จริงๆ น่าออกมารณรงค์ให้คนธรรรมดาที่ซื้อหน้ากากเก็บไว้ออกมาบริจาคให้คนที่ต้องใช้จริงๆ มากกว่า

หน้ากากอนามัย คนไม่ป่วยใส่ ช่วยกันเชื้อไม่ได้นะครับ บางคนบอกกันน้ำลายกระเซ็นใส่ นั่นก็กันไม่ได้ เชื้อถ้ามากับละอองน้ำลาย อยู่ในระยะสัก 6 feet ลมพัดเข้ามา ตามรูต่างๆ หน้ากากที่เราแห่กันใส่ มันกันไม่ได้รูเยอะจนไม่รู้จะเยอะไปไหน ต้อง n95 ขึ้นไป เรื่องนี้ตีแผ่ใน wall street journey เมื่อเร็วๆ นี้เอง

คนที่ใส่คือคนที่มีอาการป่วยนั่นถูกแล้ว และคนที่ต้องมีกลุ่มแรกคือหมอ พยาบาล คนทำงานตรงนี้โดยตรง เพราะคนพวกนี้ป่วย ตาย ไม่ได้

หน้ากากที่เราแห่กันแย่งซื้อ ประโยชน์จริงๆ คือใส่เพื่อความสบายใจ แต่กับหมอ พยาบาล ประโยชน์ไม่ใช่แค่นี้ มันกันสารพัดโรคที่อาจมาติดเค้า มันไม่ใช่แค่โควิท วันนึงๆ เจอไม่รู้กี่โรค ไม่รู่กี่ของเหลวทั้งเลือด น้ำลาย น้ามูก... แล้วตอนนี้เค้าทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ภูมิคุ้มกันก็ต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อไหร่คนพวกนี้เริ่มป่วย นั่นน่ะ ship หายของจริง คนป่วยเยอะแค่ไหนถ้ายังมีหมอ พยาบาลอยู่ เราหายได้ แต่ถ้าหมอ พยาบาลป่วย ไม่มีใครรักษาแล้วนะ

คิดสภาพหมอทำงานหนักมากๆ ตอนผ่าตัดคนไข้อุบัติเหตุเกิดวูบ นั่นน่ะหายนะตามมาเป็นโดมิโน่เลย นี่มีอีกตั้งหลายกรณีที่นึกออก

อันที่จริง ควรรณรงค์ ให้คนธรรมดาที่ซื้อหน้ากากเก็บไว้ ออกมาบริจาคให้คนพวกที่ต้องใช้จริงให้หมดมากกว่า แต่ถามว่าใครจะทำมั่ง พอพูดไปเค้าก็ว่ากลับ

ซึ่งจริงๆ ปัจจัยที่ทำให้คนตาย ความร้อน ภูมิศาสตร์ ความชื้น นิสัยต่างๆ เช่นการสูบบุหรี่ จนตอนนี้ ไม่มีใครฟันธงได้เลยว่าเกิดจากอะไร ย้ำว่ายังไม่มีใครรู้ 100% ไอ้แต่อาศัยการคาดเดา ทุกอย่างจะฟันธงได้เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดจบและเริ่มมีการทำสถิติเวลาตัวเลขมันนิ่งเเล้ว

การป้องกันที่ดีที่สุดคือล้างมือ ไม่จับหน้า ตา ปาก จมูก อยู่ให้ห่างกลุ่มคน แค่นั้นที่ทำได้

เอาจริง จะว่ามันน่ากลัวก็ไม่เชิงนะ มันติดต่อง่ายน่ะใช่ แต่ถ้าติดใช่ว่าจะแสดงอาการ ต่อให้แสดงอาการใช่ว่าจะหนัก ต่อให้หนักก็มียาปกติ หรือด่านสุดท้ายถ้าลงปอดก็มียาต้านไวรัส โอกาสตายรวมๆ ทั้งโลกตอนนี้คือ 3. กว่าๆ % ซึ่งเป็นจำนวนมากนี้เพราะตอนแรกๆ ยังหาทางรับมือไม่ทัน ตอนนี้เริ่มชลอ แต่คนติดจะเริ่มมากขึ้นเป็น % แทน เทียบเป็นสัดส่วนมันเลยดูเหมือนคนตายเยอะขึ้น

บางคนยังมึนอยู่เลยว่าพอมีเชื้อ = ไปนอนรักษาที่โรงบาลทันที ซึ่งหลายประเทศเค้าเล็งเห็นว่าถ้าทุกคนที่มีเชื้อไปร.พ หมด เกิดวิบัติแน่ เค้าเลยออกกฏมาให้คนที่มีอาการไม่มาก เช่นไอนิดหน่อยอยู่บ้าน เพราะมันหายเองได้ (ในกรณีไทยตอนนี้ เราตรวจเองไม่ได้นอกจากไปโรงบาล มันเลยเป็นการเหมารวมๆ ว่ามีอาการ = ไปโรงบาล)

