ภาพทัณฑ์ทรมานในยุคอดีต

ในช่วงยุคกลางยุโรปศตวรรษที่ 5-15
การทรมานนักโทษให้รับสารภาพก็เพื่อให้ซัดทอดรายชื่อคนที่สมรู้ร่วมคิดให้มากที่สุด
เพื่อป้องกันการก่อการร้าย/ก่อการกบฎในภายหน้า  แบบตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก

แต่เดิมกฎหมาย/ประเพณีท้องถิ่นก็ไม่ได้กำหนดระยะเวลาควบคุมตัวผู้ต้องหา
หรือขอบเขตที่ใช้ในการทรมานผู้ต้องหาเพื่อให้รับสารภาพความผิดแต่อย่างใด
เพราะจริง ๆ แล้ว คนมักจะยอมรับสารภาพผิด
เพื่อไม่ให้ได้รับความทรมานเจ็บปวดอย่างแทบจะไม่มีสิ้นสุด
จากนักทรมานนักโทษที่มีทักษะ/ค่าตัวแพงมากที่สุด
คนที่เป็นที่ยอมรับกันในวงการก็เรื่องฝีมือทรมานนักโทษ
และทักษะในการทำให้นักโทษเจ็บปวดทรมาน/ตายช้าที่สุด
เพื่อให้ซัดทอดคนอื่น ๆ ให้ได้จำนวนคนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในยุคมืดยุโรป  คนพวกนี้จะหากินกับการปราบแม่มด/พ่อมด
เพราะแต่ก่อนคนเรายังโง่งมงายกับเชื่อในศาสนาคริสต์อย่างบ้าคลั่ง
รวมทั้งมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาวบ้าน นักบวชคริสต์โรมันคาทอลิค อำมาตย์
จนกระทั่งต่อมาที่มีการเผยแพร่เอกสาร/หนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิ้ล
ความรู้วิทยาการต่าง ๆ จนคนเริ่มมีความรู้มีจิตสำนึกเลิกงมงาย
ทำให้ยุโรปหลายชาติเลยต้องแยกศาสนาออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด
หลังจากฆ่ากันตายมานานกับความงมงายในเรื่องศาสนา
ในตุรกี มุสตาฟา เคมา ปาชา ก็แยกศาสนาอิสลามออกจากการเมือง
หลังจากขับไล่กาหลิบคนสุดท้ายอาณาจักรออตโตมันไปตายที่เมกกะ

ในยุคอดีตมีวิธีการทรมานที่แตกต่างกัน
แล้วแต่ความพอใจและความต้องการของชนชั้นปกครอง
เช่น เพศ ความรุนแรงของโทษ/อาชญากรรม
และสถานภาพทางชนชั้นของเหยื่อที่ถูกทรมาน



1. ดึงแขนขา




2. ชิงช้า/เปล Judas (ผู้ทรยศต่อพระเยซู)




3. น้ำ น้ำร้อน โลหะเหลว




4. ลาชาวสเปญ/ม้านั่งไม้




5. หลิงชิ Lingchi การเฉือนนับพันครั้งของจีน




6. วัวทองเหลือง Sicilia จับนักโทษยัดใส่แล้วปิดฝา
เผาทั้งเป็นอย่างช้า ๆ ด้วยเปลวไฟ นักโทษจะร้องโหยหวนก่อนตาย




7. ทุกข์ทรมาน 2 ครั้งแบบพระเยซู (เยอรมันนี) จับกดน้ำกับตรึงกางเขนห้อยหัวลง




8. โบยนับพันครั้ง




9. Tytius ตำนานตับงอก(ทุบ/แทงตับ)




10. การสังหารครั้งสุดท้ายของชาวโรมัน




11. การทรมานชนเผ่าพื้นเมืองโดยชาวสเปญ




12. การถลกผิวหนัง




13. Demons ปีศาจทรมานหญิงโสเภณี




14. การย่างทั้งเป็น




15. โทษตัดหัวขั้นร้ายแรง




16. การถลกหนังทั้งเป็น




17. การทรมานในยุคโบราณของเยอรมันนี




18. การลอกผิวหนังออกจากร่างกาย




19. การตัดอวัยวะภายในออกมา




20. ตะขอเกี่ยวเนื้อ




21. การทรมานของ St.Batholomew




22. การสอบปากคำคนนอกรีต




23. การถลกหนัง




24. การทรมานที่อิตาลี




25. การเผาทั้งเป็นในใจกลางชุมชม




เรียบเรียง/ที่มา

http://bit.ly/2F4MfJl




ภาพ/ที่มาสืบค้นจาก Google


26. การกรอกน้ำใส่ปาก  
ญี่ปุ่นจะใช้น้ำมันเบนซีน/น้ำมันก๊าดหรือน้ำผสมสบู่




27. หยดน้ำใส่หัวทีละหยด นักโทษจะเปียกชุ่ม/หนาวสั่น/สติแตกเหมือนเอาค้อนทุบหลังผ่านไปหลายชั่วโมง




