[ระบาย]โควิด-19คือฝันร้ายยิ่งกว่าต้มยำกุ้ง..แล้วยังมีอะไรเป็นความหวังได้บ้างหรือ?


( ภาพซากอาคารหลายแห่งในประเทศไทยต้องถูกทิ้งร้างทั้งที่ยังสร้างไม่เสร็จเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 )
.
ที่มา : https://www.thailandguru.com/1997-asian-financial-crisis.html
.
.
( หมายเหตุ : ขอเขียนเป็นกึ่งๆ บันทึกหรือเรื่องสั้นนะครับ )
.
31 มี.ค. 2563 : วันที่ 14 หลังคำสั่งปิดสถานบันเทิงใน กทม. , วันที่ 10 หลังคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าและสถานที่นั่งรับประทานอาหาร ใน กทม. , วันที่ 6 หลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั่วประเทศ
.
หากวันนี้เป็นเพียงวันปกติวันหนึ่ง กิจวัตรประจำวันของผมคงเริ่มด้วยการตื่นแต่เช้ามืด ออกกำลังกาย วิดพื้น ซิทอัพ ย่อขาขึ้น-ลง อย่างละ 50 ครั้ง และวิ่ง 5 กิโลเมตร มันคือสิ่งที่ผมทำจนเคยชินแทบทุกเช้าก่อนออกไปทำงาน รวมถึงหากยังไม่หนำใจ ตอนเย็นถ้ามีเวลาเหลือพอก็อาจจะวิ่งด้วยระยะทางเท่าเดิมอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมเป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะเป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้วที่ผมไม่สามารถตื่นมาออกกำลังกาย ไม่อาจออกไปวิ่งได้อย่างนั้นอีก
.
ผมไม่ได้ป่วยที่ร่างกาย แต่ตลอดสัปดาห์เศษที่ผ่านมา ผมรู้สึกหดหู่จนไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น ผมกินข้าวได้น้อยลง ไปทำงานแบบเซ็งๆ ทุกหย่อมหญ้าไม่ว่าโลกจริงหรือโลกออนไลน์ เสียงร่ำไห้ฟูมฟายดังเซ็งแซ่ ลูกจ้างส่วนหนึ่งกลายเป็นคนตกงานในชั่วข้ามคืนขณะที่อีกส่วนถูกให้หยุดยาวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แม่ค้าแผงลอยที่นั่งเหม่อเพราะไร้คนมาจับจ่าย แท็กซี่ที่วิ่งรถเปล่าไปทั่วเมือง สื่อต่างๆ มีแต่ข่าวกิจการปิดแบบไม่มีกำหนดหรือไม่ก็เลิกประกอบการ 
.
“ครั้งนี้จะมีคนจมทะเลทุกข์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์อีกเท่าใด?” 
.
นิสัยเสียของผมอย่างหนึ่งคือ “อินกับความเศร้าของคนอื่นได้ง่ายมาก” การได้เห็นได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ บ่อยครั้งผมไม่สามารถลืมมันได้ง่ายๆ และวิกฤติโรคระบาดในครั้งนี้ “โควิด-19” มันหายนะยิ่งกว่าวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 “ต้มยำกุ้ง” แบบเทียบกันไม่ได้ เพราะเจ้าไวรัสร้ายมันโจมตี “หัวใจของความเป็นมนุษย์” โดยตรง นั่นคือ “การอยู่กันเป็นสังคม” กิจกรรมที่ทำให้เราเป็นเราอย่างที่เป็นอยู่ การผลิต การค้าขาย การท่องเที่ยว บันเทิง สันทนาการ สังสรรค์ ฯลฯ กิจกรรมที่สร้างงานสร้างรายได้ให้มนุษย์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นและคงอยู่ตราบที่มนุษย์ยังพบปะรวมกลุ่มกัน
.
ในสงครามยังมีพื้นที่บางแห่งที่การสู้รบไม่หนัก บริเวณนั้นผู้คนยังมีโรงเหล้าไว้สังสรรค์ มีโรงเตี๊ยมไว้พักแรม มีตลาดไว้ซื้อ-ขายสินค้า บางแห่งอาจมีโรงงานให้คนไปทำงานผลิตสินค้าต่างๆ ในวิกฤติต้มยำกุ้ง ภาคอุตสาหกรรมกับสถาบันการเงินล้ม แต่ภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงภาคเกษตรไม่ได้ล้มไปด้วย เช่นเดียวกับภัยแล้งและน้ำท่วม ก็ไม่ใช่จะเกิดพร้อมกันทุกพื้นที่ และถ้าไม่ใช่กิจกรรมที่ใช้น้ำมากย่อมไม่ได้รับผลกระทบอะไรนัก ผู้คนยังพอปรับตัวได้ และรัฐก็จัดงบประมาณได้ง่ายเพื่อช่วยเหลือได้ตรงจุดเต็มที่
.
แต่กับไวรัสโควิด-19 มันได้ “ตัดการเชื่อมต่อทางกายภาพ” ของมนุษย์เกือบจะสิ้นเชิง ผู้คนไม่กล้าที่จะรวมตัวกันเพราะไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะติดเชื้อเมื่อไร ชุมชนต่างๆ ทยอยปิดพื้นที่ไม่ต้อนรับคนนอกหรือแม้กระทั่งคนในชุมชนที่กลับจากภายนอก และรัฐก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะปล่อยให้มนุษย์มาพบปะกันเพราะหากมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากระบบสาธารณสุขก็ไม่อาจรับไหว นั่นย่อมทำให้ไม่มีคนท่องเที่ยว ไม่มีคนจัดเลี้ยง ไม่มีคนเดินทาง ไม่มีคนจับจ่ายตามตลาดห้างร้าน หรือหนักที่สุดคือคนไม่กล้าออกจากบ้านรวมถึงถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้าน เมื่อไม่เกิดงานก็ไม่เกิดการจ้างงาน เมื่อนั้นผู้คนย่อมตกงาน กิจการต้องปิด และเป็นการตกงานและปิดกิจการอย่างล้มระเนระนาดกันเป็นเบือ
