กรงแขวนนักโทษที่ St. Lambert's Church ใน Münster ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้

Photo: ptwo/Flickr
.
ในช่วงศตวรรษที่ 16
เมือง Münster ถูกปกครองโดย Prince-bishop Franz von Waldeck
เจ้าชายมุขนายก ที่ได้รับเลือกตั้ง
ท่านเป็นบาทหลวงคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
แต่ท่านยอมรับความเชื่อใด ๆ ก็ได้  ตราบเท่าที่ 
ความเชื่อดังกล่าวมีต้นกำเนิดจากศาสนาคริสเตียน
ทัศนคติและความเชื่อที่ชัดเจนแน่นอนของท่าน
แตกต่างกับพวกนิกายเยซูอิตของโรมันคาทอลิกคริสต์สุดโต่ง
(ที่มีนิยามพ่อมดหมอผี  ถ้าถูกจับได้จะถูกฆ่าทิ้ง หรือเผาทั้งเป็น
พร้อมกับยึดทรัพย์สินเป็นของศาสนาคริสต์ แบ่งให้คนนำจับ
เลยเป็นช่องทางทำมาหากินของคนชั่วหลายคน)

ในช่วงปี 1530 เมือง Münster ยอมรับการปฏิรูปทางศาสนา
เพราะ Bernhard Rothmann ผู้นำหัวรุนแรงได้นำชาวบ้าน
เรียกร้องให้มีการเปิดกว้างเรื่องศาสนาคริสต์ให้มากกว่านี้
แต่ Franz von Waldeck ก็ได้รับการสนับสนุนการต่อสู้จากพวกพ่อค้าในเมือง
และเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง
ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างยอมตกลงทำสนธิสัญญา Treaty of Dülmen
โดยให้มีการเปิดกว้างและเปิดเสรีความเชื่อในเรื่องศาสนาคริสต์

ความที่ Prince-bishop Franz von Waldeck มีทัศนะคติที่ดีต่อนักปฏิรูป
ทำให้เมืองนี้กลายเป็นที่ดึงดูดผู้คนทุกประเภท
เพราะทุกคนเขาสามารถฝึกฝนศาสนา/มีความเชื่อศาสนาแตกต่างได้
โดยไม่ต้องถูกคุกคามจากรัฐแบบเมืองอื่น ๆ ในยุโรป
เพราะในยุคนั้นยังมีสงครามศาสนาอย่างรุนแรงมาก
ระหว่างศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก กับ คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์
หรือบางครั้งระหว่างอาณาจักรกับศาสนาคริสต์นิกายใดนิกายหนึ่ง
แบบฆ่าล้างบางเกือบหมดเมืองเลยก็มี
ทำให้ในเวลาต่อมา หลังผ่านการปฏิวัติ/ปฏิรูปหลายครั้ง
ในยุโรปหลายประเทศจึงแยกการเมืองออกจากการศาสนา
เพราะเห็นภัยพิบัติของพวกบ้าคลั่งศาสนาสุดโต่ง

เพราะการเปิดกว้างในเรื่องศาสนาแบบนี้
ทำให้ชาวดัตช์ชื่อ Johan Beukelszoon 
หรือ John of Leiden จากเมือง Leiden
ได้เดินทางมายังเมือง Münster เมื่อทราบข่าวเรื่องนี้ว่า
เมืองนี้เป็นมิตรกับ Anabaptists
(ผู้ยึดถือนิกายโปรแตสแตนท์ จะมีการล้างบาป
ในพิธีเจิมน้ำมนตร์ เมื่อเดิบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเท่านั้น)
ทำให้ผู้สนับสนุน Anabaptism ซึ่งหลายคนที่เชื่อว่า
ชาวโปรเตสแตนต์มีแต่เพียงผู้ใหญ่เท่านั้น
ที่จะสารภาพบาปและมีความเชื่อในพระคริสต์ได้เท่านั้น
และสามารถรับบัพติสมา(ศีลล้างบาป)ได้  ไม่ใช่ทารก
(นิกายโรมันคาทอลิคมีศีลล้างบาปเด็กทารก
และบางแห่งมีการตั้งพ่อแม่อุปถัมภ์/บุญธรรมให้กับเด็กทารก)

รวมทั้ง พวกนี้ยังเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน
และความมั่งคั่งทั้งหมดควรได้รับการแบ่งปันอย่างเท่าเทียมกัน
แต่ผู้นำทางจิตวิญญาณชุดแรกของศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์
ซึ่งได้แก่ Ulrich Zwingli กับ Martin Luther
ยอมรับแนวคิดสุดโต่งของกลุ่ม Anabaptism นี้ไม่ได้
เพราะค่อนข้างโน้มเอียงไปในทางด้านหัวรุนแรง

