(บันทึกความทรงจำ) ออสเตรเลีย: 5 ปี ไม่มีวันลืม เรียน ทำงาน กิน เที่ยว ไปพร้อมๆกัน

สวัสดีค่ะ วันนี้เจ้าของกระทู้อยู่ในช่วงตกงาน และมีเวลาว่างเยอะมาก เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสไปเรียนและทำงานอยู่ที่ เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ให้เพื่อนๆได้อ่านกันค่ะ จริงๆจะเรียกว่าแชร์ประสบการณ์ก็คงจะไม่ถูก เรียกว่าเป็นบันทึกความทรงจำที่อยากแบ่งปันให้คนที่สนใจมาร่วมพูดคุยกันจะดีกว่าค่ะ (ต่อจากนี้ขอแทนตัวเองว่า ‘เรา’ นะคะ)

เราไปอยู่เมลเบิร์นมาทั้งหมดเกือบๆจะ 5 ปี อยู่เมืองเดียวยาวๆเลยแหละ บินไปตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ด้วยโครงการ Working and Holiday (WAH) 
ต่อด้วยเรียน ​Cookery และสุดท้ายเรียนต่อปริญญาโทค่ะ ความตั้งใจแรกที่บอกกับครอบครัวหลังจากกลับจาก WAH ไว้คือ….

“หนูไปเรียนโทอีก 2 ปี ไม่เกิน 3 ปี ก็กลับแล้ว”

แต่ไปๆมาๆงอกมา 5 ปี เฉยเลย อยู่จนทุกๆคนคิดว่าจะไม่กลับไปอยู่ไทยแล้ว จริงๆก็เกือบจะเป็นแบบนั้นแหละ 
แต่มันมีจุดพลิกผันที่ทำให้เปลี่ยนใจกลับไทยมานะซิ
ต้องบอกก่อนว่าครั้งแรกที่บินไปออสเตรเลียนั้น ไปกับโครงการ WAH ค่ะ ไปเพื่อไปดูลู่ทางความเป็นอยู่ 
และดูว่าตัวเราสามารถไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศนี้ได้ไหม จำได้ว่าวันแรกที่ลงเครื่องมา น้ำตาแทบไหลเลย 
ฟังไม่ออก…

คือต้องบอกก่อนว่าภาษาอังกฤษของเราก็ไม่ได้เก่งมาก แต่เป็นคนที่ชอบ และดูหนังภาษาอังกฤษตลอด 
เลยทำให้พอมีทักษะการฟังติดตัวมาบ้าง ตอนแรกเลยค่อนข้างมั่นใจในตัวเองว่าเราเอาอยู่แหละ 
น่าจะฟังรู้เรื่องบ้าง แต่ แต่ แต่ แต่ความเป็นจริงนั้น…..
ความมั่นใจมลายหายไปหมดสิ้นตั้งแต่ยังไม่ออกจากสนามบินเลยจ้า ตม. ถามอะไรก็ฟังไม่ออก ตอบได้เป็นคำๆ 
ถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้คือตอนนั้นในหัวนี่แบบ ที่เรียนมาทั้งหมดในชีวิตไม่ช่วยอะไรฉันเลย (ร้องไห้หนักมาก)

หลายๆคนก็เตือนแล้วว่าสำเนียงออสซี่ฟังยากนะเธอ ระวังไว้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ หรืออาจจะเพราะเคยชินกับสำเนียงอเมริกันก็ไม่รู้เหมือนกัน 
คือจะบอกยังไงดี สำเนียงออสซี่เหมือนคนพูดภาษาอังกฤษแบบขี้เกรียจจะพูด พูดสั้นๆ ห้วนๆ แต่ก็นั้นแหละ
หลังจากเฟลไปแล้ว ก็มาคิดใหม่ว่าเอาหละไม่เป็นไรเว้ย ตั้งตัวใหม่ เดินหน้าออกหางานเลยจ้า

โดยหางานตามร้านอาหารไทยก่อน เพราะเราถือว่าตัวเรานั้นภาษายังไม่ดี มีหลายคนเคยถามเหมือนกันว่าทำไมถึงรีบหางาน 
ไหนบอกว่าภาษาไม่ดีไง คือเรามีความเชื่อที่ว่า...
ถ้าเราบังคับตัวเองให้ไปอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ภาษา จะทำให้เราคุ้นชินได้เร็วมากขึ้น 

