จริงหรือไม่ที่ผู้ป่วยความดัน หัวใจ เสี่ยงโรคโควิด-19 มากกว่าคนอื่น?
ช่วงนี้ได้ยินแต่ข่าวเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศชื่ออย่างเป็นทางการว่า SARS-CoV-2 เต็มไปหมดเลยนะครับ
ขอเท้าความซักนิดหนึ่งเกี่ยวกับเจ้าไวรัสชนิดนี้ว่ามันคือไวรัสขนาดใหญ่ที่พบได้ทั้งในคนและสัตว์ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ MERS และ SARS แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เพราะอัตราการเสียชีวิตของ MERS และ SARS นั้นอยู่ที่ประมาณ 30% และ 10% ตามลำดับ ในขณะที่โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นมีอัตราการเสียชีวิตเพียง 2-3% เท่านั้น ในกลุ่มคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นผู้สูงอายุหรือคนที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ อยู่แล้ว อัตราการเสียชีวิตก็จะมีมากถึง 14-20% เลยทีเดียว
ส่วนความรุนแรงของอาการก็จะมีตั้งแต่น้อยๆ เช่น คัดจมูก เจ็บคอ ไอและมีไข้ แต่ในรายที่รุนแรงมาก ก็จะมีอาการปอดบวม หอบเหนื่อยและหายใจลำบากร่วมด้วย
ผู้ป่วยโรคใดบ้างที่ควรระมัดระวังโรคโควิด-19
จากข้อมูลของวารสารทางการแพทย์ The Lancet ระบุว่า ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและโรคมะเร็ง ถ้าได้รับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เข้าไปแล้วไม่ได้รีบรักษา ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตได้ เพราะเชื้อไวรัสนี้จะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ถึง 17% กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 7% และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวอีก 9%
ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและความดันจึงเป็นกลุ่มที่ควรระมัดระวังการติดเชื้อให้มากเป็นพิเศษเลยนะครับ
จริงหรือไม่ที่ว่ายาลดความดันโลหิต เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรคโควิด-19
เมื่อเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะมุ่งไปที่ปอด ซึ่งที่ปอดของคนเราจะมีตัวรับ (Receptor) ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Angiotensin-Converting Enzyme 2 หรือเรียกสั้นๆ ว่า ACE II ซึ่งเจ้า ACE II นี่แหละจะทำหน้าที่เหมือนแม่กุญแจสำหรับเปิดประตูให้ไวรัสชนิดนี้เข้าไปในเซลล์ของร่างกาย เมื่อไวรัสเดินทางเข้ามาพร้อมกับลูกกุญแจ (ที่เราเห็นเป็นหนามแหลมๆที่อยู่รอบตัวไวรัสคล้ายๆมงกุฎนั่นแหละครับ) เมื่อเจ้าหนามแหลมๆเจอกับตัวรับก็แปลว่า มีการติดเชื้อเกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
ในปัจจุบัน มีสมมติฐานว่ายาลดความดันในกลุ่ม ACE Inhibitor หรือยาที่ควบคุมการทำงานของ ACEII ที่มักจะใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิต โรคหัวใจ และโรคไตในผู้ป่วยเบาหวาน มีผลทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เนื่องจากยาชนิดนี้จะไปทำให้เซลล์ในร่างกายมีตัวรับหรือแม่กุญแจในการรับไวรัสเพิ่มมากขึ้น
แต่สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับประทานยากลุ่มนี้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ แพทย์ยังไม่ได้แนะนำให้หยุด หรือลดขนาด หรือเปลี่ยนยาลดความดันเป็นกลุ่มอื่น เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงสามารถใช้ยาในกลุ่มนี้ได้ตามเดิม เพราะการหยุดยาอาจจะส่งผลเสียมากกว่า
คนมีโรคประจำตัวควรรับมือกับโรคโควิด-19 อย่างไร
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว พี่หมอแนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งก็ไม่ใช่แค่คนที่มีโรคประจำตัวเท่านั้นนะครับ เพราะในช่วงที่มีโรคระบาดแบบนี้ เราทุกคนควรดูแลสุขอนามัยของตัวเองและคนใกล้ชิดให้ดี ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ หลีกเลี่ยงไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด เช่น โรงหนัง ศูนย์อาหาร สถานีขนส่ง สนามบิน เป็นต้น
หรือถ้ามีประวัติว่าเคยสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ต้องสงสัยก็ควรกักตัวเอง (Self Quarantine) เพื่อสังเกตอาการประมาณ 14 วัน ในระหว่างนั้น ถ้ามีอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองก็จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางปอด หัวใจและไตที่อาจเกิดขึ้นได้
และสำหรับผู้สูงอายุ ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมไว้ด้วย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายควบคู่ไปกับการดูแลตัวเอง
ช่วงนี้มีทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวลือ พี่หมอแนะนำว่าให้เลือกอ่านจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เท่านั้น และไม่ควรหมกหมุ่นจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เราเครียดและจิตตกได้ ดูแลสุขภาพกายแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพใจกันด้วยนะครับ
ด้วยความปรารถนาดี จากพี่หมอ ❤❤❤
จริงหรือไม่ที่ผู้ป่วยความดัน หัวใจ เสี่ยงโรคโควิด-19 มากกว่าคนอื่น?
