[CR] [##REVIEW##] Netflix's Kingdom: Season Two (2020) ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด: ซีซั่นสอง | ซอมบี้การเมือง [มีส้มป่อย]

     ผมพึ่งได้ย้อนดู Kingdom ซีซั่นแรกเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมานี่เองครับ ซึ่งพอดูจบก็คิดว่าเป็นซีรี่ส์อีกเรื่องที่สนุกและเข้มข้นมากๆ และพอดูถึงตอนจบ ผมก็เกิดอาการกระวนกระวายอยู่พักใหญ่เลยเพราะซีซั่นสองกำลังจะมาในวันถัดไป ซึ่งพอถึงวันศุกร์ผมก็รีบเปิดดูเลยครับ ดูตอนบ่ายสาม แล้วก็จบตอนสองทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ ทีแรกก็แอบคิดว่าความสนุกมันจะดรอปลงรึเปล่า แต่พอดูกลับคิดผิดครับ เพราะซีซั่นนี้มันสนุก เข้มข้น และน่าติดตามกว่าซีซั่นแรกเสียอีก
    Kingdom ซีซัน 2 จะดำเนินเรื่องราวต่อจากซีซันแรก โดยเล่าถึงองค์รัชทายาทอีชางที่ยังคงต่อสู้กับกองทัพซอมบี้เพื่อปกป้องประชาชน แต่ก็ได้ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังเมืองฮันยางเพื่อค้นหาต้นตอของ โรคระบาด ในขณะที่โจฮักจูกระหายอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ความขัดแย้งทางการเมืองและการแย่งชิงอำนาจจึงเกิดขึ้น
     ซีซั่นนี้มีความยาว 6 ตอน(เท่ากันกับซีซั่นแรก) หลายคนอาจคิดว่ามันน้อยไป แต่สำหรับผม ผมว่าความยาวประมาณนี้ถือว่าพอเหมาะพอเจาะมากๆ ครับ เพราะมันเล่าเรื่องได้กระชับและน่าติดตามมากถึงมากที่สุด ถ้าพูดในแง่ความมันส์นี่ผมให้สี่ดาวครับ เพราะว่ามันมันส์ได้ใจจริงๆ สมกับที่ลงทุนไปมหาศาล แต่ในแง่ของความเข้มข้นของเรื่องราวนี่ผมให้ห้าดาวเต็มครับ เพราะบทมันเข้มข้นและประเด็นในซีซั่นนี้ค่อนข้างที่จะหนักแน่นและเข้มข้นถึงพริกถึงขิงจริงๆ

++++++++++ถัดจากนี้ไปจะมีการสปอยเรื่องราวของซีซั่นหนึ่งและสอง
หากใครที่ยังไม่เคยดูทั้งสองซีซั่นกระผมแนะนำให้ข้ามไปอ่านสรุปได้เลย++++++++++

