นี่คือเหตุผลที่ ประเทศไทย ไม่ยอมปิดประเทศเพื่อรับมือโควิด19 ใช่ไหมครับ

ที่มา
เฟสบุ๊ค
Reporter Journey ตามติดชีวิตนักข่าว
ลิงค์
https://www.facebook.com/reporterjourney/photos/a.187089878130012/1394755067363481/?type=3&theater

ทำไมหลายคนอยากปิดประเทศจัง รู้ไหมว่าความหมายของการปิดประเทศคืออะไร?
.
การปิดประเทศที่หลายคนเรียกร้อง และยกประเทศอิตาลีหรือเมืองอู่ฮั่นขึ้นมาเปรียบเทียบ ซึ่งในบริบทเดียวกันจะต้องใช้คำศัพท์คือ "Lockdown" ย้ำว่าใช้คำว่าปิดประเทศ ไม่ใช่ปิดสนามบิน เพราะมีคนบอดว่าผมตีความผิด แต่จริงๆ พวกคนเหล่านั้นบอกปิดประเทศเลย ตามการตั้งโจทย์การเขียนโพสนี้
.
สำหรับความหมายของคำว่า "ปิดประเทศ" แบบที่ยกตัวอย่างดินแดนข้างต้นมา ความหมายของมันคือ ประเทศต้องเข้าสู่ระยะที่ 3 แบบที่ไม่รู้ว่าไปติดเชื้อมาจากใคร หาต้นตอไม่เจอ เกิดการระบาดแบบวันเดียวคนติดเป็นร้อยเป็นพันแบบที่ควบคุมไม่อยู่แล้ว ซึ่งประเทศไทยยังเป็นระยะที่ 2 และพยายามรักษาการยืนระยะที่ 2 ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จนกว่าจะมีวัคซีนรักษา 
.
ซึ่งการเข้าสู่ระยะที่ 3 ในต่างประเทศที่นำไปสู่การปิดเมืองนั้น ไม่ได้มีการจำกัดการเข้าออกที่ท่าอากาศยานเพียงอย่างเดียว แต่มันรวมถึงการปิดสถานที่ต่างๆ ทั้งสถานที่ราชการ ห้างร้าน โรงเรียน หยุดกิจกรรมทางศาสนา ห้ามรวมตัวในที่สาธารณะ และประชาชนต้องกักตัวเองในบ้าน ห้ามเดินทาง ห้ามไปทำงาน ห้ามไปเดินห้าง ห้ามไปร้านยำ ห้ามไปกินชาบู บางพื้นที่อย่างอู่ฮั่นถึงขนาดว่า ห้ามอยู่กับพ่อ แม่ ลูก ผัว เมีย รวมกัน ต้องแยกห้องหรือแยกบ้านอยู่ ห้ามเจอเพื่อน แยกอยู่ แยกกิน แยกใช้ของส่วนตัวทั้งหมด จะไปไหนต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ แจ้งระบุวันเวลาไปกลับ สถานที่จะไป หนึ่งสัปดาห์ออกบ้านได้ครั้งหรือสองครั้ง หรือตามแต่ที่เจ้าหน้าที่อนุญาตเท่านั้น ห้ามใช้รถสาธารณะ ห้ามทุกอย่างที่เป็นการก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของเราออกนอกบริเวณ แบบที่อู่ฮั่นปิดเมือง
.
จงดูการปิดประเทศของอิตาลีเป็นแบบอย่าง เพราะปิดไม่ใช่ปิดการเดินทางของพลเมืองแค่ที่สนามบิน แต่ปิดทุกอย่างเพื่อหยุดการเคลื่อนย้ายคนเพื่อป้องกันโรคกระจายตัว แต่ขนาดทำแล้วก็ยังระบาดหนัก เพราะคนไม่ค่อยทำตาม ที่สำคัญตอนนี้เกิดการจลาจลขึ้นบางพื้นที่ เช่น ในเรือนจำ และการกักตุนสินค้าที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตประชาชนทั้งประเทศ
.