เรื่องนี้พอมีคนไปพูดในโพสหมอเเล็บแพนด้าครั้งนึง โดนคนรุมด่าอีก หาว่าไม่รู้จริง ไวรัสจะลงปอด ต้องฉีดยาต้านนั่นนี่ คืออยากเอามือก่ายหน้าผากมาก ยาต้านฉีดไวรัสนั่นกรณีหนักสุดแล้ว กรณีปกติก็รักษาตามอาการ น้ำมูลไหลกินยาลดน้ำมูก มีไข้กินยาลดไข้ ไม่ต่างกับที่เราซื้อยามากินเองที่บ้านเลย ต่างประเทศเค้าเลยบอกว่าให้รักษาอยู่บ้านได้ ลองไปหาอ่านประกาศดู พอรู้ว่ามีเชื้อ ก็กลับไปบ้าน รักษาตามอาการ ยกเว้นไม่ไหว อาการหนักมากก็มาร.พ รักษาขั้นแอดวานซ์  อีกเดี๋ยวถ้าไทยมีคนติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คงต้องทำแบบเดียวกัน ตอนนี้ร.พ เริ่มมีที่ไม่พอแล้ว

ตอนนี้เรื่องทั้งหมดมันวุ่นวายเพราะความเข้าใจหลายคนที่มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา จริงๆ ถ้ามีคนที่มีอำนาจออกมาอธิบายหลายอย่างให้เคลียร์ไปเลย จะไม่เป็นแบบนี้

ขออันสุดท้าย จะชอบมีคนอ้างว่า ก็เพราะป่วยแล้วไม่แสดงอาการได้ เลยต้องใส่หน้ากากกัน - เจอบ่อยมาก คือ...ถ้าป่วยจริง มีอาการ ไม่มีอาการ มันเป็นพาหะได้ในทุกอากัปกิริยา เชื้อตามโต๊ะ เก้าอี้ ปุ่มกดลิฟท์ ซองมาม่าที่หยิบขึ้นมาดูแล้ววางกลับบนเชลฟ์ เหล่านั้นเป็นพาหะได้หมด ดังนั้นคนไม่ออกอาการไปใส่ ไม่ใช่จะช่วยได้ ค่ามันเท่าเดิม เชื้อพวกนี้ ตามเอกสารทางการแพทย์ล่าสุด ไม่มีคนระบุได้แน่ชัดว่าอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่เฉลี่ยนานสุดที่มีคนทำบันทึกไว้คือ 9 ชั่วโมง ดังนั้นเวลาไปซุปเปอร์ หยิบซองมาม่า รู้ได้ไงว่า 9 ชมก่อนไม่มีคนมีเชื้อไปจับบ้าง

เค้าเก็บหน้ากากไว้ให้คนออกอาการ เพราะอย่างน้อยคนเหล่านี้มีอาการน้ำมูกไหล ไอ จาม ซึ่งมันพ่นเชื้อโดยตรงครับ มันเลยเมกเซนส์ที่จะให้คนเหล่านี้ใส่ ดังนั้นคนที่ซื้อได้ต้องป่วย บางประเทศถ้าจะซื้อ ต้องไปหาหมอยืนยันว่าป่วยจริง ถึงมีสิทธิ์ซื้อ

สิ่งที่เฟอร์เฟกที่สุด คือทุกคนใส่หน้ากากหมด แต่มันทำไม่ได้ในโลกความจริง ทางออกเลยต้องมาเป็นแบบนี้ ตราบใดที่คนไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ ก็แย่งหน้ากากกันต่อไป เราต้องยอมรับความจริงก่อน ว่าที่แห่ซื้อหน้ากากกัน ประโยชน์สูงสุดทำไปเเค่ความสบายใจ และคนอื่นทำฉันเลยต้องทำบ้าง ส่วนประโยชน์จริงๆ มันมีน้อยมาก เทียบกับถ้ามันอยู่ในมือคนที่ต้องใช้จริงๆ เทียบไม่ได้เลย

ตอนนี้ต้องไม่ตระหนกเกินจริง ทำใจไว้เลยว่าวันนึงอาจต้องติดเชื้อ มันเลี่ยงไม่ได้หรอก เลี่ยงยากมาก จะไปฉีดพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อ ทุกที่ที่ย่างเท้าไปเหรอ มันทำไม่ได้ แต่อย่างที่บอก มันรักษาได้ ไม่ใช่เป็นแล้วต้องตายตลอด ใจเย็นๆ ยิ่งมีคนออกมากักตุนอาหาร โพสแบบตกใจว่านั่นนี่มีคนตายอีกแล้ว โพสตามโซเชียลเหล่านี้มันเป็นความกลัว ที่กินความกลัวแล้วขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลามเร็วกว่าไวรัสอีก เป็นไวรัสอีกแบบเหมือน the ring ที่แพร่ไวรัสเวลาดูวิดีโอแบบบใดแบบนั้น น่ากลัวกว่าโควิทอีกไวรัสตัวนี้

และไทยเป็นประเทศที่เล่นโซเชียลมีเดียมากที่สุดในโลก! บวกกับการที่เราขาดผู้นำที่สามารถให้ข้อมูลและชักจูงเรา ให้ความเชื่อมั่นเราไปในทางที่ถูกและเป็นบวก มันเลยออกมารุนแรงขนาดนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่