การวิเคราะห์ครั้งนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลนะคะ นี่เป็นครั้งแรกที่เอาลงกระทู้ค่ะ ปกติชอบวิเคราะห์ในใจ หรือวิเคราะห์ให้เพื่อนฟัง
เริ่มเลยค่ะ
เปิดตัวด้วยลีอานั่งไขลานตุ๊กตาอยู่ในคฤหาสน์หรือพระราชวังอันหรูหรา แสดงให้เห็นว่าลีอาคือตัวแทนคนที่“ต้องอยู่ในกรอบและกฎเกณฑ์บางอย่าง เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะอันสูงส่งของตนเอง แม้จะไม่ได้เป็นตัวของตัวเองก็ตาม”
การไขลานตุ๊กตา อาจหมายถึง การที่คนอื่นๆคอยชักจูงให้เราเป็นแบบที่พวกเขาพอใจ แต่ไขลานไปมากๆ มันก็ต้องถึงจุดๆหนึ่งที่ไขลานต่อไม่ได้แล้ว และนั่นแหละค่ะ จุดเปลี่ยน
การที่ลีอาเดินอยู่บนโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารและของประดับตกแต่งต่างๆ เปรียบเสมือน การเดินไปในเส้นทางที่คนอื่นๆบอกว่าไม่ควรเดิน หรือ เส้นทางที่มีอุปสรรค สังเกตได้ว่าลีอาจะดูเกร็งๆ เพื่อไม่ให้ไปเตะกับของที่อยู่บนโต๊ะ หรือนี่จะเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง ที่บ่งบอกว่าลีอาจะต้องอยู่ในกรอบจริงๆ
ข้ามมาที่ฉากนี้กันค่ะ ที่บอร์ดข้างหลังจะเห็นกราฟิตี้อักษรสีขาวเขียนด้วยคำ 3 คำว่า
Blah Blah ใช่ค่ะ ~ดาดึล บลา บล๊า~ มันคือคำพูดไร้สาระหรือคำนินทานั่นเอง
ส่วน Complain แปลว่า ติชม หรือบ่นค่ะ และสุดท้าย Typical ที่แปลว่า เป็นแบบอย่าง
ทำไม 3 คำนี้ถึงมาอยู่ด้วยกันละ?
อาจตีความได้ว่า คนอื่นๆมักบอกให้เราปฏิบัติตัวแบบนั้นแบบนี้ อ้างว่าเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี ถ้าไม่ ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นการติเตียน นินทา จากการปฏิบัติตัวที่ต่างออกไปจากต้นแบบ
มาที่แชรยอง ดูเหมือนกำลังนั่งเรียน และถูกล้อมรอบไปด้วยชุดนักเรียน หรือนี่อาจเป็น “กรอบทางการศึกษา” มีด้วยหรอ? มีค่ะ “ตั้งใจเรียนสิ จะได้เรียนสูงๆ จบมามีงานดีๆทำ” เห็นกรอบรึยังคะ? บางทีสิ่งนี้ก็เป็นอีกส่วนนึงที่ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
โดรนที่เห็นอาจเป็นตัวแทนของอุปสรรคและความกลัวที่คอยบินตามหลังเราอยู่ ยิ่งจิตใจมืดมนเท่าไหร่อุปสรรคและความกลัวก็จะยิ่งสว่างมากขึ้น ยิ่งเราเห็นมันเราก็ยิ่งวิ่งหนี จริงมั้ย?