ผลการปิดประเทศแบบอิตาลีหรือสเปนก็เป็นที่ประจักแล้วว่า ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ แถมยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการแพร่ระบาดของคนในประเทศเอง ที่ยังคงไม่รับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม
.
อีกอย่างเมื่อห้ามคนไปไหนมาไหน ธุรกิจ ห้างร้าน ก็ปิดกิจการหมด บางบริษัทที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่มีฐานการเงินที่มั่นคง ก็อาจให้พนักงานทำงานที่บ้านในตำแหน่งที่ทำได้ ส่วนตำแหน่งงานที่ทำไม่ได้ก็อาจจะลดเงินเดือนหรือไม่ก็หยุดงานแบบไม่รับเงินเดือนไป
.
แต่บริษัทหรือกิจการเล็กๆ หรือทุนไม่หนาพอ บางรายก็อาจล้ม ปิดกิจการได้เลย หรือเลิกจ้างคนไปก็มี กระทบทั้งรายได้บริษัทและรายได้ของพนักงาน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
.
มนุษย์เงินเดือน​ พนักงานบริษัทต่างๆ​ นี่แหละคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบก่อนใคร​ เพราะในเมื่อกิจการขาดรายได้​ สิ่งแรกที่บริษัทจะทำคือการตัดรายจ่ายออก​ และ​เงินเดือนพนักงานคือ​ fix​ cost ที่มันไหลออกตลอดเวลาแม้กิจการจะหยุดชะงัก​ ดังนั้นการลดรายจ่ายที่แน่ชัดแบบนี้คือสิ่งที่เอกชนจะตัดทิ้งง่ายที่สุด​ ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนั้น​ การตกงานในสภาวะวิกฤติ​แบบนี้
.
คำถามคือ แล้วคิดว่าคนไทยจะทำได้เหรอ? อยู่ในสภาพนั้นได้เหรอ? ไม่ใช่ปิดประเทศแล้วจะเดินเหินไปไหนได้สะดวกนะ ปิดคือปิด และอยู่ภายใต้คำสั่งหรือกฎระเบียบที่เข้มงวดขั้นสูงสุด ที่หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางอาญาทันทีโดยไม่ต้องรอขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้องให้เสียเวลา เพราะเอาแค่กฎระเบียบทั่วไปเราก็ยังไม่ทำกันไม่ค่อยจะได้เลย นับประสาอะไรจะมาทำตามกฎเหล็กป้องกันโรคระบาด
.
ฉะนั้นไม่ใช่อยากจะปิดก็ปิดได้ เพราะมันมีปัจจัยมากมายที่ค้ำคออยู่ เรายังต้องค้าขาย ทำธุรกิจ ยังต้องส่งออกนำเข้าสินค้า ถ้าจะให้ปิดมันคือการหยุดทุกอย่าง รวมทั้งหยุดไลฟสไตล์ของคุณหรือหยุดเงินในกระเป๋าตังของคุณด้วย
.
ทำไมในอิตาลีถึงเกิดการระบาดหนัก ตรงนี้ผมขออ้างอิงข้อมูลของสำนักข่าว ITV ประเทศอังกฤษที่ได้ปิดเผยข้อมูลระบบสาธารณสุขของประเทศนี้ในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสว่า ตอนนี้จำนวนหมอและพยาบาลในอิตาลีไม่เพียงพออย่างรุนแรง จำนวนเตียงในโรงพยาบาลก็ไม่เพียงพอ และที่สำคัญทั้งประเทศมีเครื่องช่วยหายใจเพียง 3,000 เครื่องเท่านั้น จากผู้ป่วยจำนวนหมื่นกว่าราย และที่น่าสังเวชใจกว่านั้นก็คือ เวลานี้ผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป แพทย์ต้องขอร้องว่าจะไม่สอดท่อช่วยหายใจ เพราะมีจำนวนไม่เพียงพอและเกินกว่ากำลังที่ระบบสาธารณสุขของประเทศจะหาได้ จำนวนผู้เสียชีวิต เลยพุ่งในวันเดียวเกือบ 200 คน
.
