JJNY : 4in1 ซักฟอกนอกสภา ฉีกหน้ากากIO/พท.เตรียมยื่นถกปมโควิด-19/ครช.เดินเท้าไปรัฐสภาร้องแก้รธน./หอค้าหั่นจีดีพีเหลือ1.1%

'ฝ่ายค้าน' ซักฟอกนอกสภา ฉีกหน้ากาก 'IO' ฟอกขาว ' [เผล่ะจัง] '
https://voicetv.co.th/read/9nSWdge_R
 

 
วิปฝ่ายค้าน ประเดิมเวทีซักฟอกนอกสภาครั้งที่ 1 ชำแหละ IO เป็นการฆาตกรรมมวลชน ฟันธงความเกลียดชัง-แตกแยกถูกสร้างขึ้นโดยรัฐ ชี้ อำนาจ [เผล่ะจัง] มองประชาชนเป็นศัตรู ไม่แคร์สายตาชาวโลก
 
ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน จัดเวทีซักฟอกนอกสภา ครั้งที่ 1 "แฉกระบวนการ IO ฉีกหน้ากากขบวนการเพิ่มความขัดแย้ง" ดำเนินรายการโดยนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ คอลัมน์นิสต์และพิธีกร
 
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานคณะทำงานพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กล่าวในการเปิดงานว่า สังคมไทยได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร ที่เป็นระบบอุปถัมภ์ ระบบพวกพ้อง ที่มองประโยชน์ส่วนตัวมาก่อนในส่วนร่วม และการเปิดซักฟอกรัฐบาลนอกสภาครั้งนี้ ไม่ใช่การ จ้องเล่นงานรัฐบาล แต่ต้องการให้ประชาชนรับรู้ความจริง และฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลที่ผ่านมา สิ่งที่เป็นเรื่องใหญ่ คือการสร้างให้ประชาชนในประเทศมีความเกลียดชัง แตกแยก แบ่งฝ่าย สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีงบประมาณการประชาสัมพันธ์ 2 แสนกว่าล้านบาท, งบฝึกอบรม 8 พันกว่าล้าน, งบความมั่นคง 1 หมื่นกว่าล้านและงบบูรณาการภาคใต้อีกหมื่นกว่าล้านบาท ที่ควรใช้สร้างการสื่อสารที่ดี แต่ได้พบว่า มีการนำงบประมาณหล่านี้ไปสร้างความเกลียดชังและแตกแยก สร้างให้ประชาชนเป็นข้าศึกศัตรู จึงมองว่านอกจากวันนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤติการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย วิกฤตภัยธรรมชาติและไวรัสแล้ว
 
ยังมีอีกวิกฤตหนึ่ง คือ การทำให้ประชาชนแตกความสามัคคี ที่ถือเป็นมหันตภัย เป็นการฆาตกรรมมวลชน 
 
'ภราดร' ชี้ 'IO' ทำขาวเป็นขาวและทำขาวให้เป็นดำ
 
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.และที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าการปฏิบัติการข่าวสาร มี 2 มิติทั้งลบและบวก คือ ให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจข้อมูลให้ตรงความจริง กับ สร้างความเข้าใจผิด หรือ "ทำขาวเป็นขาวและทำขาวให้เป็นดำ" ได้ ซึ่งใช้ในปฏิบัติการทางทหาร ตามตำราสหรัฐอเมริกามุ่งเป้า IO กับต่างชาติ โดย ประเทศที่เจริญแล้ว จะใช้เพื่อบรรลุภารกิจที่อาจสร้างความขัดแย้งเพื่อนำสู่การเจรจาหารือกันได้ ส่วนในอดีตไทยใช้สู้กับภัยคอมมิวนิสต์ แต่วาทกรรมชายชุดดำ หรือ เผาบ้านเผาเมือง ปี 2553 ถูกสร้างขึ้นนั้น ได้ขยายจากความขัดแย้งเป็นความแตกแยก สมัยก่อนมีภัยคอมมิวนิสต์ พล.ท.ภราดร ระบุด้วยว่า การใช้ IO ที่เข้มข้นจนเกิดปัญหา มาจากการให้ทหารคุมหน่วยงานความมั่นคง ที่มาเผชิญหน้าและมองประชาชนเป็นศัตรู และต้นตอจองปัญหา คือ ทหารการเมืองที่มาจากรัฐประหาร ใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจ ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้ตั้งคำถามว่า คณะรัฐประหารเป็นคนดีมีเกียรติยศ จริงหรือเปล่า ที่ก่อรัฐประหารและนำเครื่องมือทางการทหารมาใช้ในทางการเมือง 
 