.
“ถ้าเทียบกับการระบาดของโรคเอดส์ในยุค 2530s ผู้ได้รับผลกระทบก็ยังเป็นเพียงคนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยามค่ำคืนหรือธุรกิจเชิงกามารมณ์เท่านั้น ไม่ใช่แทบทุกคนทุกวงการอย่างไวรัสโควิด-19!!!”
.
หลายปีมานี้ ผมมีโอกาสได้พบกับเหล่า “ผู้รอดชีวิตแบบไร้ชีวิต” ชายสูงอายุที่กลายเป็นคนเร่ร่อนนอนข้างถนน หญิงสูงวัยที่กลายเป็นโสเภณีริมทาง เล่าถึง “ชีวิตที่สวยงามก่อนวันโลกาวินาศ” หลายคนเคยเป็นหนุ่ม-สาวโรงงาน เป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นเซลส์ขายสินค้า มีเงินใช้ไม่ขาดมือ กินอิ่ม แต่งตัวหล่อ-สวย แต่เมื่อวิกฤติต้มยำกุ้งมาเยือน จากสวรรค์ก็กลายเป็นนรก ผมนั้นโตทันรู้ความเพราะเวลานั้นอายุ 12 ย่างเข้า 13 ข่าวมีแต่การฆ่าตัวตายรายวัน ไม่ฆ่าตัวเองตายคนเดียวก็ลากกันไปตายทั้งครอบครัว ส่วนผู้ที่เหลือรอดมาได้บางส่วนก็เป็นอย่างที่ผมได้ยินได้เห็นนี้ คืออยู่ไปวันๆ หนึ่ง ไม่อาจหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ นานวันเข้าก็เริ่มสูญเสียความเป็นตัวตนไปทีละเล็กละน้อย
.
หากต้มยำกุ้งนำมาซึ่งความสูญเสียมากแล้ว โควิด-19 ยิ่งรุนแรงเป็นทวีคูณ รัฐบาลบางประเทศที่ว่ากันว่าเศรษฐกิจเข้มแข็ง ยังอาจมีกำลังพยุงเศรษฐกิจได้เพียงไม่กี่เดือน ประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้ร่ำรวยเท่าและคนส่วนใหญ่ฐานะค่อนลงไปทางยากจนหรือเกือบยากจน ยิ่งไม่อาจทนได้นานขนาดนั้น เสียงที่เป็นคำถามว่าด้วยการปิดบ้านปิดเมืองหยุดทุกกิจกรรมเพื่อสกัดการระบาดของโรคดังขึ้นเรื่อยๆ จากความหิวและเครียดของผู้คนหาเช้ากินค่ำทั้งที่ตกงานและกิจการเจ๊งไปแล้วกับที่ยังพยายามดิ้นรนโดยไม่รู้ว่าวิกฤติจะสิ้นสุดเมื่อใด ความตายเพราะโรคอาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าวันนี้ไม่มีงานไม่มีเงินก็อดตายจะให้ทำอย่างไร
.
“ลงทะเบียนไปแล้วนะ รับ 5 พัน ก็หวังว่าเขาจะอนุมัติ จะได้พอมีเงินพอซื้อข้าวกินบ้าง” 
.
ใครคนหนึ่งที่ทำงานเป็นแรงงานนอกระบบในสถานที่ที่ถูกสั่งปิดเปรยขึ้นมา โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพ 3 เดือน เดือนละ 5,000 บาทของรัฐบาล ดูจะเป็นความหวังสำคัญของพวกเขา แต่การลงทะเบียนก็ยากเสียเหลือเกิน แรงงานนอกระบบหลายคนอายุมากและการศึกษาน้อย ไม่สันทัดในการทำรายการออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ขณะที่อีกหลายคนพยายามเข้าไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ก็เจอปัญหาเว็บล่มโดยเฉพาะในวันแรกๆ ที่เปิดให้ดำเนินการ
.
น้ำเสียงและคำพูดของเหล่าผู้รอดชีวิตแบบไร้ชีวิตจากวิกฤติต้มยำกุ้งดังก้องหลอกหลอนในหัวผมมาหลายวัน ไม่ต่างจากน้ำเสียงและคำพูดแบบเดียวกันจากคนหลากหลายสาขาอาชีพในวิกฤติไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ เมื่อประกอบกับข่าวที่ว่ากว่าจะมีวัคซีนก็ต้องรออย่างเร็วสุด 12-18 เดือน ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าในขณะนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำให้ผู้คนอยู่ห่างๆ กันไว้ ผมยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง มองไม่เห็นว่ามันจะดีขึ้นได้อย่างไร และจะเอาตัวรอดกันอย่างไรในเมื่อทุกภาคส่วนต่างเจ็บกันแทบถ้วนหน้า
.
และนั่นก็ทำให้ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมยังมีคนอีกกลุ่มที่มองเห็น “ความหวัง” ทั้งที่มันดู “มืดแปดด้าน” เหลือเกิน..พวกคุณมองเห็นความหวังอะไรจากวิกฤติครั้งนี้กันแน่?!!!

TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
แก้ไขข้อความเมื่อ
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 9
เอาแค่เรื่องเจ้าเชื้อ Covid ละกันนะครับ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อวันนี้เพิ่ม 120
เสียชีวิตเพิ่ม 2 คน
หายเพิ่ม 100 คน
รวมเป็นผู้ป่วยยืนยัน 1771 ราย

หลายคนบอกเห็นตัวเลขแล้วตกใจแต่จริง ๆ มันดีขึ้นนะครับ เทียบง่าย ๆ กับตอนก่อนมีพรก.คือการติดอัตราการแพร่ระบาดเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 9 ตัวเลขขยับขึ้นลงระหว่าง 8%-11%

วันที่ 27 - เพิ่ม 91 คิดเป็นร้อยละ 8
วันที่ 28 - เพิ่ม 109 คิดเป็นร้อยละ 9
วันที่ 29 - เพิ่ม 143 คิดเป็นร้อยละ 11
วันที่ 30 - เพิ่ม 136 คิดเป็นร้อยละ 9
วันที่ 31 -​ เพิ่ม 127 คิดเป็นร้อยละ 8
วันที่ 1   - เพิ่ม 120 คิดเป็นร้อยละ 7

ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่ลดลงจากช่วงก่อนประกาศพรก.หรือก่อนวันที่ 25 มีค.ที่ตอนนั้นอัตราเพิ่มพรวด ๆ เฉลี่ยเกือบ 25% ครับ

อย่างที่บอกบ่อย ๆ ครับ ตัวเลขวันนี้มาจากสิ่งที่เราทำมาเมื่อ 10 วันก่อน และสิ่งที่เราช่วยกันวันนี้ มันจะไปสะท้อนออกมาเป็นจำนวนผู้ป่วยใน 10 วันข้างหน้า

เค้าคำนวนมาแล้ว ถ้าทุกคนช่วยกัน สัปดาห์นี้ยอดผู้ติดเชื้อน่าจะประมาณ 2000 นิด ๆ อันนี้พอไหว หมอเอาอยู่ แต่ถ้าไม่ช่วยกัน ยังออกจากบ้านไปมาหาสู่กันแบบปกติ อันนี้น่าจะ 7000 ซึ่งถึงเวลานั้นตัวใครตัวมันแน่นอนครับ