ช่วงนี้ได้ยินแต่ข่าวเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศชื่ออย่างเป็นทางการว่า SARS-CoV-2 เต็มไปหมดเลยนะครับ
ขอเท้าความซักนิดหนึ่งเกี่ยวกับเจ้าไวรัสชนิดนี้ว่ามันคือไวรัสขนาดใหญ่ที่พบได้ทั้งในคนและสัตว์ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ MERS และ SARS แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เพราะอัตราการเสียชีวิตของ MERS และ SARS นั้นอยู่ที่ประมาณ 30% และ 10% ตามลำดับ ในขณะที่โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นมีอัตราการเสียชีวิตเพียง 2-3% เท่านั้น ในกลุ่มคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นผู้สูงอายุหรือคนที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ อยู่แล้ว อัตราการเสียชีวิตก็จะมีมากถึง 14-20% เลยทีเดียว
ส่วนความรุนแรงของอาการก็จะมีตั้งแต่น้อยๆ เช่น คัดจมูก เจ็บคอ ไอและมีไข้ แต่ในรายที่รุนแรงมาก ก็จะมีอาการปอดบวม หอบเหนื่อยและหายใจลำบากร่วมด้วย
ผู้ป่วยโรคใดบ้างที่ควรระมัดระวังโรคโควิด-19
จากข้อมูลของวารสารทางการแพทย์ The Lancet ระบุว่า ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและโรคมะเร็ง ถ้าได้รับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เข้าไปแล้วไม่ได้รีบรักษา ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตได้ เพราะเชื้อไวรัสนี้จะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ถึง 17% กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 7% และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวอีก 9%
ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและความดันจึงเป็นกลุ่มที่ควรระมัดระวังการติดเชื้อให้มากเป็นพิเศษเลยนะครับ
จริงหรือไม่ที่ว่ายาลดความดันโลหิต เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรคโควิด-19
เมื่อเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะมุ่งไปที่ปอด ซึ่งที่ปอดของคนเราจะมีตัวรับ (Receptor) ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Angiotensin-Converting Enzyme 2 หรือเรียกสั้นๆ ว่า ACE II ซึ่งเจ้า ACE II นี่แหละจะทำหน้าที่เหมือนแม่กุญแจสำหรับเปิดประตูให้ไวรัสชนิดนี้เข้าไปในเซลล์ของร่างกาย เมื่อไวรัสเดินทางเข้ามาพร้อมกับลูกกุญแจ (ที่เราเห็นเป็นหนามแหลมๆที่อยู่รอบตัวไวรัสคล้ายๆมงกุฎนั่นแหละครับ) เมื่อเจ้าหนามแหลมๆเจอกับตัวรับก็แปลว่า มีการติดเชื้อเกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
ในปัจจุบัน มีสมมติฐานว่ายาลดความดันในกลุ่ม ACE Inhibitor หรือยาที่ควบคุมการทำงานของ ACEII ที่มักจะใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิต โรคหัวใจ และโรคไตในผู้ป่วยเบาหวาน มีผลทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เนื่องจากยาชนิดนี้จะไปทำให้เซลล์ในร่างกายมีตัวรับหรือแม่กุญแจในการรับไวรัสเพิ่มมากขึ้น
แต่สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับประทานยากลุ่มนี้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ แพทย์ยังไม่ได้แนะนำให้หยุด หรือลดขนาด หรือเปลี่ยนยาลดความดันเป็นกลุ่มอื่น เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงสามารถใช้ยาในกลุ่มนี้ได้ตามเดิม เพราะการหยุดยาอาจจะส่งผลเสียมากกว่า
คนมีโรคประจำตัวควรรับมือกับโรคโควิด-19 อย่างไร
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว พี่หมอแนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งก็ไม่ใช่แค่คนที่มีโรคประจำตัวเท่านั้นนะครับ เพราะในช่วงที่มีโรคระบาดแบบนี้ เราทุกคนควรดูแลสุขอนามัยของตัวเองและคนใกล้ชิดให้ดี ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ หลีกเลี่ยงไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด เช่น โรงหนัง ศูนย์อาหาร สถานีขนส่ง สนามบิน เป็นต้น
หรือถ้ามีประวัติว่าเคยสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ต้องสงสัยก็ควรกักตัวเอง (Self Quarantine) เพื่อสังเกตอาการประมาณ 14 วัน ในระหว่างนั้น ถ้ามีอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองก็จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางปอด หัวใจและไตที่อาจเกิดขึ้นได้
และสำหรับผู้สูงอายุ ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมไว้ด้วย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายควบคู่ไปกับการดูแลตัวเอง
ช่วงนี้มีทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวลือ พี่หมอแนะนำว่าให้เลือกอ่านจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เท่านั้น และไม่ควรหมกหมุ่นจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เราเครียดและจิตตกได้ ดูแลสุขภาพกายแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพใจกันด้วยนะครับ
ด้วยความปรารถนาดี จากพี่หมอ ❤❤❤