●● เมื่อ COVID-19 กระชากหน้ากากแต่ละประเทศ●●

●● เมื่อ COVID-19 กระชากหน้ากากแต่ละประเทศ●●

               
จีนส่งทีมแพทย์จากมณฑลเสฉวน พร้อมนำเวชภัณฑ์เดินทางไปอิตาลี

เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่าเรื่องราวการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ อย่าง “COVID-19” ยังคงถือเป็น “ไฮไลต์” ไม่ว่าในระดับโลก หรือระดับสังคมไทยของหมู่เฮาอยู่เช่นเดิม 

แต่ท่ามกลางความแตกตื่น ตกใจ ความ “หูแหก-ตาแหก” ไปทั่วทั้งโลกนั้น คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้อีก
เช่นกันนั่นแหละว่า เชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสตัวนี้ มันกำลังเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะ อุปนิสัย กิริยามารยาท
ไปจนถึง “วาสนา” หรือ “สันดาน” ของปัจเจกบุคคลแต่ละคน ไปจนถึงระดับสังคม หรือกระทั่งประเทศชาติแต่ละ
ประเทศ ได้อย่างชนิดลึกซึ้ง ถึงแก่นเอามากๆ...

ไม่ว่าประเภทเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ตามพื้นฐานความพึงพอใจแห่ง “ตัวกู-ของกู” ไม่คิดรับผิดชอบใดๆ ต่อผู้อื่น
ต่อส่วนรวม แม้ตัวเองอยู่ในข่ายติดเชื้อ ติดโรค กลับไม่คิด “กักตัวเอง” ไว้ในบ้าน ออกมาเพ่นพ่านไปโน่น-ไปนี่
กินโน่น-กินนี่ เที่ยวโน่น-เที่ยวนี่ จนก่อให้เกิด “ซูเปอร์สเปรด” แพร่กระจายเชื้อลุกลามไปสู่ผู้อื่น สู่สังคม

หรือประเภทที่ “เอาแต่ด่า...กับ...ด่า” ไม่สนใจความเหนื่อยยากของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ผู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อย
เมื่อยล้ากับการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคร้าย ชนิดไม่เป็นอันกิน อันนอน แต่ยังถูกหยิบเอามาโพสต์โน่น-โพสต์นี่
ด่าโน่น-ด่านี่ ทั้งที่ตัวเองเพิ่งได้รับการเยียวยารักษา หลังจากไปตั้งวงเลี้ยงฉลอง จนต้อง “ติดเชื้อ” กันจนได้

หรือประเภทหงุดหงิด งุ่นง่าน เพราะถูกห้ามไม่ให้ตั้ง “วงคอนเสิร์ต” จนต้องหันมาแจก “กล้วย” ให้รัฐบาลกัน
เป็นเครือๆ ไปจนประเภทแอบเอา “สารคัดหลั่ง” ของตัวเอง มาป้ายไว้ในลิฟต์แถวๆ สถานีรถไฟฟ้าแบบสุดแสน
จะโรคจิตอะไรถึงปานนั้น ฯลฯ ฯลฯ...
 
ซึ่งย่อมถือเป็นเรื่อง “ปกติธรรมดา” ของสังคมแต่ละสังคม อันต้องประกอบไปด้วย “คนดีและคนไม่ดี” ผสมปนเป
กันไปอย่างมิอาจปฏิเสธได้

แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...ก็น่าจะเป็นอากัปกิริยาของสังคมแต่ละสังคม หรือประเทศแต่ละประเทศ
ที่ได้สะท้อนให้เห็นท่ามกลางความแตกตื่น โกลาหล จนอาจนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า “ใครเป็นใคร” หรือ “ไผเป็นไผ”
ได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลานำเอาระบบการเมือง การปกครอง ระบบเศรษฐกิจ หรือ
วัฒนธรรม ประเพณีใดๆ มาใช้เป็นมาตรฐานในการแยกแยะเอาเลยแม้แต่น้อย...