และมันก็ได้ผลจริงๆ ภายในไม่ถึง 1 เดือน ภาษาอังกฤษของเราพัฒนาขึ้นมากๆ พัฒนาขึ้นในที่นี้ หมายถึงภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันนะ 
เราไม่รู้ว่าคนอื่นเขาวัดกันยังไงหรอกนะว่าแบบไหนพัฒนา หรือ ไม่พัฒนา แต่ส่วนตัวนั้นเราฟังรู้เรื่องมากขึ้น พูดโต้ตอบได้มากขึ้น ฝรั่งฟังเราออกและไม่งง
กับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร แค่นี้เราก็ถือว่าพัฒนาแล้วหละ

พอเข้าเดือนที่ 3 ความมั่นใจเราเริ่มจะกลับมา ฟังออกมากขึ้น และตอนนี้เราเริ่มสามารถโต้ตอบกันฝรั่งได้โดยที่ไม่ต้องคิดในหัวเป็นภาษาไทย
และค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว เหมือนมันค่อยๆเป็นระบบอัตโนมัติออกมาเอง บางคนอาจจะสงสัยแล้วแกรมม่าละเป็นไง....
ขอบอกตามตรงว่าถูๆ ไถๆ จ๊ะ อาศัยการเลียนแบบฝรั่ง และเลียนแบบในหนังเอาบ้าง 

ปีแรกที่ไปอยู่ เราอาศัยอยู่กับเพื่อนของคุณพ่อที่เป็นพลเมืองของออสเตรเลีย เขามีบ้านที่เปิดเป็นห้องเช่า
อยู่นอกเมืองสำหรับนักเรียนไทยด้วย เราก็ไปอยู่ไปกินกับเขา โดยเสียค่าห้องเป็นรายเดือนไป 
มีห้องส่วนตัว แชร์ห้องน้ำ ห้องครัว อยู่ค่อนข้างสบายค่ะ แต่ราคานี้โหดใช้ได้เลยถ้าเทียบกับที่อื่น 
คือต่อให้ตัดอาหาร 3 มื้อออกไป ก็แพงอยู่ดีค่ะ แต่เพื่อความสบายใจของครอบครัวเราก็อยู่กับเขาไป 1 ปี

++ ปีที่ 1 กับ Working and Holiday (WAH)  ++

เคยได้ยินหลายๆคนบอกว่าไป WAH ที่ออสเตรเลีย ไม่เห็นจะได้เงินก้อนกลับมาเลย เราอยากจะบอกตรงนี้เลยว่า ก็ต้องแล้วแต่การใช้ชีวิต 
และการจัดการชีวิตของแต่ละคน เรารู้จักใครหลายๆคนที่เขาเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ในขณะเดียวกันก็รู้จักใครอีกหลายๆคน
ที่เก็บเงินจากโครงการนี้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับว่าวัตถุประสงค์ของคุณในการเข้าร่วมโครงการนี้
คืออะไร และคุณวางตัวเองไว้ที่จุดไหน

ถ้าคุณมองเรื่องเงินเป็นหลักและถามว่าคุ้มไหมที่จะมา….
อันนี้เราก็คงตอบคุณไม่ได้ว่าคุ้มไม่คุ้มเพราะมันขึ้นอยู่ว่าคุณได้งานอะไร เรทค่าจ้างเท่าไหร่ และจ่ายแบบไหน
ถ้าทำร้านอาหารไทยแบบเราในตอนแรกๆนี่ยากมาก ไม่ใช่เก็บไม่ได้นะ แต่มันยากถึงจะทำงานตัวเป็นเกลียวก็เถอะ 
มันค่อนข้างจะทรมานอยู่พอสมควรเลย เพราะไหนจะค่าที่พักที่ ค่าเดินทางที่ต้องจ่าย ค่าของใช้ส่วนตัวที่ต้องซื้อ 
แต่ถ้าคุณได้ร้านต่างชาติที่จ่ายค่าแรงตามที่กฎหมายกำหนด ทำงานไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมง และไม่ได้ปาร์ตี้หนัก 
เราว่าคุ้มเพราะคุณจะมีเงินก้อนกลับไทยแน่นอน 