28.  การราดน้ำใส่หน้าโดยมีผ้าปิดหน้าไว้ น้ำจะขังในรูจมูก
เชลยจะมีอาการสำลักเหมือนคนใกล้จมน้ำตาย (ภาพจำลอง)




29.  การต้มทั้งเป็นด้วยน้ำร้อนหรือน้ำมันของยุโรป




30.  การต้มทั้งเป็นของญี่ปุ่นจะค่อย ๆ เติมไฟ เติมน้ำ จนค่อย ๆ สุก
เพชรฆาตจะเอาตะเกียบคอยจิ้มดูว่าสุกหรือยัง บางรายทรมานเป็นสัปดาห์กว่าจะตาย




31.  การต้มทั้งเป็น




32. การยิงเป้ากบฏอินเดียโดยทหารอังกฤษ
เริ่มต้นครั้งแรกโดยจักรวรรดิ์โมกุลในอินเดีย(เชื้อสายมองโกล)
ต่อมาโปรตุเกสใช้ในอาณานิคมลังกา บราซิล
ล่าสุดเกาหลีเหนือใช้กับศัตรูทางการเมือง




33. การแต่งงานของสาธารณรัฐฝรั่งเศส  ด้วยการจับฝ่ายกบฏทั้งหญิงชายแก้ผ้ามัดเข้าด้วยกัน แล้วทิ่มแทงให้เดินมุ่งหน้าสู่แม่น้ำ
สตรีบางรายจะถูกทหารข่มขืนก่อน  หลังจากนั้นฝ่ายกบฎทุกคนจะจบชีวิตลงด้วยการโยนลงแม่น้ำทั้งเป็น
สมดังคำทำนายนอตตราดามุส เลือดและการผสมพันธุ์ที่ไม่มีความสุข


เรื่องเดิม  https://pantip.com/topic/35502986  
Vendée War สงครามอัปยศภายในชาติที่ฝรั่งเศสยังไม่ยอมรับจนทุกวันนี้



34. การตรึงไม้กางเขน




35. การฝังทั้งเป็น




36. การปาด้วยก้อนหิน




37. การแทงด้วยหอก




38. การต้มทั้งเป็นในอินเดียโดยพวกนักรบมุสลิม




39. การโบยนักโทษในที่สาธารณะของจีนสมัยก่อนเสียดินแดนให้ฝรั่ง




40. การแล่เนื้อนักโทษจีน




41. ม้าแยกร่าง




42. กรงแขวนนักโทษ/โจรสลัดให้อดข้าวอดน้ำจนตาย
ด้วยการมัดมือมัดเท้าให้แน่นแล้วดึงรอกขึ้นไปแขวนไว้ในที่สูง
ให้ตากแดดตากฝนตากน้ำค้างจนกระทั่งตาย




43. การให้สัตว์ร้ายกัดกิน




44. การเลื่อยทั้งเป็น





หมายเหตุ

ตามกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเป็นหนังสือกฎหมายที่รัชกาลที่ 1
โปรดเกล้าให้รวบรวมกฎหมายโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีมาประมวลไว้ด้วยกัน
ได้กล่าวถึงวิธีการประหารชีวิตและเครื่องมือลงทัณฑ์ 21 อย่าง

แต่ในหนังสือเล่าเรื่อง กรุงสยาม ซึ่งพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์
เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2397 ระบุว่าเหลือโทษ 5 อย่างจากเดิมที่มี 21 อย่างในสมัยรัชกาลที่ 4
คือ ตรวนเหล็กที่คอ กุญแจมือ ตรวนใส่เท้า โซ่ล่ามเอว คาใส่คอ การจองจำ
โทษแบบนี้ได้ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2434 (ร.ศ.110) ในสมัยรัชกาลที่ 5
เพราะสยามเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3-4-5
กับต่างชาติกล่าวหาว่าระบบกฎหมายสยามล้าหลังมากเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
จนต้องมีการร่างกฎหมายลักษณะอาญาขึ้นมาใหม่
ตามด้วยประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กว่าจะยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้ก็หลังการปฏิวัติปี 2475
เริ่มเดินหน้าตั้งแต่ปี 2478-2481 เสร็จสิ้นในรัชกาลที่ 8
โดยมีแกนนำคือ ดร.ปรีดี พนมยงค์