มาที่ยูนากันค่ะ ใน MV ยูนาคือนางแบบที่กำลังจะเดินแบบ และดูค่อนข้างกังวล บวกกับสีแดงสว่างเป็นพื้นหลัง ให้ความรู้สึกที่อันตราย ยูนาอาจกำลังรู้สึกไม่ปลอดภัย จากการไม่เป็นตัวของตัวเอง หลายคนอาจงง แต่อย่าลืมนะคะ นางแบบคือคนที่พรีเซ้นท์เสื้อผ้า อินเนอร์และคาแร็คเตอร์เปลี่ยนไปตามเสื้อผ้าที่ใส่ ความหมายใน MV อาจเล่นประเด็นเปรียบเทียบตรงนี้ค่ะ เสื้อผ้าที่ยูนาต้องใส่ขึ้นรันเวย์ เป็นสัญลักษณ์ของกรอบหนึ่งที่กำหนดให้เราเปลี่ยนเป็นแบบนั้นแบบนี้เรื่อยๆ แล้วไหนล่ะความเป็นตัวเอง? อีกอย่างเสื้อที่ยูนาใส่อยู่ตอนนี้ก็เป็นสีดำ เป็นสีที่ให้ความรู้สึกหดหู่
( การเดินแบบที่ดีบุคลิกจะต้องเปลี่ยนไปตามเสื้อผ้านั้นถูกแล้วนะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีอาชีพ เป็นเพียงการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่ะ)
ต่อไปคือรยูจินค่ะ ตอนแรกก็งงว่าจะสื่อปมอะไร รยูจินดูเศร้าๆเพราะอะไร เฉลยอยู่ในกราฟิตี้บนกำแพงค่ะ มีทั้งคำโกหก หลอกลวง คำซุบซิบนินทา การบูลลี่ มาตรฐานการปฏิบัติตัว และอะไรอีกเยอะมาก ปมของรยูยินใน MV อาจจะมาจากการบูลลี่ การตั้งความหวัง หรือโดนพูดคำพูดแย่ๆใส่ ลองไปดูกันนะคะว่ามีคำว่าอะไรอีกบ้าง
ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตบ้างรึเปล่า? หลังสุดของฉากเห็นรถยนต์คันสีเขียวซึ่งเป็นรถรุ่นเก่า ขับเข้าไปทางขวามือ แต่พอขากลับขับออกมา กลับเป็นรถสีน้ำเงินรุ่นใหม่ หรือนี่คือสัญลักษณ์เล็กๆที่หมายถึงว่า “การเปลี่ยนแปลงนำพาสิ่งที่ดีมาสู่เราเสมอ”
สุดท้ายแล้วปมของทุกคนในที่นี้จะไปหยุดตรงไหน?
บางครั้งการค้นพบความเป็นตัวเอง เราอาจจะต้อง “เผชิญหน้ากับอุปสรรคและความกลัว” เหมือนที่แชรยองเลือกที่จะหันมาเผชิญหน้ากับโดรน แทนที่จะวิ่งหนีมันต่อไปแบบในช่วงแรก การเผชิญหน้ากับความกลัวในจิตใจไม่ใช่สิ่งที่แย่ เหมือนที่โดรนได้ร่วงหล่นลงมาจนหมดในตอนท้าย เปรียบเสมือน เมื่ออุปสรรคและความกลัวหมดไป นอกจากเราจะเข้มแข็งขึ้นแล้ว ยังได้ความเป็นตัวของตัวเองกลับมาด้วย สังเกตได้จากสีหน้า แววตาและท่าทางของแชรยอง ที่มั่นใจและไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่แล้ว
หรือบางครั้งความเป็นตัวเองอาจจะอยู่นอกกรอบ เพียงแต่เราโดนเส้นกรอบกั้นเอาไว้ อาจต้องลอง “ทะลายกรอบนั้นออกมา” เหมือนที่ลีอาพยายามเตะของบนโต๊ะให้ตกลงมาแตก เพื่อที่จะได้เดินสะดวกขึ้น สังเกตจากท่าทางการเดินของลีอาดูผ่อนคลายและสนุกมากขึ้นกว่าตอนแรก อาจหมายถึง ลีอาค้นพบความเป็นตัวเองที่ข้างนอกกรอบแล้วก็ได้
หรือ "การเป็นตัวเอง เราอาจต้องยอมทิ้งอะไรบางอย่าง" ที่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ไม่เข้ากับตัวเอง ไม่ใช่แค่ภายนอกแต่รวมไปถึงภายในจิตใจ เหมือนรยูจินที่เลือกตัดผมของตัวเองออก หรือเหมือนยูนาที่ถอดรองเท้าก่อนขึ้นรันเวย์ ยืนด้วยตัวของตัวเอง มันต้องมั่นคงกว่าอยู่แล้ว
ตอนอยู่บนรันเวย์ สังเกตเห็นนางแบบกางเกงลายทางขาวดำกันมั้ยคะ? นั่นคือนางแบบทั่วไป ที่ทำตามแบบแผนของการทำงาน เปรียบเสมือนการปฏิบัติตัวไปในทิศทางเดียวกันของคนในสังคม เพื่อไม่ให้โดนตำหนิว่าแปลก ใน MV นอกจากยูนาจะถอดรองเท้าแล้ว ยังถอดเสื้อโค้ทสีดำด้านนอกออก แล้วเลือกที่จะใส่เดรสสีเหลือง ซึ่งเป็นสีแห่งความสุข เมื่อยูนาเป็นตัวของตัวเอง ทำให้การเดินแบบดูแตกต่างและน่าสนใจมากขึ้น
ฉากนี้ของรยูจิน กราฟิตี้คำพูดต่างๆขยับอยู่ เปรียบเสมือน คำพูดแย่ๆเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นมาได้ เพราะมีคนคอยพูดพวกมันออกมานั่นเองค่ะ แต่รยูจินไม่สนใจแล้ว เต้นสนุกอย่างเดียว “คำพูดพวกนั้นขอแค่เราไม่สนใจ มันก็ทำอะไรเราไม่ได้”
ต่อมาเจ็บแสบเหมือนกันค่ะ
จากรูป ที่ริมเสาด้านขวา จะเห็นเป็นรูปวาดคนกำลังพ่นคำพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ดูๆไปแล้ว ค่อนข้างเหมือนสุนัขมากกว่า อันนี้ก็ไม่ทราบแน่ว่า จงใจหมายถึง “คำพูดแย่ๆเหล่านั้น ก็เป็นเพียงแค่สุนัขเห่า” รึเปล่า?