แต่เราอยากจะแนะนำว่า อย่ามองเรื่องตัวเองเป็นหลักนักเลย เพราะถ้าไม่ได้อย่างที่ใจคิดแล้วมันก็ค่อนข้างเครียด 
และที่สำคัญชื่อโครงการเขาก็บอกอยู่เนอะว่า Working and Holiday ก็หาเวลาเที่ยวบ้าง พักผ่อนบ้าง เพื่อหาประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ 
เที่ยวแบบเสียตังไม่มากก็มีเยอะแยะไป เช่นเช่าจักรยานหยอดเหรียญปั่นชมเมือง นั่งรถบัส รถไฟเที่ยวทะเล เดินเล่นในสวนแถวบ้าน 
บางทีแค่ช่วงเวลาสั้นๆแบบนี้มันก็ช่วยลดความเครียดและทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ สำหรับตัวเรา WAH...ให้ประโยชน์กับเรามากกว่าที่คิดไว้เลยแหละ


++ ชีวิตนักเรียน ในสองเส้นทาง ++
นักเรียนทำอาหาร ผู้ไม่เคยทำอาหาร

หลังจากวีซ่า ​​WHA หมดลง เราก็บินกลับไทยเพื่อไปเปลี่ยนเป็นวีซ่านักเรียน และตั้งใจจะบินกลับเมลเบิร์นเพื่อเรียนต่อปริญญาโท 
แต่แล้วแผนก็ต้องเปลี่ยนเนื่องจากความใจโลเลของข้าพเจ้าและแรงสนับสนุนของทางครอบครัว ที่คุยกันว่าถ้ามีโอกาสเป็นพลเมืองของที่นู้น 
ก็ลุยไปเลยลูก…เราเลยพักเป้าหมายเรียนโทเอาไว้ แล้วหาลู่ทางในการเป็นพลเมืองของที่นั้น 
จึงตัดสินใจลงเรียนทำอาหารที่สถาบัน William Angliss ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง

เมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 เราก็ย้ายออกจากบ้านของเพื่อนพ่อที่นอกเมืองเข้ามาเช่าห้องใหม่อยู่ใจกลางเมือง
รอบนี้แฟนเราบินมาเรียนด้วยเลยมีคนช่วยหารค่าที่พัก แต่ราคาก็ไม่เบาอยู่ดี $380/ อาทิตย์ ไม่รวมค่าน้ำ ไฟ และอินเตอร์เน็ต
ที่พักเป็นตึกแบบคอนโดที่มีฟิตเนส สระว่ายน้ำ ห้องซาวน่า และที่จอดรถสำหรับส่วนกลาง ส่วนตัวห้องพักนั้นเป็นห้องประมาณ 25 ตารางเมตร
แบบ 1 ห้องนอนเล็กๆ เพดานเตี้ย มีครัวขนาดน่ารักๆ ห้องโถง และ ห้องน้ำ 
โดยที่พักนี้ไม่ได้ไกลจากโรงเรียนที่เรียนทำอาหารมาก เดินทางประมาณ 15-20 นาทีก็ถึง

โรงเรียนที่สมัครเรียนนี้ค่อนข้างมีชื่อในเมลเบิร์น เพราะเขาดังด้านการบริการ หรือ Hospitality เราลงเรียนทำอาหารซึ่งเป็นหลักสูตร 2 ปี
ตอนแรกก็กลัวมากว่าจะเรียนได้ไหม เพราะเป็นคนทำอาหารไม่เป็นเลย ทอดไข่เจียวก็อมน้ำมัน ทอดไข่ดาวก็แตกเป็นแพ 
แต่ก็เอาวะเพื่อโอกาสในการเป็นพลเมืองที่นี่ สุดท้ายก็เรียนจนจบแบบแฮปปี้สุดๆด้วย ฝีมือการทำอาหารก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย 
ขอให้มีเมนูทำได้หมดแต่อร่อยไหมนี่ก็อยู่ที่คนชิมนะ 

