ตอนไข้หวัด 2009 คนไทยติดเป็นหมื่น ตาย 200 กว่าคนจริงเหรอ

ทำไมเหตุการณ์ตอนนั้นดูไม่ตื่นตระหนกเหมือนตอนนี้ หรือ สื่อ social ยังไม่บูม
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ว่ากันที่จริงตอนนั้นที่เป็นหวัด 2009 โรงพยาบาลทุกแห่งมีปัญหามากครับ
และรุนแรงมากด้วย อัตราตายช่วงแรกมากกว่า 5 % นะ เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไรในช่วงแรก
รักษาประคับประคองเท่านั้น ห้อง Negative pressure ก็มีน้อยมาก ในบางโรงพยาบาลมีคนไข้ครึ่งโรงพยาบาล
ก็ปรากฏมาแล้ว โรงพยาบาลระดับจังหวัดมีคนไข้อย่างน้อย 10 คนขึ้นไป บางช่วงมีอาการปอดอักเสบ 5-10 รายต่อโรงพยาบาลก็มี
แต่ปรากฏว่ามีการพบว่ายาต้านไวรัสคือ Oseltamivir (Tamiflu) สามารถต้านไวรัส หวัด 2009 ได้
ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศเม็ดประมาณ 200 กว่าบาท และไปซื้อได้ราคาถูกมาจากอินเดีย
ช่วงแรกยาก็ไม่ค่อยพอใช้ แต่ก็สามารถลดอัตราตายได้อย่างรวดเร็ว จนสิ้นสุดการระบาด
ทุกวันนี้เชื้อนี้กลายเป็นเชื้อประจำถิ่น และประชาชนก็มีภูมิต้านทานเกิดขึ้นแล้ว ขณะนี้ การใช้ tamiflu ยังคงได้ผลอยู่

แต่ปัจจุบันผมหวังว่า การระบาดของ covid ครั้งนี้เราจะควบคุมได้ ถ้าได้รับความร่วมมือจากประชาชน
และประชาชนส่วนหนึ่งก็มีประสบการณ์มาจากหวัด 2009 กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ใส่แมส ก็มาจากการระบาดครั้งนั้น
และมีนโยบายจากกระทรวงสาธารณสุขที่มีการสร้างห้อง negative pressure มากขึ้นน่าจะไม่น้อยกว่า 5 เท่า
มีการจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดูแลผู้ป่วย มีเครื่องช่วยหายใจที่มากกว่าการระบาดครั้งแล้ว
การมีประสบการณ์ดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่าเราจะควบคุมสถานการณ์ในครั้งนี้ได้ เราจะทำให้อัตราตายจากปอดอักเสบน้อยลง
อย่างน้อยเราพอรู้แล้วว่าจะใช้ยาตัวใดมารักษา และหามาเตรียมไว้น่าจะเพียงพอแล้ว

ในครั้งนี้ก็หวังว่าประชาชนจะใส่แมส กินร้อน ช้อนกลางส่วนตัว ล้างมือ ห่างไกลมีช่วงห่างระหว่างบุคคล
อย่าไปใช้ชีวิตที่เป็นพฤติกรรมเสี่ยง ไม่แย่งชิงอุปกรณ์การแพทย์ ไม่เรียกร้องการนอนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น
ปฏิบัติตามข้อแนะนำทางการแพทย์ และไม่ขอตรวจโดยไม่จำเป็น (ช่วงหลังของการระบาดหวัด 2009 เราก็ไม่ได้ให้ตรวจหาเชื้อแล้ว)
ทำให้ตัวเลขระบาดคงต่ำกว่าข้อเท็จจริง เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะตรวจแล้ว
และสุดท้ายขอให้ปฏิบัติตามคำสั่งราชการอย่างเข้มงวด
ความคิดเห็นที่ 12
เป็น 1 ในคนที่ติด อยู่กรุงเทพ ไม่มีคนรอบตัวเป็นเลย เป็นอยู่คนเดียว
แต่ถือว่ารุนแรง คนกลัวมากกกก เพราะมีข่าวคนตายเยอะ ออกข่าวใหญ่โตเหมือนกัน
นอนอยู่รพ.คนเดียว 1อาทิตย์เต็มๆ ไม่มีใครกล้ามาเยี่ยมเลย เพราะกลัว 🤣

ถามว่าทำไมไม่ตื่นตระหนก เพราะไม่มีเฟสให้พร่ำเพ้อแบบสมัยนี้มั้ง
ถึงบอกว่าโซเชี่ยลมีมานาน แต่มันก็แค่เพ้อๆ คำคม ไร้สาระมาตลอด
สำนักข่าว เพิ่งจะจริงจังกับโซเชี่ยล ช่วงเปลี่ยนผ่านทีวีดิจิตอลนี้เอง
ความคิดเห็นที่ 16
ผมจำได้ว่าเป็นเชื้อที่ร้ายแรงกว่าปัจจุบันครับ ทั่วโลกก็มีการตื่นตัวครับ  รัฐบาลก็แถลง องค์การอนามัยโลกก็ประกาศเตือนแบบนี้หละครับ จนมีคนเอาไปสร้างหนังหลายเรื่อง



แต่เมื่อ 10 ปีก่อนคนไม่แพนิคไม่หลอนเท่าปัจจุบัน ตอนนั้นสื่อหลักยังออกแค่ทีวี ส่วน YouTube กับ Facebook ไม่ใช่แหล่งเสพข่าว คนแค่ใช้เพื่อความบันเทิง

แต่เดี๋ยวนี้สื่อมีรายได้อีกทางคือจาก YouTube ข่าวทุกช่องสร้างกระแสใน YouTube คนเคยทำทีวีก็หันมาเป็น YouTuber กันหมด

สุทธิชัย หยุ่น หรือจะสนธิ ก็ยังมาเป็น YouTuber ไหนจะคนทั่วไปทั้งหมอและทุกวงการต่างสร้างรายได้จากช่องทางนี้หมด

ตอนสหรัฐ-เกาหลีเหนือ / สหรัฐ-อิหร่าน ก็พยามเล่นข่าวสงครามโลก  พอมีเรื่อง COVID ทุกคนก็พร้อมใจกันเล่นข่าวนี้เพราะใกล้ตัว คนก็กลัวตายสิครับ

รายงานคนติดเชื้อทุกวัน รายงานคนตาย แต่ไม่รายงานยอดรักษาหาย คนเลยหลอนมาก

แต่แพนิคและการปั่นกระแสก็ดีอย่างครับ คือทำให้คนบ้านเราตื่นตัวและมีวินัยป้องกันโรค ต่างจากคนในยุโรปที่สื่อเขาไม่ปั่นกระแส รายงานตรงไปตรงมา บอกว่าเชื้อมันรักษาหายง่าย ยอดรักษาหายมีรายวันมากกว่ายอดตาย คนก็ติดกระจายกันใหญ่สิครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่