'วิโรจน์' ซัด รบ.มองการใช้สิทธิของประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย
 
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล (อดีตพรรคอนาคตใหม่) กล่าวว่า ความจริงหรือไม่จริงจาก IO ไม่สำคัญเท่ากับ การสร้างข่าวเท็จมาแล้วคนเชื่อ แต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่สำคัญเท่ากับ ถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้เชื่อไม่เหมือนกัน ซึ่งสังคมต้องตระหนักว่า อยู่ดีๆเราเกลียดกัน แต่เราถูกปลุกปั่นยุยงให้เกลียดกัน
 
พร้อมกับมองว่า กรอบคิดผู้มีอำนาจยังไม่เปลี่ยน และยังขายเฟรนไชส์ให้เอกชนร่วมทำ IO ด้วย อย่างไรก็ตามประชาชนสามารถหาข้อมูลข้อเท็จจริงจากโลกออนไลน์ได้ จึงเท่าทันปฏิบัติการ ได้ระดับหนึ่ง พร้อมฝากถึงผู้มีอำนาจว่า อย่ามองการใช้สิทธิของประชาชนเป็นการก่อการร้าย อย่ามองประชาชนเป็นศัตรู เพราะไม่เกิดประโยชน์กับมวลชนฝ่ายใดทั้งสิ้น
 
พลังปวงชนไทย ย้ำต้องหาแก๊ง 'IO' มาลงโทษ
 
นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ระบุว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงที่เป็นอดีตแกนนำ กปปส.คอยดูแลใกล้ชิด ซึ่งน่ากังวลที่คนไม่กี่คนมาตัดสินและกำหนดว่าข่าวใดเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม โดยเห็นว่า ทหารควบคุมการสื่อสารทั้งวิทยุและโทรมัศน์ เพราะมองการสื่อสารเป็นความมั่นคงของรัฐและความมั่นคงทหาร แต่ไม่ใช่ความมั่นคงของประชาชน ซึ่งบทบาทของ ส.ส.ต้องหาหลักฐานเอาผิดคนทำ เพราะมีความผิดตามกฎหมาย และเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เชื่อว่า เรื่อง IO จะไม่มีโดยเด็ดขาด 
 