อย่างเช่น ประเทศที่แม้เป็นบ่อเกิด หรือเป็นต้นกำเนิดของเชื้อโรคชนิดนี้ อย่างประเทศจีน เป็นต้น...
ถึงถูกกล่าวหามาตั้งแต่แรกโดย “สื่อตะวันตก” อย่างเช่น หนังสือพิมพ์ “New York Times” ว่าได้ใช้ความเป็น “เผด็จการ” กระทำการล่วงละเมิดสิทธิมนุษย์และเสรีภาพส่วนบุคคลภายในประเทศตัวเอง ระหว่างตัดสินใจ
ปิดบ้าน ปิดเมือง หลังตรวจพบการแพร่ระบาดแบบชนิดฉับพลัน-ทันที 

แต่มาถึงขั้นนี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธว่า ความเป็นเผด็จการของจีน...ไม่เพียงแต่ได้ช่วยชีวิตชาวจีน หรือพลเมืองภายในประเทศตัวเอง ไม่ให้ต้องบาดเจ็บล้มตายมากมายเกินไปกว่านี้ ยังมีส่วนช่วยให้บรรดาชาวโลก
ทั้งหลาย ไม่ต้องติดเชื้อ แพร่เชื้อ กระจัดกระจายเกินไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่

จนกลายเป็นแบบอย่าง ตัวอย่างให้กับประเทศใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าประชาธิปไตย หรือเผด็จการ ไล่มาตั้งแต่อิหร่าน,
อิตาลี, ปากีสถาน, เดนมาร์ก, แอลจีเรีย ฯลฯ นำไปใช้เป็นแนวทางรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคชนิดนี้
ภายในประเทศของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล...

อีกทั้งหลังจากที่สามารถ “เอาอยู่” ภายในประเทศตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้
อีกนั่นแหละว่า การแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจของรัฐบาลจีน ความเพียรพยายามที่จะให้ความร่วมมือ-ร่วมใจ
กับบรรดาเพื่อนผู้ร่วมโลกทั้งหลาย ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคร้ายชนิดนี้ ค่อนข้างเป็นไปอย่างจริงจังและจริงใจ
เอามากๆ

ไม่ว่าการขนเอาอุปกรณ์ เครื่องมือ และเวชภัณฑ์ นับหมื่นๆ แสนๆ ตัน ไปช่วยประเทศที่กำลังถูกคุกคามในระดับ
หนักหนาสาหัส โดยแทบไม่ออกอาการลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย

เช่น ในอิตาลี ระหว่างที่รัฐบาลอิตาลีไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ขณะประเทศพันธมิตรที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอียูมาโดยตลอด อย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี ประกาศห้ามส่งออกอุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็น
ในการป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย หรือเวชภัณฑ์ทั้งหลาย ภาพ “เครื่องบินจีน” ที่ขนเอา
อุปกรณ์นานาชนิดไปมอบให้กับรัฐบาลอิตาลีถึงกรุงโรม เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ตามด้วยเรือบรรทุกเครื่องเวชภัณฑ์
อีกเป็นพะเรอเกวียนไปยังท่าเรือเมืองมิลาน เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา

จนทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี “นายLuigi Di Maio” อดไม่ได้ต้องนำมาโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของตัวเอง
และทำให้บรรดาชาวอิตาเลียนทั้งหลาย ถึงกับต้องร่วมประสานเสียง “ร้องเพลงชาติจีน” บนระเบียงบ้านไป
ตามๆ กัน

อันนี้...ไม่ว่าจะถือเป็นปฏิบัติการจิตวิทยา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะ
กิริยามารยาทของรัฐบาลจีน อย่างมิอาจปฏิเสธได้...

