สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ได้ติดตามแท็ก เรื่องเล่าสยองขวัญ มาก็มีความรู้สึกว่าอยากจะลองเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวมาเล่าให้ทุกคนฟังบ้าง
ส่วนตัวเราไม่ได้เป็นคนมีเซนส์เห็นพวกผีอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่คนที่อยู่รอบตัวมักจะเจอและก็มีอิทธิพลถึงเราด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าขอเริ่มเล่าเรื่องนี้เลยแล้วกันค่ะ (ป.ล. เราขอสงวนไม่บอกสถานที่และชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องนะคะ เพราะอาจมีผลกระทบหลายอย่างตามมา)
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เรายังเด็ก เด็กที่ว่านี้ก็อยู่ประมาณ ป.3 ได้ พ่อเราเป็นทหารค่ะ ส่วนแม่ก็เป็นผู้ช่วยพยาบาล ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ที่บ้านพักในค่ายทหารที่พ่อเราทำงาน ลักษณะบ้านพักก็จะเป็นห้องแถว 2 ชั้นซึ่งครอบครัวเราอยู่บ้านตรงกลางก็จะอึดอัดหน่อยๆ แต่บ้านที่อยู่ริมสุดจะมีพื้นที่ข้างบ้านเยอะมาก มีทั้งบ่อน้ำและพื้นที่เอาไว้สำหรับปลูกหรือจะทำอะไรก็ได้ค่ะ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน มีพ่อ แม่ พี่สาว แล้วก็เรา ในตอนที่เราอยู่ประมาณ ป.2 ขึ้น ป.3 บ้านริมสุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาสอบเลื่อนขั้นได้เลยได้ย้ายบ้านไปอยู่ในโซนของตำแหน่งที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นยศนั้นค่ะแล้วภรรยาของเขาก็เป็นพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลที่เดียวกันกับแม่เรา ส่วนลูกๆ ของเขาก็สนิทกับเราและพี่สาวเพราะเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ทีนี้พ่อเราเห็นว่าบ้านที่กำลังจะย้ายมีทั้งบ่อปลา ต้นมะม่วงหลายพันธุ์ ต้นกล้วยต่างๆ มากมาย แถมหลังบ้านยังมีการต่อเติมเพิ่มอีก ด้วยความที่บ้านเราและคนที่บ้านนั้นก็รู้จักมักจีกันดีพ่อเราจึงไปคุยเพื่อขอย้ายเข้าบ้านนั้นต่อค่ะ
หลังจากที่พ่อทำเรื่องต่างๆ เสร็จ บ้านเราก็ย้ายเข้าสู่บ้านนั้นด้วยความดีใจ พ่อเอาปลามาลงบ่อ และปลูกผลไม้ข้างบ้านเพิ่มแล้วก็ซ่อมแซมต่อเติมส่วนของหลังบ้านอีกนิดหน่อย แล้วแม่ก็ใช้ส่วนนั้นทำเป็นห้องเย็บผ้า (แม่เรารับจ้างตัดชุดพยาบาลเป็นอาชีพเสริมค่ะ)
ช่วงแรกๆ ของการย้ายเข้าไปอยู่ก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่เรากับพี่ชอบเจอก็คือมักมีผู้หญิงรุ่นๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่บ้านเราแล้วถามหาป้าผู้หญิงที่เคยอาศัยอยู่บ้านนี้เสมอ มาแต่ละวันไม่ซ้ำหน้ากัน พอบอกว่าย้ายไปแล้วเขาก็มองหน้ากันเลิกลักแล้วก็ถามที่อยู่ใหม่ซึ่งเรากับพี่เราก็บอกให้ตลอด
เนื่องจากว่าแม่เราเป็นผู้ช่วยพยาบาลก็เลยต้องมีการเข้าเวร 3 กะ บางทีเข้ากะบ่าย บางทีเข้ากะดึก ส่วนพ่อบางทีก็ไปรับจ้างเข้าเวรในค่าย บางทีก็ไปฝึกที่ต่างจังหวัด ทำให้เรากับพี่สาวต้องอยู่ด้วยกันแค่ 2 คนบ่อยๆ (แต่ชินแล้วเพราะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก) ทีนี้หลังจากที่ย้ายเข้ามาเวลาผ่านไปเกือบปีเรากับพี่สาวมักจะเห็นอะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนั้นค่ะ เป็นต้นว่าเราเห็นคุณตาแก่ๆ นอนมองเรากับพี่สาวเล่นอยู่บนแคร่หลังบ้านบ้าง หรือเห็นอะไรแว่บๆ ผ่านหางตาไปบ้าง แต่เรากับพี่สาวต่างก็ไม่เล่าให้กันฟัง เพราะคิดว่าตาฝาดไปเอง จนมาวันหนึ่งที่เรื่องเชิงนี้มันเริ่มชัดเจนว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อยากให้มี
