หากเราเดินย้อนไปสู่ความหลังครั้งที่เราไม่ทันเกิด คงเคยพบเห็นสิ่งต่าง ๆ รายล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ...ความบันเทิงทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน
ปี 2513 อาจเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการปฏิวัติวงการบันเทิงและสื่อในเมืองไทย ด้วยเทคนิครวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ ๆ กลวิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ การก่อตัวของบริษัทห้างร้านแห่งใหม่ และการเกิดดาวดวงใหม่มาประดับวงการ สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยชุบชีวิตความบันเทิงให้มีสีสันยิ่งขึ้นและเติบโตอย่างทันทีทันใด
ในปีนั้น วงการโทรทัศน์ได้ให้กำเนิด "ไทยทีวีสีช่อง 3" อันเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มุ่งเสนอรายการหลากหลายรูปแบบออกสู่ผู้ชมทั่วทั้งพระนคร เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มีนาคม นับเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งที่ 4 ของไทยด้วยระบบการออกอากาศเป็นภาพสี จนสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม และช่อง 7 สนามเป้า ได้ปรับระบบภาพสีตามมาเป็นช่อง 9 และช่อง 5 ตามลำดับ
สำหรับช่อง 3 ถือเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งแบบค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นสถานีระดับมหาชนที่ชุมนุมดารานักแสดงและผู้ประกาศข่าวในสังกัดไว้มากที่สุดดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อทุกวัน
ส่วนวงการเพลง ปีนั้นมีศิลปินนักร้องและนักดนตรีผุดขึ้นมากมาย และจะเรียกได้ว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ของเพลงไทยสากล เห็นได้จากวงดนตรีประเภทสตริงคอมโบที่ผ่านเข้าประกวดและตระเวนเล่นดนตรีตามไนท์คลับ ก็มีบางคณะเริ่มมีเพลงใหม่เป็นของตัวเองแล้ว
วงดนตรีที่เกิดใหม่ในขณะนั้นก็ได้แก่ "แกรนด์เอ็กซ์", "รอยัลสไปรท์" แต่ที่เรียกเสียงแห่งการยอมรับได้ดีที่สุดก็คือ "ดิ อิมพอสซิเบิล" จากงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "โทน" ที่โด่งดังในปีนั้น
เมื่อกล่าวถึงภาพยนตร์เรื่อง "โทน" ถือได้ว่าเป็นการบุกเบิกสิ่งใหม่ ๆ แก่วงการหนังไทย โดยเป็นผลงานการกำกับของผู้มีประสบการณ์ทางศิลปะภาพวาดที่ หันเหมาจับกระบวนการผลิตหนังอย่างเต็มความสามารถ นั่นคือ "เปี๊ยก โปสเตอร์" ด้วยระบบ 35 มม. เสียงในฟิล์ม ส่งผลให้หนังเรื่องดังกล่าวทำรายได้อย่างมหาศาล
แต่ในปีนั้นก็มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดและยืนโรงฉายเป็นเวลานานที่สุดในรอบปี นั่นคือเรื่อง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ ทำให้มนต์เสน่ห์แห่งเสียงเพลงและการแต่งกายอันฉูดฉาดของบรรดานักแสดง สามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของคอหนังได้สำเร็จ รวมถึงคู่เอกอย่าง "มิตร ชัยบัญชา-เพชรา เชาวราษฎร์" ที่ยังคงขายความมีชื่อเสียงได้อีกยาว
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันของคนบันเทิงด้วยกันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อ "มิตร ชัยบัญชา" ต้องปิดฉากมายาผู้เป็นมิตรของมวลชน จากการตกจากเฮลิคอปเตอร์ขณะแสดงภาพยนตร์เรื่อง "อินทรีทอง" เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม เรียกว่าเป็นข่าวเศร้าที่สุดในรอบปี ทำให้มีบรรดาแฟนหนังทั่วสารทิศไปร่วมงานศพกันอย่างหนาแน่นเป็นประวัติการณ์
แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะผ่านมาถึงครึ่งศตวรรษ ช่างเป็นช่วงเวลาอันรวดเร็วเหลือเกิน แต่นั่นก็คือจุดหมายใหม่ที่ทำให้โลกบันเทิงอุดมสมบูรณ์ จากยุคที่มีเงินทุนก้อนเล็ก ๆ มาถึงยุคเงินก้อนโต ๆ ตามกาลเวลาและการขยายตัว
เราจึงขอหยิบยกสิ่งบันเทิงที่ผ่านการทำนุบำรุงหรือสิ่งที่ผู้คนส่วนมากรับรู้ เพื่อมาบอกเล่าให้น้อง ๆ ได้ศึกษาเรื่องความหลัง ท่ามกลางวิกฤติโลกที่กำลังเผชิญจนแทบไม่มีเวลาออกสู่ภายนอก...แค่มาร่วมรำลึกและฉลองไปกับภาพเก่า ๆ ในที่ของเราก็ภูมิใจแล้ว
คุณจำอะไรได้บ้าง ยังมีอะไรอีกบ้าง มาบอกกันนะ...สวัสดี.