ไม่ต่างไปจากประเทศที่เจอกับภัยคุกคามจากเชื้อโรคตัวนี้ ชนิดหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน เช่นประเทศอิหร่าน เป็นต้น
ก็ด้วยการระดมความช่วยเหลืออย่างชนิดไม่อั้น จากประเทศจีนนี่แหละ ที่พอช่วยเยียวยาความทุกข์ยากของ
ชาวอิหร่าน ให้พอลดๆ ลงไปได้มั่งไม่มากก็น้อย ต่างไปจากมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาแบบชนิดหน้ามือ
เป็นหลังตีน เพราะขณะที่รัฐบาลอิหร่านซึ่งถูก “ศัตรูคู่กัด” อย่างคุณพ่ออเมริกาเล่นงานมาโดยตลอด พยายามหัน
ไปกู้เงินจาก “ไอเอ็มเอฟ” แค่สักประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ เอาไว้ติดปลายนวมในการต่อสู้กับเชื้อ “COVID-19”
ไปตามสภาพ รัฐบาลอเมริกันโดยหน่วยงานตัวแทนพิเศษสำหรับกิจการอิหร่าน (US Special Representative for
Iranian Affairs) ก็ได้จังหวะออกมาประกาศ “มาตรการแซงชั่นขั้นสูงสุด” ต่ออิหร่าน ไปเมื่อวันศุกร์ (20 มี.ค.)
ที่ผ่านมา หรือเพื่อตัดมือ ตัดตีน ไม่ให้รัฐบาลอิหร่านมีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่เป็นชาวอิหร่านได้
โดยเด็ดขาด หรือได้จังหวะหันไป “กระทืบซ้ำ” รัฐบาลอิหร่าน ให้ยิ่งจมธรณียิ่งขึ้นไปกว่านั้น... 
 
และแม้ขณะที่ไวรัส “COVID-19” กำลังทำให้ใครต่อใคร ต้องยกเลิกปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เลิกรวมกลุ่มตั้งแต่ 5 คน 10 คนขึ้นไป เลิกกีฬาแมตช์ดังๆ ไม่ว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, ลาลีกา, กัลโช่ เซเรีย อา ฯลฯ เทนนิส
เฟรนช์โอเพน, วิมเบิลดัน ฯลฯไปจนถึงมหกรรมโอลิมปิก 2020 ก็อาจต้องถูกยกเลิก ถูกเลื่อนเอาง่ายๆ แต่ด้วยเหตุ
เพราะอยากหาทางเล่นงาน “ศัตรูคู่แข่ง” อย่างประเทศรัสเซีย อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก หน่วยบัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในยุโรป ก็ยังอุตส่าห์ออกมาประกาศยืนยันให้ “นาโต” ดำเนินการ “ซ้อมรบ” ที่เรียกว่า 
“Defender Europe 2020” ต่อไป โดยไม่คิดจะเลื่อนเอาเลยแม้แต่น้อย แม้ต้องนำเอาทหารของแต่ละประเทศ 
มารวมตัว รวมกลุ่มกันเป็นจำนวนนับหมื่นๆ คน และแม้ว่าผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในยุโรป นายพล
 “Christopher Cavoli” จะกลายเป็นผู้ติดเชื้อ “COVID-19” จนต้องถูกกักตัวไปแล้วก็ตาม...

แต่ที่น่าเกลียด น่าทุเรศ ยิ่งไปกว่านั้น...คือขณะที่บริษัทผลิต “วัคซีน” ในเยอรมนี อย่างบริษัท “CureVac” ทำท่าว่า
อาจประดิษฐ์คิดค้นวัคซีนที่สามารถช่วยป้องกันมวลมนุษย์ทั้งหลายจากเชื้อ “COVID-19” ได้อีกไม่นาน-ไม่ช้า 
ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เยอรมนี “Die Welt” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า...

ประธานาธิบดีอเมริกันพยายามที่จะเสนอเงินตอบแทนนับพันๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริษัทดังกล่าวย้ายไปอยู่ในอเมริกา หรือเพื่อให้ประเทศอเมริกาเป็นเพียงประเทศเดียวที่มีสิทธิใช้วัคซีนชนิดนี้ นี่...เอาไป-เอามา อะไรมันจะ
หนักซะยิ่งกว่า “ไอ้โรคจิต” ที่พยายามเอาสารคัดหลั่งของตัวเอง มาป้ายไว้ตามลิฟต์ อะไรประมาณนั้น เรียกว่า...

ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” คราวนี้ จะสะท้อนถึงความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวของ
รัฐบาลอเมริกัน ที่น่าเกลียด น่าทุเรศเอามากๆ ยังสะท้อนให้เห็นถึงอาการโรคจิต อาการมุ่งร้าย หมายขวัญต่อผู้อื่น หรือผู้ที่ตัวเองจงเกลียดจงชัง โดยไม่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ความเป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมวัฏสังสารเอาเลย
แม้แต่น้อย...

Cr.  :  https://mgronline.com/daily/detail/9630000028963
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่