.
หลังจากที่  John of Leiden เดินทางมาถึงเมือง Münster
ก็เริ่มเผยแพร่ความเชื่อดังกล่าว  ซึ่งได้ความนิยมจากชาวบ้านอย่างแรง
ผู้เชื่อหลายคนต่างอิ่มอกอิ่มใจและหลงใหลไปกับแนวคิดใหม่
หลังจากที่ John of Leiden ใช้เวลาไม่นานนัก
ในการเทศนาในท้องถิ่นหลายแห่งหลายครั้ง
และผลจากการร่วมด้วยช่วยกันจากสานุศิษย์และสาวก
หัวหน้า สานุศิษย์ และสาวก ก็เริ่มจัดตั้งการเทศนา
ประณามคำสอนของคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
และส่งเสริม Anabaptism อย่างกว้างขวาง
ด้วยแผ่นพับโฆษณาชวนเชื่อที่แจกจ่ายไปทั่วภาคเหนือของเยอรมนี

พวก Anabaptists เรียกร้องให้คนจนในภูมิภาค
เข้าร่วมกับประชาชนของเมือง Münster
เพื่อแบ่งปันความมั่งคั่งของเมืองจากคนรวย
และจะได้รับประโยชน์ทางจิตวิญญาณ
โดยการเลือกสรรค์จากสวรรค์ เฉพาะคนเชื่อแนวคิดนี้

ไม่นานนัก John of Leiden ก็ระดมกลุ่มคนคลั่งศาสนากลุ่มใหญ่
ทำการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชาวเมืองจากหน้ามือเป็นหลังมือ
อย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

John of Leiden ให้บัพติศมา(ศีลล้างบาป)หญิงสาวคนหนึ่ง
.
Prince-bishop Franz von Waldeck เจ้าชายมุขนายก 
และสมาชิกสภาเมืองต่างถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง
พร้อมกับแต่งตั้งนายกเทศมนตรีคนใหม่เข้ามาแทนที่
ผู้ที่ไม่เชื่อลัทธิ Anabaptists จะถูกขับไล่ออกจากบ้านและยึดทรัพย์สินทั้งหมด
แล้วพวก Anabaptists ก็จะเข้ามาครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวแทน
ทำให้มีชาวบ้านจากหมู่บ้านรอบ ๆ จำนวนมาก
ต่างนิยมชื่นชอบเป็นพวก Anabaptists
เพราะได้ของฟรียีดทรัพย์สินคนรวยมาแบ่งกัน
แบบหลอกคนจน ปล้นคนรวย แล้วมาแบ่งกัน
วิหารและอารามต่าง ๆ  ต่างถูกทุบทำลายลง
เพราะการเกิดใหม่ของพิธีล้างบาปครั้งใหม่
เงินทองกลายเป็นของผิดกฎหมาย
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะต้องไม่มี
มีการเผาหนังสือทิ้งจำนวนมาก
 
John of Leiden ประกาศตัวเองเป็นหัวหน้า
แล้วแต่งตั้งตนเองให้เป็นราชันย์พร้อมกับมีราชสำนัก
ด้วยการแต่งกายให้เหมือนกับเป็นกษัตริย์
พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น New Jerusalem
แต่ในขณะเดียวกันกับสั่งให้สาวกต้องเปลือยกาย
เพื่อเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าในครั้งที่ 2
(ศาสนาคริสต์เชื่อว่าพระเจ้าจะมาโปรดโลกอีกครั้ง
และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของโลกเช่นกัน
แบบพระศรีอารย์ของคนสยามที่เชื่อกัน)

จากนั้น John of Leiden ก็มีภรรยาหลายคน
โดยมีภริยาถึง 16 คน โดยสั่งว่านี่คือ ราชโองการ
การลงโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดเล็กน้อย
กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญและง่าย ๆ 
ขณะเดียวกันประชาชนก็เริ่มอดอยาก
และเสบียงอาหารต่างลดน้อยถอยลงไปจากเดิมมาก

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านพ้นไปปีเศษ
Prince-bishop Franz von Waldeck  กับพวก
ก็กลับมายึดเมืองคืนจากพวกกบฎได้สำเร็จ
ด้วยความร่วมมือจากกองทัพศาสนาจักรโรมันคาทอลิก
(แบบชนะเป็นราชา  แพ้เป็นชี้ข้า)

