไม่พบลักษณะซับซ้อนเช่นนี้ในสมองของมนุษย์โบราณสายพันธุ์อื่นที่มีขนาดเล็กเท่ากัน
นอกจากหลักฐานที่เป็นกะโหลกศีรษะแล้ว ศ. เบอร์เกอร์ยังบอกว่า มือของโฮโม นาเลดี มีลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการใช้สร้างเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ และสถานที่ซึ่งพบซากฟอสซิลของมนุษย์ดึกดำบรรพ์กลุ่มนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสุสานใช้ประกอบพิธีศพ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยพบว่ามีมนุษย์โบราณกลุ่มใดมีความสามารถประกอบพิธีกรรมได้มาก่อน
เมื่อปี 2015 มีการค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกของโฮโม นาเลดี ซึ่งมีความสูงราว 150 เซนติเมตร จำนวน 15 ร่าง ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศแอฟริกาใต้ โดยคาดว่ามีอายุเก่าแก่ราว 236,000 - 335,000 ปี ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับช่วงที่มนุษย์ยุคใหม่หรือโฮโม เซเปียนส์ เริ่มมีการประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นใช้อย่างแพร่หลาย
Cr.https://www.bbc.com/thai/features-44137546?xtor=AL-73-%5Bpartner%5D-%5Bkhaosod.co.th%5D-%5Blink%5D-%5Bthai%5D-%5Bbizdev%5D-%5Bisapi%5D
H. floresiensis ชื่อเล่นว่า "ฮ็อบบิท"
(รูปจำลองของ Homo floresiensis ที่เรียกว่า "ฮ็อบบิท")
มีชีวิตอยู่ในช่วง 13,000-95,000 ปีก่อน ที่ชื่อ "ฮ็อบบิท" เพราะตัวเล็ก ซึ่งอาจเกิดขึ้นผ่านกระบวนการ insular dwarfism (ซึ่งสัตว์ใหญ่ย่อขนาดลงโดยผ่านหลายชั่วรุ่น เมื่อเกิดการจำกัดพื้นที่ เช่นย้ายไปอยู่บนเกาะ) อาจเคยมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน
แม้ว่ามนุษย์สปีชีส์นี้จะมีบรรพบุรุษร่วมกับมนุษย์ปัจจุบัน แต่ก็ได้เกิดการแยกสายพันธุ์ แล้วมีวิถีวิวัฒนาการเป็นของตนเอง โครงกระดูกหลักที่พบเชื่อว่าเป็นของหญิงอายุประมาณ 30 ปี พบในปี ค.ศ. 2003 บนเกาะ Flores ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีความเก่าแก่ประมาณ 18,000 ปี มีความสูงประมาณ 1 เมตร และมีขนาดสมองเพียงแค่ 380-420 ซม3 (แค่ 1/3 ของมนุษย์ปัจจุบัน)
นักวิทยาศาสตร์บางพวกเชื่อว่า H. sapiens ที่มีสภาพแคระโดยโรค สมมติฐานนี้มีหลักฐานโดยส่วนหนึ่งว่า มนุษย์ปัจจุบันบางพวกที่เกาะ Flores ที่ค้นพบซากของสปีชีส์คนพิกมี (กลุ่มชนที่เฉลี่ยมีความสูงต่ำกว่า 150-155 ซ.ม.) เพราะฉะนั้น คนพิกมีที่มีสภาพแคระโดยโรค อาจจะทำให้เกิดมนุษย์ที่มีรูปร่างคล้ายฮ็อบบิท
Cr.https://th.wikipedia.org/wiki/วิวัฒนาการของมนุษย์
วิวัฒนาการใบหน้าบรรพบุรุษสู่มนุษย์ยุคใหม่
มหาวิทยาลัยเยล (Yale University Press) เผยคลิปวิดีโอแสดงวิวัฒนาการใบหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตั้งแต่บรรพบุรุษยุคลิงเอปจนกระทั่งถึงมนุษย์ยุคปัจจุบัน พาท่องกาลเวลามากกว่า 6 ล้านปีในคลิปวิดีโอความยาวเพียง 1.33 นาที