คนสุดท้ายคือเยจีค่ะ งานปาร์ตี้ในครั้งนี้ ธีมการแต่งตัวคือชุดที่มีลวดลายและสวมหน้ากาก โดยหน้ากากอาจหมายถึงการปกปิด ซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง บางครั้งต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน เพื่อให้คนในสังคมได้ยอมรับแต่เยจีเป็นตัวแทนของคนที่มีความมั่นใจ เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรก เลือกที่จะเป็นตัวเอง ไม่ต้องเหมือนใคร
และในตอนท้ายๆของทุกคน ต่างคนต่างมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเลือก การเป็นตัวของตัวเองมันมีความสุขที่สุดแล้ว
การวิเคราะห์ของเรา จบเท่านี้ค่ะ ใครวิเคราะห์ได้แบบไหน มาเล่าให้ฟังกันนะคะ
สุดท้ายนี้ อย่าลืมนะคะ
I don’t wanna be somebody
Just wanna be me
“ฉันไม่อยากเป็นใคร แค่อยากเป็นตัวเอง”
วิเคราะห์ MV “WANNABE” ITZY ตามความคิดของเราค่ะ
เริ่มเลยค่ะ
เปิดตัวด้วยลีอานั่งไขลานตุ๊กตาอยู่ในคฤหาสน์หรือพระราชวังอันหรูหรา แสดงให้เห็นว่าลีอาคือตัวแทนคนที่“ต้องอยู่ในกรอบและกฎเกณฑ์บางอย่าง เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะอันสูงส่งของตนเอง แม้จะไม่ได้เป็นตัวของตัวเองก็ตาม”
การไขลานตุ๊กตา อาจหมายถึง การที่คนอื่นๆคอยชักจูงให้เราเป็นแบบที่พวกเขาพอใจ แต่ไขลานไปมากๆ มันก็ต้องถึงจุดๆหนึ่งที่ไขลานต่อไม่ได้แล้ว และนั่นแหละค่ะ จุดเปลี่ยน
การที่ลีอาเดินอยู่บนโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารและของประดับตกแต่งต่างๆ เปรียบเสมือน การเดินไปในเส้นทางที่คนอื่นๆบอกว่าไม่ควรเดิน หรือ เส้นทางที่มีอุปสรรค สังเกตได้ว่าลีอาจะดูเกร็งๆ เพื่อไม่ให้ไปเตะกับของที่อยู่บนโต๊ะ หรือนี่จะเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง ที่บ่งบอกว่าลีอาจะต้องอยู่ในกรอบจริงๆ
ข้ามมาที่ฉากนี้กันค่ะ ที่บอร์ดข้างหลังจะเห็นกราฟิตี้อักษรสีขาวเขียนด้วยคำ 3 คำว่า
Blah Blah ใช่ค่ะ ~ดาดึล บลา บล๊า~ มันคือคำพูดไร้สาระหรือคำนินทานั่นเอง
ส่วน Complain แปลว่า ติชม หรือบ่นค่ะ และสุดท้าย Typical ที่แปลว่า เป็นแบบอย่าง
ทำไม 3 คำนี้ถึงมาอยู่ด้วยกันละ?