2513 ปีทองบันเทิงไทย...คุณจำอะไรได้บ้าง?
ปี 2513 อาจเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการปฏิวัติวงการบันเทิงและสื่อในเมืองไทย ด้วยเทคนิครวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ ๆ กลวิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ การก่อตัวของบริษัทห้างร้านแห่งใหม่ และการเกิดดาวดวงใหม่มาประดับวงการ สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยชุบชีวิตความบันเทิงให้มีสีสันยิ่งขึ้นและเติบโตอย่างทันทีทันใด
ในปีนั้น วงการโทรทัศน์ได้ให้กำเนิด "ไทยทีวีสีช่อง 3" อันเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มุ่งเสนอรายการหลากหลายรูปแบบออกสู่ผู้ชมทั่วทั้งพระนคร เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มีนาคม นับเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งที่ 4 ของไทยด้วยระบบการออกอากาศเป็นภาพสี จนสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม และช่อง 7 สนามเป้า ได้ปรับระบบภาพสีตามมาเป็นช่อง 9 และช่อง 5 ตามลำดับ
สำหรับช่อง 3 ถือเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งแบบค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นสถานีระดับมหาชนที่ชุมนุมดารานักแสดงและผู้ประกาศข่าวในสังกัดไว้มากที่สุดดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อทุกวัน
ส่วนวงการเพลง ปีนั้นมีศิลปินนักร้องและนักดนตรีผุดขึ้นมากมาย และจะเรียกได้ว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ของเพลงไทยสากล เห็นได้จากวงดนตรีประเภทสตริงคอมโบที่ผ่านเข้าประกวดและตระเวนเล่นดนตรีตามไนท์คลับ ก็มีบางคณะเริ่มมีเพลงใหม่เป็นของตัวเองแล้ว
วงดนตรีที่เกิดใหม่ในขณะนั้นก็ได้แก่ "แกรนด์เอ็กซ์", "รอยัลสไปรท์" แต่ที่เรียกเสียงแห่งการยอมรับได้ดีที่สุดก็คือ "ดิ อิมพอสซิเบิล" จากงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "โทน" ที่โด่งดังในปีนั้น
เมื่อกล่าวถึงภาพยนตร์เรื่อง "โทน" ถือได้ว่าเป็นการบุกเบิกสิ่งใหม่ ๆ แก่วงการหนังไทย โดยเป็นผลงานการกำกับของผู้มีประสบการณ์ทางศิลปะภาพวาดที่ หันเหมาจับกระบวนการผลิตหนังอย่างเต็มความสามารถ นั่นคือ "เปี๊ยก โปสเตอร์" ด้วยระบบ 35 มม. เสียงในฟิล์ม ส่งผลให้หนังเรื่องดังกล่าวทำรายได้อย่างมหาศาล
แต่ในปีนั้นก็มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดและยืนโรงฉายเป็นเวลานานที่สุดในรอบปี นั่นคือเรื่อง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ ทำให้มนต์เสน่ห์แห่งเสียงเพลงและการแต่งกายอันฉูดฉาดของบรรดานักแสดง สามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของคอหนังได้สำเร็จ รวมถึงคู่เอกอย่าง "มิตร ชัยบัญชา-เพชรา เชาวราษฎร์" ที่ยังคงขายความมีชื่อเสียงได้อีกยาว
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันของคนบันเทิงด้วยกันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อ "มิตร ชัยบัญชา" ต้องปิดฉากมายาผู้เป็นมิตรของมวลชน จากการตกจากเฮลิคอปเตอร์ขณะแสดงภาพยนตร์เรื่อง "อินทรีทอง" เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม เรียกว่าเป็นข่าวเศร้าที่สุดในรอบปี ทำให้มีบรรดาแฟนหนังทั่วสารทิศไปร่วมงานศพกันอย่างหนาแน่นเป็นประวัติการณ์
แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะผ่านมาถึงครึ่งศตวรรษ ช่างเป็นช่วงเวลาอันรวดเร็วเหลือเกิน แต่นั่นก็คือจุดหมายใหม่ที่ทำให้โลกบันเทิงอุดมสมบูรณ์ จากยุคที่มีเงินทุนก้อนเล็ก ๆ มาถึงยุคเงินก้อนโต ๆ ตามกาลเวลาและการขยายตัว
เราจึงขอหยิบยกสิ่งบันเทิงที่ผ่านการทำนุบำรุงหรือสิ่งที่ผู้คนส่วนมากรับรู้ เพื่อมาบอกเล่าให้น้อง ๆ ได้ศึกษาเรื่องความหลัง ท่ามกลางวิกฤติโลกที่กำลังเผชิญจนแทบไม่มีเวลาออกสู่ภายนอก...แค่มาร่วมรำลึกและฉลองไปกับภาพเก่า ๆ ในที่ของเราก็ภูมิใจแล้ว
คุณจำอะไรได้บ้าง ยังมีอะไรอีกบ้าง มาบอกกันนะ...สวัสดี.