โดยในคลิปวิดีโอนั้นเริ่มต้นจากบรรพบุรุษของมนุษย์อย่างลิงเอปไร้หางในวงศ์ลิงใหญ่ (Hominid, Great Ape) ก่อนจะค่อย ๆ วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดสมองใหญ่ขึ้น หน้าเล็กลง จมูกเริ่มมีดั้ง ขนบนใบหน้าเริ่มหายไป และมีปากเล็กลง
จากนั้นมนุษย์ก็เริ่มวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ โครงหน้าของมนุษย์เริ่มยาวขึ้น หน้าผากกว้างขึ้น ซึ่งแปลว่าสมองของมนุษย์เริ่มมีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม จมูกเองก็ค่อย ๆ เล็กลงและมีดั้งมากขึ้น จนสุดท้ายก็กลายเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างที่เห็น
ภาพจาก Yale Press สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบ
Cr.https://hilight.kapook.com/view/128958
Cr.https://www.kroobannok.com/77003
มนุษย์โครมายอง เมื่อ 28,000 ปีที่แล้ว
มนุษย์โครมายอง (Cro-Magnon man) หรือมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ เซเปียนส์ (Homo sapiens sapiens) เป็นสายวิวัฒนาการหนึ่งของมนุษย์ มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ปัจจุบัน กะโหลกศีรษะของมนุษย์โครมายองมีความโค้งมน ใบหน้าเล็ก แต่มีสมองขนาดใหญ่ นับว่าเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เนื่องจากพบว่ามนุษย์กลุ่มนี้สามารถวาดภาพบนผนังและประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยในการดำรงชีวิต
มื่อปี พ.ศ.2411 นักมานุษยวิทยาได้ค้นพบซากโครงกระดูกของมนุษย์โครมายองเพศชาย ได้รับการยืนยันว่ามีอายุเก่าแก่ 28,000 ปี โดยพบซากภายในถ้ำเอซี่ส์ (Eyzies) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส แต่เมื่อเร็วๆนี้นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแวร์ซาย แซงต์ กงแตง ออง อีฟว์ลิน ในฝรั่งเศส ได้นำซากมนุษย์โครมายองนี้มาตรวจสอบอีกครั้ง พร้อมกับใช้กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์สร้างภาพใบหน้าขึ้นมาใหม่ ผลที่ได้คือ ใบหน้าของมนุษย์โบราณดังกล่าวเต็มไปด้วยตุ่มเนื้อขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง
นักมานุษยวิทยาอธิบายว่า ก้อนเนื้อใหญ่ที่สุดอยู่ตรงหน้าผากนั้นอาจเกิดจากโรคทางพันธุกรรมที่รู้จักกันในชื่อโรคท้าวแสนปม (neurofibro-matosis) คือการเกิดเนื้องอกที่แนวระบบประสาทและส่งผลทำลายกระดูก จึงมีความเป็นไปได้ว่าภายในหูซ้ายของมนุษย์โครมายองผู้นี้ จะได้รับความเสียหายจากการที่เนื้องอกโตขึ้น
Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1252769
Homo habilis มนุษย์สกุลโฮโมที่เก่าแก่ที่สุด
(รูปจำลองของ Homo habilis มนุษย์สกุลโฮโมที่เก่าแก่ที่สุด)
H. habilis มีชีวิตอยู่ในช่วง 1.4-2.3 ล้านปีก่อน คือเกิดวิวัฒนาการในแอฟริกาใต้และตะวันออกในสมัยไพลโอซีนช่วงปลาย หรือสมัยไพลสโตซีน ช่วงต้น คือประมาณ 2-2.5 ล้านปีก่อน และได้แยกออกจาก homonini สายพันธุ์ australopithecine