การประหารชีวิตทุบท่อนจันทน์
จะเอาผ้าคลุมศีรษะทุบเข้าที่ทัดดอกไม้ให้ล้มตายลงบนผ้าแพร
ห้ามตีให้เลือดตกยางออกตกต้องบนแผ่นดิน/แผ่นฟ้า
ทั้งนี้ยึดถือตามคติพราหมณ์ว่า  หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์สืบสายมาจากสมมุติเทพ
และศักดิ์สิทธ์ิประดุจท้าวกบิลพรหมพ่อนางสงกรานต์ทั้ง 7 คน
ถ้าเลือดอาบแผ่นดิน แผ่นดินจะลุกไหม้  ถ้าเลือดฉีดขึ้นบนฟ้า ฟ้าฝนจะไม่ตก
ข้าวจะยากหมากจะแพง บ้านเมืองอาณาประชาราษฏร์จะเดือดร้อน  

มีตำนานเล่าว่า เจ้านายพระองค์หนึ่งสอนวิธีตีทัดดอกไม้ด้วยท่อนจันทน์ให้มหาดเล็ก
ภายหลังถูกสำเร็จโทษให้ตายด้วยการตีด้วยท่อนจันทน์
ความที่ลูกศิษย์ประหม่าเลยตีครั้งแรกถูกที่ไม่สำคัญ
ฟื้นสติขึ้นมาได้เลยด่า สอนไม่จำ ตีใหม่

แต่สำหรับไพร่กับราษฏรจะใช้การตัดคอ  ยิงเป้า ฉีดยาพิษ

ในสมัยที่ยังมีราชบาตรสั่งริบทรัพย์สิน
จากเจ้านายเป็นไพร่ จากไพร่เป็นเจ้านาย
ร่องรอยมีในเสภาเรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน
กับมีในหนังสือสมัยพระนารายณ์มหาราช/ราชอาณาจักรสยาม
ที่ เดอ ลาลูแบร์ (เขียน) สันต์ ท. โกมลบุตร (แปล)
เพราะสงสารและเห็นใจลูกหลานเจ้านายที่พ่ายแพ้ในการชิงราชสมบัติ
ถ้าเป็นชายไม่ตายก็ต้องกลายเป็นทาสตะพุ่นช้าง
หาอาหารให้ช้างศึกที่มีกว่า 2,000 เชือกในยุคนั้น
ช้างกินจุด้วยเชือกละ 200 กว่ากิโลกรัมเป็นอย่างต่ำ
ส่วนถ้าเป็นหญิงไม่ตายก็เป็นทาส/นางบำเรอ/นางกำนัลให้กับฝ่ายชนะ

ที่โด่งดังก็ท้าวทองกีบม้า Maria Guyomar de Pinha
ที่ต้องชะตากรรมลำบากต้องเดินขอทานกับลูกชายช่วงหนึ่ง
เพราะถูกราชบาตรของพระเพทราชาริบทรัพย์สิน
เธอคือ เจ้าแม่ตำรับอาหารหวานของไทย ถึง 10 อย่าง
ทองม้วน ทองหยิบ ทองหยอด ทองพลุ ทองโปร่ง ฝอยทอง
กะหรี่ปั๊บ ขนมหม้อแกง สังขยา  ขนมผิง สัมปันนี ขนมขิง ขนมไข่เต่า

มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนว่าเคยไปที่ร้านอาหารในโปรตุเกส
ที่นั่นนำทองหยิบ ทองหยอด มาให้กินพร้อมกับอาหารคาว
แต่ท่านต้องแยกออกต่างหาก นำมากินในภายหลัง
เพราะคนไทยไม่ถนัดมักนิยมกินเป็นของหวาน/ขนม




เมืองไทยในอดีต  ถีบลงเขา เผาถังแดง ที่พัทลุง


ที่มา/ข้อมูล http://bit.ly/2E7OMU1
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่