วันนั้นเรากับพี่สาวเลิกเรียนกลับมาก็แยกย้ายกันไปทำงานบ้าน ในช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว คนที่บ้านทุกคนมักจะเข้าบ้านตรงหลังบ้าน ส่วนหน้าบ้านจะปิดไว้ และหน้าต่างหน้าบ้านก็จะปิดแง้มๆ ไว้ไม่ลงกลอนเผื่อว่าพ่อหรือแม่กลับมาตอนดึกก็จะมาเรียกตรงหน้าต่างให้เราไปเปิดประตูบ้านให้ค่ะ ในตอนนั้นเราเข้าบ้านจากทางหลังบ้านเสร็จก็เปิดไฟแค่เฉพาะโซนหลังบ้านที่ต่อเติม ไฟสมัยก่อนมีแต่เป็นหลอดกลมทังสเตนสีส้มภาพทุกอย่างที่เห็นก็จะเจือจางลงไปตามแสงไฟ เรากวาดบ้านอยู่ตรงโซนหลังบ้านที่ต่อเติมออกมาโดยที่ในบ้านยังไม่ได้เปิดไฟ แสงไฟจากหลังบ้านสาดไปถึงแค่ตรงกลางตัวบ้านซึ่งมีมูลี่ไม้ไผ่กั้นไว้ส่วนหน้าบ้านมีแสงพระอาทิตย์ช่วงโพล้เพล้สาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้รางๆ เราเห็นว่าจานหลังบ้านยังไม่ได้ล้าง(เป็นหน้าที่ของพี่สาวเรา) จึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อตะโกนเรียกพี่ แต่ในจังหวะนั้นเราก็เหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อสีขาวหายวูบเข้าไปหลังมูลี่ไม้ไผ่คล้ายวิ่งหลบสายตาเราเพราะกลัวจะถูกเห็น เราจึงตะโกนเรียกพี่สาวอีกครั้ง ในใจตอนนั้นคิดแต่ว่าพี่เราอู้งานอีกแล้วทำไมไม่ยอมมาช่วยกันทำงานบ้าน แต่เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงขานรับ เราคิดว่าพี่สาวเราต้องแอบนอนอยู่ในบ้านแน่ๆ จึงเดินอ้อมไปด้านหน้าบ้านเพื่อเปิดหน้าต่างที่แง้มไว้ดูจากด้านนอก เราพยายามหรี่ตามองเพราะในบ้านค่อนข้างมืดมีแต่แสงสลัวจากไฟสีส้มหลังบ้านสาดเข้ามาจางๆ เท่านั้น ในขณะที่กำลังโมโหพี่สาวที่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมออกมาก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กร้องไห้ดังแว่วเข้ามา “อุแว้” เรามองซ้ายขวาหาที่มาของเสียง ไม่นานนักก็มีเสียงทักมาจากข้างหลังว่า “ทำอะไรอยู่น่ะ” ใช่ค่ะเป็นเสียงพี่สาวเรา เราหันกลับไปด้วยความประหลาดใจแล้วพบว่าพี่สาวเราเดินมาจากถนนหน้าบ้านพร้อมถุงกับข้าวในมือ
เรา : ไป...ไปไหนมา
พี่สาว : ไปตลาดมา ไปซื้อกับข้าวมาให้กิน
พี่สาวตอบเราพร้อมกับชูถุงกับข้าวในมือให้ดู เราเริ่มหน้าซีดแล้วหันกลับไปมองในบ้านผ่านช่องหน้าต่างอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ความมืดนั้นทำให้เราเข่าอ่อน บรรยากาศสลัวในบ้านชวนขนลุกขึ้นมากระทันหัน
เราถามย้ำพี่สาวอีกทีว่าไปนานแล้วเหรอ พี่เราก็บอกว่าใช่ไปตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเลยยังไม่ได้ล้างจาน ซึ่งบ้านเรากับตลาดอยู่ห่างกันหลายซอยถ้าเดินไปก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ แล้วกว่าจะเลือกซื้อกับข้าวอีก แน่นอนว่าไอ้คนที่อยู่ในบ้านมันไม่มีทางเป็นพี่สาวเราแน่ๆ เราเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟังแล้วก็พากันไปเปิดไฟในบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ คืนนั้นไม่มีใครกล้านอนเลยค่ะ รอจนแม่กลับมาช่วงเที่ยงคืนครึ่งถึงได้เข้านอนกัน เราเล่าให้แม่ฟังแม่ก็ว่าตาฝาดไปเอง หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของทุกคน แต่มันเริ่มมาพีคขึ้นเรื่อยๆ เอาก็ตอนที่พี่สาวเราอยู่ ม.3 แล้วเราก็อยู่ ม.1 ค่ะ
ความลับของบ้านพักหลังนั้น...