     ในซีซั่นแรกนั้น ตัวหนังได้เล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นของโรคระบาดในยุคโชซอน เมื่อเรื่องของโรคระบาดได้แพร่กระจายออกไปจนถึงหูของโจฮักจู อัครมหาเสนาบดีในวัง แต่ว่าข้าหลวงก็ยังเฉยเมยกับโรคระบาดเพราะหิวกระหายในอำนาจการปกครองบ้านเมือง อันเป็นเหตุที่ทำให้อีชาง องค์รัชทายาทของพระราชาต้องออกสืบหาต้นตอของโรคระบาดนี้ด้วยตัวขององค์ชายเอง โดยมีองครักษ์ประจำตัวอย่างมูยองคอยติดตามไปด้วย หลังจากที่ท่านองค์ชายและชาวบ้านได้เตรียมพร้อมรับมือกับผีร้ายอยู่นั้น พวกเขาก็ต้องพบกับความลับอันน่สะพรึงที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน
     พอมาซีซั่นนี้ ตัวหนังก็จะเล่าต่อจากซีซั่นแรกทันที หลังจากที่องค์ชายและชาวบ้านได้รับมือกับผีร้าย พวกเขาก็ต้องหนีตายจากฝูงของพวกมันมาที่เมืองฮันยองเพื่อตั้งหลักใหม่ แต่ทางด้านของโจฮักจูก็ดูเหมือนจะไม่ลดท่าทีว่าจะล้มเลิกการแย่งชิงบัลลังค์เพื่อที่จะรับมือกับโรคระบาดแม้แต่น้อย ทางขององค์รัชทายาทและชาวบ้านจึงต้องหาทางบุกเข้าไปในวังค์เพื่อทวงคืนความสันติสุขคืนมาสู่บ้านเมืองให้ได้
     หลังจากที่ได้ดู Kingdom จบทั้งสองซีซั่น ก็คงสรุปประเด็นของหนังได้คร่าวๆ ประมาณว่า "สิ่งที่กัดกินชาวบ้านหาใช่โรคระบาดไม่ แต่เป็นความเหลื่อมล้ำของการปกครองของทางเบื้องบนที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียมากกว่า"
     ประเด็นหลักและเป็นประเด็นสำคัญของหนังชุดนี้ก็คือ "ความเหลื่อมล้ำของการเมืองและการปกครอง" ซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างแข็งแรงและสามารถต่อยอดมาเป็นเรื่องราวในหนังได้อย่างฉลาดและแยบยลเป็นอย่างมาก โดยหนังสามารถผสมผสานความเป็นหนังดราม่าและหนังสยองขวัญได้อย่างกลมกลืนและกลมกล่อม และก็สามารถเล่าได้เข้มข้นทั้งพาร์ทของซอมบี้ และพาร์ทของการเมือง แต่ส่วนตัวชอบในพาร์ทของการเมืองมากกว่า เพราะหนังเล่าเรื่องในพาร์ทนี้ได้สนุกและน่าติดตาม แต่ขณะเดียวกันในพาร์ทของซอมบี้หนังก็ไม่ได้ทำได้อ่อนพลังแต่อย่างใด เพราะฉากแอคชั่นทุกฉากที่มีการต่อสู้กับซอมบี้ หนังก็ทำได้มันส์และมีอารมณ์ร่วมเป็นอย่างมาก แต่สาเหตุที่ผมชอบพาร์ทของการเมืองมากกว่าแอคชั่นนั้น เพราะมันถูกจริตผมนั่นเอง ไม่ได้เป็นความผิดของพาร์ทซอมบี้แต่อย่างใดเพราะทั้งสองพาร์ทต่างทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจริงๆ
     ในพาร์ทของการเมืองนั้น ขออนุญาติชมการเขียนบทของคิมอึนฮี(มือเขียนบท Signal) และฝีไม้ลายมือการกำกับของคิมซองฮุน(ผกก. A Hard Day และ The Tunnel) ที่สามารถถ่ายทอดสภาพบ้านเมืองยุคที่โรคร้ายกำลังระบาดไปทั่วเมืองได้สมจริงและน่าสลดใจเป็นอย่างมาก หลายฉากที่มีอารมณ์เศร้า สิ้นหวัง และฮึกเหิม ทั้งผกก. และมือเขียนบทได้ทำงานร่วมกันได้อย่างชำนาญเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้พาร์ทนี้มันมีพลังนั่นก็คือการแสดงของเหล่านักแสดงทั้งหลายในเรื่องนี้ื ซึ่งต้องบอกเลยว่านี่คือตัวอย่างของคำว่า "ทีมเวิร์ค" ที่แท้ทรู เพราะการแสดงของทุกคนนั้นทำให้เสน่ห์ของตัวละครเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าทวีเลย จูจีฮุน ในบทของรัชทายาทก็แสดงให้เห็นแล้วว่ากษัตริย์ที่แท้จริงต้องทำอย่างไร, ริวซุงยอง ในบทข้าหลวงก็ทำให้เราเห็นว่าตัวละครนี้บ้าขนาดไหน, คิมฮเยจุน ในบทพระมเหสีก็ร้ายได้น่าตบมาก, แบดูนา ในบทหมอซอบีก็แสดงให้เห็นว่าหน้าที่ของหมอที่ดีต้องทำอย่างไร, คิมซางโฮ ก็เป็นองครักษ์ที่ทำหน้าที่ตัวเองได้ดีที่สุดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต, คิมซองยู ในบทยองชินก็มีพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และจอนซอกโฮ ก็เป็นอีกตัวละครที่พัฒนาขึ้นเช่นกัน เรียกว่าถ้าขาดฝีมือการแสดงของพวกเขาแล้วล่ะก็ Kingdom ก็แทบจะไม่เหลืออะไรให้ชื่นชมแล้วล่ะ
     และที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ "การตีความของตัวละคร" ซึ่งเราจะสามารถแยกประเภทของตัวละครได้ ดังนี้
1. ชนชั้นสูง (รัชทายาทและคนในวัง)
2. ชนชั้นต่ำ (ชาวบ้าน)
3. ปัญหาที่บ้านเมืองพบเจอ (ผีร้าย)
     และเมื่อคนในชนชั้นสูง(องค์รัชทายาท)ยอมลดตัวลงมาเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับปัญหาโรคระบาดที่กำลังแพร่หลาย ก็ถูกกล่าวหา(จากชนชั้นสูง) ว่าเป็นกบฏ นั่นแสดงให้เห็นถึงความต่ำทรามของอำนาจการปกครองบ้านเมืองของผู้นำประเทศ
     และเมื่อมาพิจารณาใหม่ เราก็จะเห็นว่า
ชนชั้นสูง ใช้อำนาจในการแก้ไขปัญหา = ปัญหาเพิ่มขึ้น
ชนชั้นต่ำ ใช้สติปัญญาและพละกำลังในการแก้ไขปัญหา = ปัญหาลดลง
ผีร้าย ไม่มีสิ่งที่กล่าวมาดังข้างต้น = ตัวปัญหา
     นั่นคือข้อพิสูจน์ว่า ทุกตัวละครมีจุดประสงค์ที่ต่างกันอย่างชัดเจนและก็แบ่งพรรคแบ่งพวกตามระดับสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็กระหายไม่แพ้พวกผีดิบข้างนอก แต่ว่า.....
ชนชั้นสูง กระหายอำนาจ
ชนชั้นต่ำ กระหายความยุติธรรมและสันติภาพ
ผีร้าย กระหายเลือดของทั้งสองฝ่าย
     แต่สุดท้าย หนังก็ฉายให้เห็นแล้วว่า การใช้อำนาจอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้แผ่นดินปลอดภัย เพราะถ้าหากคาดวิสัยทัศน์และสติปัญญา บ้านเมืองคงไม่วอดวายขนาดนี้แน่นอน(อีกฉากนึงที่แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันหลักแหลมของคนชนชั้นต่ำ นั่นก็คือฉากอาจารย์ที่กลายเป็นผีร้ายไปแล้ววิ่งเข้ามากัดข้าหลวงคนเดียวทั้งๆ รอบข้างมีคนเป็นร้อย นั่นเพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับพวกผีร้าย เขาคือพวกที่เอาสติปัญญาแก้ไขปัญหาต่างหาก)
     