และด้วยจำนวนหมอและพยาบาลที่ไม่เพียงพอทำให้ต้องเรียกหมอที่เกษียณอายุกลับมาช่วยรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่อิตาลีเผชิญอยู่ในเวลานี้
.
ที่สำคัญชาวยุโรป มีทัศนคติในการป้องกันตัวเองจากการแพร่ระบาดของไวรัสค่อนข้างต่ำ ในที่นี้หมายถึงสุขอนามัยด้านการกิน อยู่ เดินทาง ตราบใดที่ ชาวตะวันตกยังกินอาหารการหยิบด้วยมือ และไม่ค่อยล้างมือก่อนกิน โอกาสการรับเชื้อมีสูงมาก
.
หน้ากากอนามัย เป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกมองว่าคนป่วยจะต้องใส่เท่านั้น ส่วนคนที่ป่วยไม่รู้ตัวว่าป่วยแล้วก็ไม่ใส่ สุดท้ายการแพร่ระบาดก็ไปติดคนที่ไม่ป่วย มันก็กลายเป็นป่วยไปเรียบร้อย
.
แม้แต่แอลกอฮอล์เจลก็ไม่ใช่สิ่งสามัญที่คนยุโรปใช้ในการพกพาเพื่อล้างมือโดยปราศจากน้ำ โอกาสการติดเชื้อจากการสัมผัสกับสิ่งอื่นๆก่อนที่จะหยิบอาหารเข้าปากมันก็มีสูงกว่าคนเอเชียที่ใช้ช้อนหรือตะเกียบ
.
คนยุโรปอาบน้ำในช่วงฤดูหนาวน้อยมากหรือแม้แต่ฤดูอื่นๆ ก็แทบไม่อาบน้ำ สุขอนามัยในการดูแลรักษาความสะอาดตัวเองยังไม่ดีเท่าคนเอเชีย โดยเฉพาะคนเมืองร้อนแบบไทยที่อาบน้ำกันเช้า - เย็น แล้วมันจะไม่ติดเชื้อกันได้อย่างไรในเมื่อทั้งเนื้อทั้งตัวก็ไม่สะอาด
.
ย้อนกลับมาที่เอเชียอย่าง เกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นที่มีการระบาดหนักไปก่อนหน้านี้ ยังสามารถควบคุมการระบาดได้แล้วในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องปิดประเทศ ประเทศจีนก็ไม่ได้ปิดประเทศ 100% ขนาดว่าเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดของโรค มีแค่การปิดเมืองบางเมืองแบบ 100% เท่านั้นที่มีการระบาดอย่างหนัก และบริหารจัดการระเบียบของคนในเมืองให้เด็ดขาดแทน แต่เมืองอื่นๆ ยังสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ยกเว้นการเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์เท่านั้นที่ห้ามเดินทาง แต่จะต้องขออนุญาตจากทางการก่อนเดินทาง ซึ่งตอนนี้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มในสัดส่วนที่สูงอีกแล้ว และจำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลงรวมทั้งจำนวนของผู้ป่วยก็ค่อยๆ ลดลงด้วยเช่นเดียวกันเพราะสามารถควบคุมการระบาดได้แล้ว ขนาดว่าจีนมีมาตรการที่เข้มงวดยังไม่ปิดประเทศเลย
.
อีกอย่างในเวลานี้การติดเชื้อตอนนี้ในอิตาลีเป็นการติดเชื้อภายในประเทศแล้ว เช่นเดียวกันกับคนไทยติดคนไทยด้วยกัน ซึ่งมาจากคนไทยที่ไปเมืองนอกแล้วกลับมาไม่ยอมกักตัว เปอร์เซ็นต์การติดเชื้อจากต่างชาติน้อยลงมาก เพราะต่างชาติเดินทางเข้าประเทศลดลง โดยเฉพาะจากประเทศกลุ่มเสี่ยงหัวตาราง ที่ประเทศต้นทางเองก็ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หรือแม้แต่เราเองก็ห้ามเขาเข้ามาง่ายๆ ครับ ตอนนี้ต้องยอมรับว่าเราติดจากคนไทยด้วยกันเองแล้ว
.