หลังจากที่ได้ติดตามแท็ก เรื่องเล่าสยองขวัญ มาก็มีความรู้สึกว่าอยากจะลองเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวมาเล่าให้ทุกคนฟังบ้าง
ส่วนตัวเราไม่ได้เป็นคนมีเซนส์เห็นพวกผีอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่คนที่อยู่รอบตัวมักจะเจอและก็มีอิทธิพลถึงเราด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าขอเริ่มเล่าเรื่องนี้เลยแล้วกันค่ะ (ป.ล. เราขอสงวนไม่บอกสถานที่และชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องนะคะ เพราะอาจมีผลกระทบหลายอย่างตามมา)
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เรายังเด็ก เด็กที่ว่านี้ก็อยู่ประมาณ ป.3 ได้ พ่อเราเป็นทหารค่ะ ส่วนแม่ก็เป็นผู้ช่วยพยาบาล ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ที่บ้านพักในค่ายทหารที่พ่อเราทำงาน ลักษณะบ้านพักก็จะเป็นห้องแถว 2 ชั้นซึ่งครอบครัวเราอยู่บ้านตรงกลางก็จะอึดอัดหน่อยๆ แต่บ้านที่อยู่ริมสุดจะมีพื้นที่ข้างบ้านเยอะมาก มีทั้งบ่อน้ำและพื้นที่เอาไว้สำหรับปลูกหรือจะทำอะไรก็ได้ค่ะ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน มีพ่อ แม่ พี่สาว แล้วก็เรา ในตอนที่เราอยู่ประมาณ ป.2 ขึ้น ป.3 บ้านริมสุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาสอบเลื่อนขั้นได้เลยได้ย้ายบ้านไปอยู่ในโซนของตำแหน่งที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นยศนั้นค่ะแล้วภรรยาของเขาก็เป็นพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลที่เดียวกันกับแม่เรา ส่วนลูกๆ ของเขาก็สนิทกับเราและพี่สาวเพราะเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ทีนี้พ่อเราเห็นว่าบ้านที่กำลังจะย้ายมีทั้งบ่อปลา ต้นมะม่วงหลายพันธุ์ ต้นกล้วยต่างๆ มากมาย แถมหลังบ้านยังมีการต่อเติมเพิ่มอีก ด้วยความที่บ้านเราและคนที่บ้านนั้นก็รู้จักมักจีกันดีพ่อเราจึงไปคุยเพื่อขอย้ายเข้าบ้านนั้นต่อค่ะ
หลังจากที่พ่อทำเรื่องต่างๆ เสร็จ บ้านเราก็ย้ายเข้าสู่บ้านนั้นด้วยความดีใจ พ่อเอาปลามาลงบ่อ และปลูกผลไม้ข้างบ้านเพิ่มแล้วก็ซ่อมแซมต่อเติมส่วนของหลังบ้านอีกนิดหน่อย แล้วแม่ก็ใช้ส่วนนั้นทำเป็นห้องเย็บผ้า (แม่เรารับจ้างตัดชุดพยาบาลเป็นอาชีพเสริมค่ะ)
ช่วงแรกๆ ของการย้ายเข้าไปอยู่ก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่เรากับพี่ชอบเจอก็คือมักมีผู้หญิงรุ่นๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่บ้านเราแล้วถามหาป้าผู้หญิงที่เคยอาศัยอยู่บ้านนี้เสมอ มาแต่ละวันไม่ซ้ำหน้ากัน พอบอกว่าย้ายไปแล้วเขาก็มองหน้ากันเลิกลักแล้วก็ถามที่อยู่ใหม่ซึ่งเรากับพี่เราก็บอกให้ตลอด
เนื่องจากว่าแม่เราเป็นผู้ช่วยพยาบาลก็เลยต้องมีการเข้าเวร 3 กะ บางทีเข้ากะบ่าย บางทีเข้ากะดึก ส่วนพ่อบางทีก็ไปรับจ้างเข้าเวรในค่าย บางทีก็ไปฝึกที่ต่างจังหวัด ทำให้เรากับพี่สาวต้องอยู่ด้วยกันแค่ 2 คนบ่อยๆ (แต่ชินแล้วเพราะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก) ทีนี้หลังจากที่ย้ายเข้ามาเวลาผ่านไปเกือบปีเรากับพี่สาวมักจะเห็นอะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนั้นค่ะ เป็นต้นว่าเราเห็นคุณตาแก่ๆ นอนมองเรากับพี่สาวเล่นอยู่บนแคร่หลังบ้านบ้าง หรือเห็นอะไรแว่บๆ ผ่านหางตาไปบ้าง แต่เรากับพี่สาวต่างก็ไม่เล่าให้กันฟัง เพราะคิดว่าตาฝาดไปเอง จนมาวันหนึ่งที่เรื่องเชิงนี้มันเริ่มชัดเจนว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อยากให้มี