     ตัวหนังยังใส่สัญลักษณ์แฝงเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่ถูกใจที่สุดก็คงจะเป็น ดาบ อาวุธที่ใช้สู้ผีร้ายของแต่ละคน ซึ่งดาบนั้นมีสองด้าน มีทั้งด้านดีและด้านเสีย เวลาใช้ฆ่าผีร้ายแล้ว มันย่อมมีผลทั้งสองด้าน ด้านดีคือมันช่วยให้ปัญหาหมดไป ส่วนด้านเสียก็คือทำให้ประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมาตาย และที่ประทับใจไม่แพ้กันก็คือการกำจัดผีร้ายโดยตัดที่หัว ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมทุกอย่างบนร่างกาย เช่นเดียวกับการกำจัดกับปัญหาบ้านเมือง ถ้าจะให้ปัญหามันหมดไปเสียที ก็กำจัดมันที่ต้นเหตุเลยละกัน ซึ่งนั่นก็คือองค์ราชา(ที่มาของฉากที่รัชทายาททรงตัดพระเศียรของบิดาตนเอง)
     ตัวหนังนั้นมีบทที่เข้มข้น และมีหลากหลายอารมณ์ให้เราซึมซับ ทั้งเศร้า สิ้นหวัง ฮึกเหิม และรู้สึกโล่ง ฉากแอคชั่นทำได้ยอดเยี่ยมมาก(โดยเฉพาะฉากไคล์แมกซ์) ซึ่งน่าจะทำได้ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาหนังซอมบี้แล้วล่ะ หนังอาจจะมีจุดขัดใจเล็กๆ น้อยๆ เช่นบทที่บางทีอาจจะดูไม่เมคเซ้นต์ไปบ้าง หรือว่าดนตรีบางช่วงดูขัดกับฉากบางฉาก แต่กระนั้นข้อเสียเหล่านี้กลับไม่ได้ทำร้ายตัวหนังแต่อย่างใด เพราะอย่างที่ว่าไปว่าเรื่องราวมันเข้มข้นมากเสียจนกลบจุดที่ว่ามามิดเลย มันเลยไม่ค่อยมีจุดให้ติเสียเท่าไหร่
     สรุปแล้ว Kingdom ซีซั่นสอง ถือเป็นงานภาคต่อที่ทำได้น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง อาจจะเป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ แต่นี่ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ เลยนะครับ หนังอาจจะไม่ได้ดีเลิศเลอมาก(สำหรับบางคน) แต่สำหรับผม ผมรักเรื่องนี้เข้าเต็มข้อเลยครับ มันชอบทุกจุดจริงๆ ดีไม่ดีอาจจะดูอีกรอบก็เป็นได้ เพราะมันชอบจริงๆ

คะแนนเฉลี่ยรวม : 10/10
เรตหนัง : หนังยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาด
ชื่อสินค้า:   Kingdom: Season Two
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

    ข้อมูลเพิ่มเติม

  • - ดูใน Netflix นะจ๊ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่