รัฐไทยเป็นหนึ่งในประเทศคุกคามประชาชน
 
นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ภาครัฐมีความหวาดระแวงประชาชนอย่างมาก จึงใช้ทุกวิธีเพื่อกำราบประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งเป็นการกระทำของผู้ที่มีความหวาดกลัว จึงใช้วิธีการสกปรก รวมถึง IO ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความเท็จ และสิธีการนี้ถูกมานำมาใช้อย่างมากโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมองว่า แทนที่ฝ่ายความมั่นคงจะเปลี่ยนความกังวลหรือความกลัวมาหาแนวทางป้องกันคุ้มครองสิทธิประชาชน แต่กลับใช้ Cyber attack มาคุกคาม ทั้งที่สุดท้ายแล้วก็ปิดกั้นความจริงไม่ได้ นางอังคณา ยังระบุถึงสายตาชาวโลกผ่านการรายงานของคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติทั้งปี 2561 และ 2562 มีรายงานมากกว่า 52 หน้าทั้ง 2 ฉบับ ระบุชัดเจนว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่คุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้วยสื่อออนไลน์และอื่นๆ ทำให้กลายเป็นผู้ไร้อำนาจเมื่อตกเป็นเหยื่อ และเลขาธิการสหประชาชาติ ยังมีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศของไทยระบุด้วยว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการปฏิบัติที่น่าละอาย ขณะที่สหประชาชาติ เสนอรัฐไทยที่เป็นภาคีด้วยว่า ควรนิยาม "การถูกทำให้ไร้อำนาจ" เมื่อถูกรัฐกล่าวหา รวมถึง นิยาม"ความตั้งใจ" ของผู้ที่ถูกอำนาจรัฐกล่าวหาว่า กระทำผิดให้ชัดเจนด้วย นางอังคณา กล่าวทิ้งท้ายว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องน่าอับอายนี้ กลับเป็นอำนาจรัฐทั้งที่มีหน้าที่คุ้มครอง แต่กลับเยี่ยมสร้างความเกลียดชังและหวาดระแวง ดังนั้น จึงป่วยการที่จะพูดถึงความสมานฉันท์ปรองดอง อย่างไรก็ตามรัฐไทยไม่สามารถปกปิดความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศ และสิ่งที่นานาชาติมองมาที่ไทยได้เพราะแม้ว่าจะพยายามปกปิดประชาชนก็สามารถรับรู้ความจริงทางโซเชียลมีเดียได้อยู่ดี
 
'ตัวแทนเยาวชน' ชี้ IO เป็นกลไกการปราบปรามอุดมการณ์ประชาธิปไตย
 
นายโอมาร์ หนุนอนันต์ เยาวชนคนรุ่นใหม่ โปรดิวเซอร์รายการปั่นประสาท podcast กล่าวว่า การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองปัจจุบัน เป็นทั้งค่านิยมและยุทธวิธีทางการเมือง แต่ในการต่อสู้ทางการเมืองนั้น ความจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าข้อมูลของใครจริงกว่า แต่อยู่ที่ใครมีอำนาจทำให้คนเชื่อได้มากกว่า ขณะที่สังคมประชาธิปไตยนั้น ภาครัฐต้องไม่แทรกแซงสิทธิของประชาชนที่จะเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมั่นว่าประชาชนสามารถวิเคราะห์หาความจริงเองได้ แต่ประเทศไทยเป็นรัฐ [เผล่ะจัง] ที่อ้างชาติตลอดเวลา และไม่เคยมองว่าชาติคือประชาชน ดังนั้น การใช้ I O กับประชาชนจึงสะท้อนว่าอำนาจรัฐมองว่าประชาชนโง่ จึงต้องป้อนความจริงให้ นายโอมาร์ ระบุได้ว่า ตามปกติจะมีกลไกในการควบคุมประชาชน ทั้งความรุนแรงด้วยการปราบปรามและการครอบงำทางอุดมการณ์ ขณะที่ IO ไม่ได้เป็น 1 ใน 2 กลไกนั้น แต่เป็น "กลไกการปราบปรามอุดมการณ์ประชาธิปไตย" คือ ปกครองด้วย การสร้างความเท็จเพื่อผลประโยชน์ในด้านความมั่นคงทางการเมืองของ [เผล่ะจัง] ล้วนๆ โดยส่วนตัวมองว่า ยังมีแนวร่วมมวลชนที่เผยแพร่ทัศนคติที่มีเป้าหมายเดียวกันกับรัฐ ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ ดังนั้น ต้องมองว่า IO ไม่ได้มาจากปฏิบัติการของรัฐเท่านั้น ยังมีเครือข่ายหนุนเสริมนอกอำนาจรัฐตลอดเวลาด้วย และเชื่อว่าทำอะไรคนที่ตื่นตัวทางการเมืองไม่ได้
 

 
'เพื่อไทย' เตรียมยื่นญัตติเปิดประชุมสภาฯ วิสามัญ ถกปมวิกฤติโควิด-19 เล็งเปิดศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ จวกมาตรการรัฐสร้างความสับสน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2049628
 