วันนั้นเรากับพี่สาวเลิกเรียนกลับมาก็แยกย้ายกันไปทำงานบ้าน ในช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว คนที่บ้านทุกคนมักจะเข้าบ้านตรงหลังบ้าน ส่วนหน้าบ้านจะปิดไว้ และหน้าต่างหน้าบ้านก็จะปิดแง้มๆ ไว้ไม่ลงกลอนเผื่อว่าพ่อหรือแม่กลับมาตอนดึกก็จะมาเรียกตรงหน้าต่างให้เราไปเปิดประตูบ้านให้ค่ะ ในตอนนั้นเราเข้าบ้านจากทางหลังบ้านเสร็จก็เปิดไฟแค่เฉพาะโซนหลังบ้านที่ต่อเติม ไฟสมัยก่อนมีแต่เป็นหลอดกลมทังสเตนสีส้มภาพทุกอย่างที่เห็นก็จะเจือจางลงไปตามแสงไฟ เรากวาดบ้านอยู่ตรงโซนหลังบ้านที่ต่อเติมออกมาโดยที่ในบ้านยังไม่ได้เปิดไฟ แสงไฟจากหลังบ้านสาดไปถึงแค่ตรงกลางตัวบ้านซึ่งมีมูลี่ไม้ไผ่กั้นไว้ส่วนหน้าบ้านมีแสงพระอาทิตย์ช่วงโพล้เพล้สาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้รางๆ เราเห็นว่าจานหลังบ้านยังไม่ได้ล้าง(เป็นหน้าที่ของพี่สาวเรา) จึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อตะโกนเรียกพี่ แต่ในจังหวะนั้นเราก็เหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อสีขาวหายวูบเข้าไปหลังมูลี่ไม้ไผ่คล้ายวิ่งหลบสายตาเราเพราะกลัวจะถูกเห็น เราจึงตะโกนเรียกพี่สาวอีกครั้ง ในใจตอนนั้นคิดแต่ว่าพี่เราอู้งานอีกแล้วทำไมไม่ยอมมาช่วยกันทำงานบ้าน แต่เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงขานรับ เราคิดว่าพี่สาวเราต้องแอบนอนอยู่ในบ้านแน่ๆ จึงเดินอ้อมไปด้านหน้าบ้านเพื่อเปิดหน้าต่างที่แง้มไว้ดูจากด้านนอก เราพยายามหรี่ตามองเพราะในบ้านค่อนข้างมืดมีแต่แสงสลัวจากไฟสีส้มหลังบ้านสาดเข้ามาจางๆ เท่านั้น ในขณะที่กำลังโมโหพี่สาวที่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมออกมาก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กร้องไห้ดังแว่วเข้ามา “อุแว้” เรามองซ้ายขวาหาที่มาของเสียง ไม่นานนักก็มีเสียงทักมาจากข้างหลังว่า “ทำอะไรอยู่น่ะ” ใช่ค่ะเป็นเสียงพี่สาวเรา เราหันกลับไปด้วยความประหลาดใจแล้วพบว่าพี่สาวเราเดินมาจากถนนหน้าบ้านพร้อมถุงกับข้าวในมือ
เรา : ไป...ไปไหนมา
พี่สาว : ไปตลาดมา ไปซื้อกับข้าวมาให้กิน
พี่สาวตอบเราพร้อมกับชูถุงกับข้าวในมือให้ดู เราเริ่มหน้าซีดแล้วหันกลับไปมองในบ้านผ่านช่องหน้าต่างอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ความมืดนั้นทำให้เราเข่าอ่อน บรรยากาศสลัวในบ้านชวนขนลุกขึ้นมากระทันหัน
เราถามย้ำพี่สาวอีกทีว่าไปนานแล้วเหรอ พี่เราก็บอกว่าใช่ไปตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเลยยังไม่ได้ล้างจาน ซึ่งบ้านเรากับตลาดอยู่ห่างกันหลายซอยถ้าเดินไปก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ แล้วกว่าจะเลือกซื้อกับข้าวอีก แน่นอนว่าไอ้คนที่อยู่ในบ้านมันไม่มีทางเป็นพี่สาวเราแน่ๆ เราเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟังแล้วก็พากันไปเปิดไฟในบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ คืนนั้นไม่มีใครกล้านอนเลยค่ะ รอจนแม่กลับมาช่วงเที่ยงคืนครึ่งถึงได้เข้านอนกัน เราเล่าให้แม่ฟังแม่ก็ว่าตาฝาดไปเอง หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของทุกคน แต่มันเริ่มมาพีคขึ้นเรื่อยๆ เอาก็ตอนที่พี่สาวเราอยู่ ม.3 แล้วเราก็อยู่ ม.1 ค่ะ