วิชาที่เรียนของที่นี่ไม่ได้มีแค่การทำอาหารอย่างเดียวนะ ต้องมีเรียนบัญชีด้วย เพื่อการคิดคำนวณค่าใช้จ่าย 
ต้องเรียนการจัดการคน ความปลอดภัยในการทำงาน แม้กระทั่งเรียน CPR ในห้องเรียนวิชาปฎิบัติโดยเฉลี่ยมีไม่เกิน 20 คนต่อห้อง
คละสัญชาติ มีทั้งออสซี่ ไทย เกาหลี บราซิล บรูไน และบางครั้งในห้องก็มีเด็กพิเศษเข้ามาเรียนด้วยแต่จะต้องมีคนดูแลที่โรงเรียนจัดหาให้คอยประกบไว้
ห้องเรียนของที่นี่ดีมาก เรากล้าพูดได้เลยว่าแทบจะดีที่สุดในเมลเบิร์น เด็กนักเรียนทุกคนไม่ต้องแย่งกันใช้อุปกรณ์ ทุกคนมีเตาแก๊ส เตาอบ อ่างล้างจาน
ให้ใช้โดยไม่ต้องแบ่งกับเพื่อนคนอื่นๆเลย 

ในแต่ละวันก่อนเริ่มเรียนทุกคนจะต้องทำการบ้านมาส่งให้คุณครูดูก่อนด้วยนะ ไม่งั้นจะไม่ได้เข้าห้องเรียน 
การบ้านที่ว่าก็คือการศึกษาเมนูว่าวันนี้เราจะทำเมนูอะไร ใช้วัตถุไหน แล้วต้องทำขั้นตอนไหนก่อน 
หรือจะทำเมนูไหนก่อน เพื่อเป็นการสอนให้แต่ละคนรู้จักจัดลำดับขั้นตอนและความสำคัญ 

ก่อนเริ่มเรียนในวันนั้นๆ คุณครูจะสาธิตวิธีทำและอธิบายขั้นตอนให้ฟังก่อน พอคุณครูโชว์จบก็ถึงเวลาเข้าห้องเรียนไปลงมือปฎิบัติจริง 
โดยคุณครูเขาจะเดินวนรอบๆห้องดูว่าเราทำถูกไหม ถ้าทำตรงไหนไม่ถูกหมายถึงจุดสำคัญใหญ่ๆ เขาก็จะดุก่อนเลยว่าได้ดูที่ฉันสาธิตไปไหม
แล้วก็จบด้วยอธิบายและทำให้ดูอีกที...พอทำเสร็จต้องเอาไปส่งให้ชิมเพื่อให้คุณครูให้คะแนนพร้อมคำติชม 

บรรยากาศการเรียนก็สนุก ผสมเครียดนะ เพราะต้องแข่งกับเวลา ต้องทำให้ทันเวลา และต้องบริหารจัดการปริมาณวัตถุดิบด้วย ห้ามทิ้งๆขว้างๆ 
เพื่อนๆในห้องก็จะช่วยๆกันเวลาที่บางคนทำไม่ทันจริงๆ แต่บางครั้งก็ช่วยกันไม่ได้เลยคุณครูดุมาก คุยก็ไม่ได้ 
และสุดท้ายเราก็จบออกมาด้วยระยะการเรียน 2 ปี กับวุฒิ Diploma พร้อมทักษะการทำอาหาร 
ตอนกลับไทยมามีหลายคนเลยชอบเข้าใจว่า...จบทำอาหารมาต้องทำอาหารเป็นทุกเมนู ซึ่งจริงๆแล้วคือผิดมาก 
ในโรงเรียนทำอาหารเขาสอนทักษะและเทคนิคพื้นฐาน แต่หลังจากนั้นเราต้องออกไปเก็บประสบการณ์ ตามร้าน ตามโรงแรมต่างๆเอง
เพื่อนำทักษะที่เรียนมาไปฝึกปฎิบัติจริง

อ้อลืมบอกไปว่าเทอมสุดท้ายในการเรียนมีคลาสทำอาหารขายให้ลูกค้าจริงๆ
กินด้วยแหละ ตื่นเต้นกันน่าดู ขายได้เยอะด้วยนะ เพราะว่าราคาถูก คนก็จะมาต่อแถวรอกัน
โดยมีเด็กที่เรียนพวกการบริการ การโรงแรมเป็นคนคอยรับออเดอร์ให้เชฟๆในครัว สนุกมาๆ
แต่ก็ตื่นเต้นและกดดันมากๆเช่นกัน เนื่องจากเวลามีจำกัด ก็ต้องเร่งมือกันเป็นระวิงเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่