“เพื่อไทย” เตรียมยื่นญัตติเปิดประชุมสภาฯ วิสามัญ ถกปมวิกฤติโควิด-19 ระบาด พร้อมเล็งเปิดศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์-ติดตามตรวจสอบการแก้ไขปัญหา
 
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคพท. เป็นกรณีพิเศษ เพื่อหารือถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ว่า ส.ส.พท. เห็นวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 หลังการดำเนินของรัฐบาลเรื่องนี้กลับไปกลับมาจนทำให้ประชาชนสับสน ล่าสุดทราบว่ารัฐบาลมีวัตถุประสงค์ที่จะปล่อยให้ผู้ที่ต้องถูกติดามเฝ้าระวัง กลับไปพักฟื้นตามภูมิลำเนา ซึ่ง ส.ส.พรรคพท. เป็นห่วงอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ปัญหาภัยแล้ง และการชุมนุมของนักศึกษาที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.พรรคพท. จึงมีมติร่วมกันว่าจะดำเนินการเสนอญัตติเปิดสมัยประชุมวิสามัญ ของสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 123 เพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของนักศึกษาประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อขอความคิดเห็นจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยจะดำเนินการขอความคิดเห็นจากพรรคร่วมฝ่ายค้านต่อไป
 
ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคพท. กล่าวว่า มาตรการที่กลับไปกลับมาของรัฐบาล ได้สร้างความสับสน และไม่มั่นใจให้กับประชาชน จนกระทบกับเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างมาก ส.ส.พรรคพท. จึงไม่อาจนิ่งดูดาย และได้ลงชื่อร่วมกันเพื่อเสนอให้สภาฯ พิจารณาเปิดประชุมวิสามัญพิจารณาญัตติเร่งด่วนดังกล่าว ทั้งนี้ พรรคพท. มีความห่วงใยอย่างมากทั้งการระบาดในระดับโลก และการระบาดในประเทศไทยที่มีตัวเลขผู้ป่วยสูงขึ้นทุกวัน ซึ่งก็เกรงว่าหากมีการแพร่ระบาดในระยะที่ 3 แล้วรัฐบาลจะรับมืออย่างไร รวมไปถึงปัญหาแรงงานไทย ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ซึ่ง 
ส.ส. ของพรรคได้รับการร้องเรียนจากแรงงานส่วนหนึ่งว่าไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ และเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้วก็มีความสับสนในมาตรการของรัฐทั้งเรื่องการกักกัน มาตรฐานการเฝ้าระวังต่างๆ แม้กระทั่งกรณีการส่งตัวแรงงานกลับภูมิลำเนา จนเกิดความวุ่นวายในพื้นที่ รวมไปถึงการขาดแคลนอุปกรณ์ที่ประชาชนจะใช้ในการดูแลตัวเองโดยเฉพาะหน้ากากอนามัย ซึ่งสะท้อนการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลชุดนี้
 
พรรคพท. จึงมีเรียกร้องดังนี้ 
 
1. ยกระดับการแก้ไขปัญหา ให้มีมาตรฐานสูงขึ้น เพื่อรองรับการระบาดที่เพิ่มขึ้น 
 
2. ให้ปรับปรุงมาตรฐานการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค ทั้งการป้องกันการเผยแพร่เชื้อจากต่างประเทศ และการระบาดภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาสับสนจนเกิดความไม่มั่นใจ และขอเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนการทำงานของนักระบาดวิทยา ให้มีการตั้งศูนย์ในระดับพื้นที่ เขตและจังหวัด ให้มีประสิทธิภาพเพียงพอและมีอำนาจในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะพื้นที่เมืองใหญ่ และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งขอให้ท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการควบคุมการระบาดอย่างจริงจังเพื่อให้การควบคุมมีประสิทธิภาพ 
 
3. แก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยอย่างมีประสิทธิภาพและไร้ทุจริต พร้อมทั้งดำเนินการกับบุคคลที่หาผลประโยชน์จากการทุจริตหน้ากากอนามัย ซึ่งเรื่องนี้ พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค และ คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบต่อไป 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่