H. habilis มีฟันกรามที่เล็กกว่า และมีสมองที่ใหญ่กว่า australopithecine (เฉลี่ย 610ซม3) และใช้เครื่องมือทำจากหินและอาจจะกระดูกสัตว์ด้วย เป็น hominin ที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จัก และมีชื่อเล่นว่า "handy man (ช่างซ่อม)" ตั้งโดยผู้ค้นพบคือนักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษหลุยส์ ลีกคี เนื่องจากพบซากพร้อมกับเครื่องมือหิน
แต่ว่า มีนักวิทยาศาสตร์บางพวกที่เสนอการย้ายสปีชีส์นี้ออกจากสกุล Homo เข้าไปในสกุล Australopithecus เนื่องจากสัณฐานของโครงกระดูกที่ปรับตัวเข้ากับการอยู่บนต้นไม้ มากกว่าที่จะเดินบนสองเท้าเหมือนกับ Homo sapiens
H. habilis เป็นสปีชีส์ที่ในตอนแรกพิจารณาว่าเป็นสปีชีส์แรกในสกุล Homo จนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 เมื่อมีการเสนอสปีชีส์ใหม่
คือ H. gautengensis ในประเทศแอฟริกาใต้ (เป็นงานวิเคราะห์โครงกระดูกที่พบในอดีต) ที่ผู้เสนอเชื่อว่าเป็นสปีชีส์เก่าแก่ที่สุดในสกุล Homo
Cr.https://fr-fr.facebook.com/872371766119797/photos/h-habilis-และ-h-gautengensisรูปจำลองของ-homo-habilis-มนุษย์สกุลโฮโมที่เก่าแก่ที่/872374649452842/
วิวัฒนาการมนุษย์โฮโม (The Evolution of Homo Genus)
มนุษย์ในสกุลโฮโม (Homo) เป็นสกุลของมนุษย์ในสายพันธุ์ปัจจุบัน โดยสกุลโฮโมจะประกอบไปด้วยสปีชีส์ (Species) ที่สำคัญหลากหลายสปีชีส์ โดยสปีชีส์ที่สำคัญที่สุดก็คือ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) อันเป็นสปีชีส์ของมนุษย์ที่ครอบครองโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในราว 3 แสนปีก่อน
มนุษย์สกุลโฮโมได้รับการวิวัฒนาการจากมนุษย์ในสกุลออสตราโลพิเธคคัส (Australopithecus) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในราว 5 ล้านปีก่อน โดยมนุษย์ในสกุลออสตราโลพิเธคคัสที่มีความใกล้ชิดกับสกุลโฮโมมากที่สุดก็คือ ออสตราโลพิเธคคัส แอฟริกานัส (Australopithecus africanus)
มนุษย์สกุลโฮโมในกลุ่มแรกๆ คือ โฮโม แฮบิลิส (Homo habilis) ซึ่งวิวัฒนาการต่อมาเป็น โฮโม เออร์แกสเตอร์ (Homo ergaster) หลังจากนั้นโฮโม เออร์แกสเตอร์ ได้วิวัฒนาการแยกออกมาเป็น โฮโม อิเร็กตัส (Homo erectus) และโฮโม ไฮเดลแบร์กเอนซิส (Homo Heidelbergensis) โดยกลุ่มแรกได้สูญพันธุ์ในราว 1 แสนปีก่อน ส่วนกลุ่มที่สองได้วิวัฒนาการต่อไป
โฮโม ไฮเดลแบร์กเอนซิส ได้วิวัฒนาการแยกออกมาเป็น 2 สปีชีส์สำคัญคือ โฮโม นีแอนเดอธัล (Homo neanderthalensis) และโฮโม ซาเปียนส์ ซึ่งท้ายที่สุด มนุษย์ในสกุลโฮโมก็หลงเหลืออยู่เพียงสปีชีส์เดียวคือ โฮโม ซาเปียนส์
แหล่งข้อมูล
https://www.nhm.ac.uk/discover/the-origin-of-our-species.html
https://medium.com/@Yisela/human-evolution-infographic-72be012d13a8
http://humanorigins.si.edu/evidence/human-fossils/species/
https://coolinfographics.com/blog/2014/6/12/the-evolution-of-life-poster.html
Cr. https://www.blockdit.com/posts/5de0e267ac3c371cec0ce2e9 / Post By Histofun DELUXE
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)