สุดท้ายมันก็ย้อนกลับมาที่เรื่องของการดูแลตัวเองของประชากรภายในประเทศ ว่าดูแลตัวเองดีมากพอหรือไม่ แล้วเอาตัวเองไปอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ไม่ต้องกลัว ดูแลปฏิบัติตัวเองให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสาธารณสุข แค่นี้ก็ปลอดภัยจากโรคแล้ว หน้ากากที่ใส่แค่หน้ากากผ้าก็ป้องกันได้ตามที่แพทย์แนะนำ ไม่จำเป็นต้องไปพยายามหาซื้อหน้ากากอนามัย ยกเว้นว่าคุณเป็นคนป่วยอันนี้ต้องใส่ แต่ว่าจะไม่ทำเท่านั้นเอง
.
หากอยากทดลองปิดประเทศ งั้นทดลองปิดตัวเองอยู่แต่ในบ้านไม่ไปไหนเลยสัก 1 เดือน ลองดูก่อนสิว่าจะทนได้ไหม?
.
ปล.1 นี่ขนาดเรายันกับไวรัสมาจะ 3 เดือน คนตายแค่ 1 คนป่วยไม่ถึงร้อย ยังอยากให้ทำแบบนี้ สมมุติว่ามีคนป่วยคนตายแบบอิตาลี ไม่ไล่ฆ่ากันเลยเหรอ ตระหนักได้ไม่ใช่ตระหนก เพราะสุดท้ายหากเกิดกระบวนการใดๆ ขึ้น มันกระทบต่อประชาชนทุกคนทั้งนั้น​
.
ปล.2​ เมื่อวานนี้รัฐบาลฟิลิปปินส์สั่งปิดกรุงมะนิลา ห้ามประชากร 12 ล้านเข้า - ออก​ ยาวถึง 14 เม.ย. 63 จำกัดการเดินทางทั้งทางถนน ทางราง ทางเรือ และอากาศยานในประเทศ พร้อมตั้งจุดตรวจสกัดทุกๆ เส้นทางที่เข้าออกเมืองหลวงอย่างเข้มข้น​ สั่งหยุดโรงเรียน​ ห้ามประชาชนรวมกลุ่มทำกิจกรรมทั้งชมหรือเล่นกีฬา สันทนาการ ข้าราชการพนักงานรัฐทำงานจากบ้าน หากใครฝ่าฝืนจะมีโทษทางอาญาทันที​ อีกอย่างตำรวจมะนิลาเวลาจับกุมคือจับจริง ไม่มีประณีประนอม ขัดขืนไม่ทำตามคือยิงจริงๆ ไม่ต้องมาเรียกร้องทำเกินกว่าเหตุ เพราะการขัดขืนเจ้าหน้าที่ถือเป็นภัยร้ายแรง ฉะนั้น จับจริง ยิงจริง เจ็บจริง ตายจริง ครับ
.
ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ปิดประเทศ​ เพราะเมื่อถึงวันที่ต้องทำก็คือต้องทำ​ แต่ชี้ให้เห็นว่ามาตรการ​ปิดประเทศในต่างประเทศที่ทำๆ​ กันไม่ได้ปิดแค่สนามบินแต่มันถูกควบคุมส่วนอื่นๆ​ ของเมืองไว้ด้วย​ และการปิดเมืองปิดประเทศมันคือตัวเลือกที่ต้องทำเมื่อถึงเวลา
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
แต่ละประเทศคงเลือกได้ว่าจะปิดระดับไหน

ปิดสนามบิน
ปิดท่าเรือ
ปิดชายแดน
จะเพิ่มจำกัดพื้นที่
ห้ามออกจากบ้าน
ร้านค้าปิด
ฯลฯ

ไม่ใช่ว่าปิดแล้วต้องเลือกทำทุกอย่างพร้อมกัน

ที่สเปนกับอิตาลี เขาก็มีระยะที่ทำ ไม่ใช่ทำทุกอย่างในคราวเดียว
อเมริกาเริ่มจำกัดเฉพาะกลุ่ม
ปินส์ปิดการเดินทางในประเทศ

จะได้ผลแบบไหนมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้องด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่