มีหลายคนให้ดูญี่ปุ่นไม่ lockdown ไม่เคอร์ฟิว ยังทำงานกันตามปกติ แต่ผู้ติดเชื้อก็ยังพันกว่า ๆ ไม่เยอะมาก ซึ่งพอเค้าไปสังเกตุเค้าพบว่าน่าจะมาจาก

1.คนญี่ปุ่นมีวินัยมาก คือไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด ถ้ามีก็พกมาทิ้งบ้าน เลยทำให้ควบคุมการติดเชื้อได้ง่ายครับ

2.คนญี่ปุ่นมีความรับผิดชอบสูง หมายถึงรับผิดชอบตัวเองนะครับ จะเห็นว่าบ้านเค้ามีคนใส่หน้ากากอนามัยเยอะมาก ใส่มาตั้งแต่ก่อน Covid อีก เด็ก ๆ ก็ใส่ คือถ้าเป็นแค่หวัดเค้าก็ใส่แล้วเพราะกลัวจะไอจามแล้วเอาเชื้อโรคไปติดคนอื่นเค้า ก็เลยลดการกระจายเชื้อได้อีกครับ

3.ญี่ปุ่นเจอกันทักทายกันก็โค้ง ไม่จับมือ อันนี้ก็ลดได้อีกครับ

ก็เลยทำให้ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นยังมีผู้ติดเชื้อไม่เยอะมาก ถ้าเทียบกับความหนาแน่นของประชากรนะครับ คือก็อยากให้ช่วย ๆ กันนะครับ คือถ้าตัวเลขผู้ป่วยไม่พุ่งพรวดมากไป เค้าก็ไม่ปิดเพิ่ม พ่อค้าแม่ค้าก็พอขายของได้บ้าง เงินมันก็พอหมุนเวียนได้บ้างครับ ปิดเมืองมันง่ายแต่จะเอาอะไรกิน ข้าราชการรัฐวิสาหกิจเค้าไม่เดือดร้อน จะปิดเท่าไหนก็ได้ แต่คนหาเช้ากินค่ำจะผูกคอตายก่อนติดโควิดตายนี่สิครับ ขนาดจีนปิดจริงจัง 3 เดือนยังเอาไม่อยู่เลย เปิดปุ๊บพรวดปั๊บ แล้วเราจะไหวหรือครับ

- ล้างมือ กินร้อน ช้อนใครช้อนมัน ห่างกัน 2 เมตรครับ
- อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ครับ
- เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปได้ถ้าพวกเราช่วยกันนะครับ



ปล.ทุกวิกฤติมีโอกาสครับ ทุกยุคก็มีคนรวยและคนจน อยู่ที่จะหาโอกาสได้ไหม
หลายคนตกงานมาขับรถส่งของตอนนี้รายได้ดีกว่าเดิม หลายคนขายเสื้อผ้าตอนนี้หันมาขายเจลขายอุปกรณ์เกี่ยวกับ Covid รวยกว่าเดิมก็มี
งานไอทีต้องการตัวกันจ้าละหวั่นเพราะคนอยู่บ้าน อะไร ๆ ที่ออนไลน์มันจำเป็นหมด แค่เดินสายติดกล้องเพิ่มเน็ทนี่ก็หาคนงานทำไม่ทันแล้ว
อยู่ที่จะปรับตัวได้เร็วแค่ไหนครับ ถ้ารู้ทางเดิมไปไม่ได้ก็อย่าฝืน อย่างท่องเที่ยวหรือโรงแรมตอนนี้ัแย่ เราก็ไปทำอย่างอื่นก่อน
หนทางมีให้เดินเยอะอยู่ครับ ทุกอย่างในดีมีร้าย ในร้ายมีดีครับ อยู่ที่เราจะมองมุมไหน
และถ้าจิตตกมาก ๆ ให้ออกมาจากโลก social บ้าง 80 เปอร์เซนต์มีแต่เฟคนิวส์ ปั่นกันไปมา
คนสำเร็จเค้าไม่โพสหรอก เค้ากลัวไปแย่งงานเค้า มีแต่คนเศร้า ๆ มาระบายกันเอง ยิ่งอ่านยิ่งดำดิ่งแถมเราไม่ได้ประโยชน์อะไร
ออกมาเดินบนโลกของจริง ฟ้าก็ยังสีฟ้า ต้นไม้ก็ยังสีเขียว และเราก็ต้องสู้กันต่อไปครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่