แม้ว่าในระหว่างที่ถูกปิดล้อม
John of Leiden ก็สถาปนาตนเป็นผู้เผยพระวจนะ
พร้อมกับมีราชโองการต่าง ๆ มากมายว่า
อาสาสมัครผู้หิวโหยและจงรักภักดี
ถ้ารอดตายจากการถูกปิดล้อมครั้งนี้
จะได้รับรางวัลมากมายทั้งในโลกนี้กับโลกหน้า
พร้อมกับคำขวัญ Gottes macht is myn cracht
พระเจ้ามอบพลังให้กับข้า

ทำนองปลุกใจแบบโศลกมหาภารตยุทธ์
รบเถิด อรชุน หากท่านตายในสนามรบ 
สวรรค์ยังรอท่านอยู่ ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย 
แม้นหากว่าท่านชนะความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ 
ทุกพงพื้นปฐพีรอให้ท่านเข้ามาครอบครอง 

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1536
John of Leiden ถูกจับตัวได้ในห้องใต้ดินที่หลบซ่อน
จากนั้นถูกนำตัวไปขังที่คุกใต้ดิน Dülmen
ก่อนจับกุมตัวกลับมายังเมือง Münster
Bernhard Knipperdolling (นายกเทศมนตรีคนใหม่)
และ Bernhard Krechting ผู้ติดตามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง
ก็ถูกจับกุมตัวมาขังไว้ที่เดียวกัน
ก่อนทำการประหารชีวิตใจกลางตลาดเมือง Münster
ก็มีการทรมานก่อน  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการประจานและข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม
 
นักโทษแต่ละคนจะถูกมัดติดกับเสา
ก่อนที่จะแทงลำตัวด้วยเหล็กแหลม
ตามบริเวณร่างกายจะถูกนาบด้วย
แผ่นเหล็กร้อนเผาจนเป็นสีแดงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง

หลังจากที่ Bernhard Knipperdolling
ทนเห็นการทรมาน John of Leiden
แล้วก็พยายามจะฆ่าตัวตาย
ด้วยปลอกคอที่รัดคอ ด้วยการรั้งคอให้สำลัก
แต่เพชฌฆาตรีบมัดตัวนักโทษกับเสาหลักประหารให้แน่น
เพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษฆ่าตัวตายได้สำเร็จ

จากนั้น ลิ้นของนักโทษแต่ละคนจะถูกดึงออกมาด้วยคีม
ก่อนที่จะนาบด้วยเหล็กร้อนแดงให้เผาไหม้ลิ้นของแต่ละคน
แล้วนักโทษแต่ละคนจะถูกแทงด้วยมีดสั้นเผาไฟแดงเข้าที่หัวใจ
 
ศพทั้งสามคนจะถูกจับมัดและขังอยู่ในกรงขนาดโลงศพจำนวน 3 ใบ
ที่แขวนลงมาจากยอดโบสถ์ St. Lambert's Church 
ทิ้งซากให้เน่าเปื่อยจนเหลือแต่โครงกระดูกกินเวลานานถึง 50 ปี
ก่อนนำกระดูกไปฝังในสถานที่ลับ/สุสานคนอนาถา
ทุกวันนี้ กรงทั้งสามลูกก็ยังแขวนอยู่ ณ ที่เดิม

Photo: rogiro/Flickr
.
มุมมองที่มีต่อ John of Leiden ในการครองเมือง Münster
คือ การตั้งตนเป็นผู้ปกครองที่มีหลายเมีย
ด้วยโองการว่า สตรีใดยังไม่แต่งงานตามหลักศาสนาคริสต์
(ต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีซึ่งกันและกันต่อหน้าผู้สอนศาสนา)
จะต้องยอมรับคำขอแต่งงานของ John of Leiden ทันที
ทำให้ตามประวัติศาตร์ว่ามีภริยาถึง 16 คน
โดยมีรานี Divara van Haarlem เป็นมเหสีหลวง
แต่ Elisabeth Wandscherer ถูกตัดหัวทิ้ง
ข้อหาเป็นกบฏต่อ John of Leiden

แต่เรื่องราวของ John of Leiden จะมีความแตกต่าง
ในหนังสือของ Karl Kautsky  ชื่อเรื่องว่า
ท่านได้บันทึกหมายเหตุที่เห็นใจกลุ่ม Anabaptist ว่า
ภาพลักษณ์กลุ่ม Anabaptist ในเมือง Münster
ส่วนใหญ่แต่งเสริมเติมแต่งจากพวกศัตรูของ Anabaptists
เพราะจริง ๆ แล้วพวก Anabaptists ต่างยอมสละเลือดเนื้อและชีวิต
เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม  ระบอบการเมืองประชาธิปไตย
และการใช้ชีวิตแบบชุมชน(คอมมูน) ในยุคสมัยของ John of Leiden


เรียบเรียง/ที่มา













การแขวนคอประหารชีวิต William Captan Kidd ในกรงเหล็ก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่