อาจตีความได้ว่า คนอื่นๆมักบอกให้เราปฏิบัติตัวแบบนั้นแบบนี้ อ้างว่าเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี ถ้าไม่ ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นการติเตียน นินทา จากการปฏิบัติตัวที่ต่างออกไปจากต้นแบบ
มาที่แชรยอง ดูเหมือนกำลังนั่งเรียน และถูกล้อมรอบไปด้วยชุดนักเรียน หรือนี่อาจเป็น “กรอบทางการศึกษา” มีด้วยหรอ? มีค่ะ “ตั้งใจเรียนสิ จะได้เรียนสูงๆ จบมามีงานดีๆทำ” เห็นกรอบรึยังคะ? บางทีสิ่งนี้ก็เป็นอีกส่วนนึงที่ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
โดรนที่เห็นอาจเป็นตัวแทนของอุปสรรคและความกลัวที่คอยบินตามหลังเราอยู่ ยิ่งจิตใจมืดมนเท่าไหร่อุปสรรคและความกลัวก็จะยิ่งสว่างมากขึ้น ยิ่งเราเห็นมันเราก็ยิ่งวิ่งหนี จริงมั้ย?
มาที่ยูนากันค่ะ ใน MV ยูนาคือนางแบบที่กำลังจะเดินแบบ และดูค่อนข้างกังวล บวกกับสีแดงสว่างเป็นพื้นหลัง ให้ความรู้สึกที่อันตราย ยูนาอาจกำลังรู้สึกไม่ปลอดภัย จากการไม่เป็นตัวของตัวเอง หลายคนอาจงง แต่อย่าลืมนะคะ นางแบบคือคนที่พรีเซ้นท์เสื้อผ้า อินเนอร์และคาแร็คเตอร์เปลี่ยนไปตามเสื้อผ้าที่ใส่ ความหมายใน MV อาจเล่นประเด็นเปรียบเทียบตรงนี้ค่ะ เสื้อผ้าที่ยูนาต้องใส่ขึ้นรันเวย์ เป็นสัญลักษณ์ของกรอบหนึ่งที่กำหนดให้เราเปลี่ยนเป็นแบบนั้นแบบนี้เรื่อยๆ แล้วไหนล่ะความเป็นตัวเอง? อีกอย่างเสื้อที่ยูนาใส่อยู่ตอนนี้ก็เป็นสีดำ เป็นสีที่ให้ความรู้สึกหดหู่
( การเดินแบบที่ดีบุคลิกจะต้องเปลี่ยนไปตามเสื้อผ้านั้นถูกแล้วนะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีอาชีพ เป็นเพียงการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่ะ)
ต่อไปคือรยูจินค่ะ ตอนแรกก็งงว่าจะสื่อปมอะไร รยูจินดูเศร้าๆเพราะอะไร เฉลยอยู่ในกราฟิตี้บนกำแพงค่ะ มีทั้งคำโกหก หลอกลวง คำซุบซิบนินทา การบูลลี่ มาตรฐานการปฏิบัติตัว และอะไรอีกเยอะมาก ปมของรยูยินใน MV อาจจะมาจากการบูลลี่ การตั้งความหวัง หรือโดนพูดคำพูดแย่ๆใส่ ลองไปดูกันนะคะว่ามีคำว่าอะไรอีกบ้าง
ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตบ้างรึเปล่า? หลังสุดของฉากเห็นรถยนต์คันสีเขียวซึ่งเป็นรถรุ่นเก่า ขับเข้าไปทางขวามือ แต่พอขากลับขับออกมา กลับเป็นรถสีน้ำเงินรุ่นใหม่ หรือนี่คือสัญลักษณ์เล็กๆที่หมายถึงว่า “การเปลี่ยนแปลงนำพาสิ่งที่ดีมาสู่เราเสมอ”
สุดท้ายแล้วปมของทุกคนในที่นี้จะไปหยุดตรงไหน?
บางครั้งการค้นพบความเป็นตัวเอง เราอาจจะต้อง “เผชิญหน้ากับอุปสรรคและความกลัว” เหมือนที่แชรยองเลือกที่จะหันมาเผชิญหน้ากับโดรน แทนที่จะวิ่งหนีมันต่อไปแบบในช่วงแรก การเผชิญหน้ากับความกลัวในจิตใจไม่ใช่สิ่งที่แย่ เหมือนที่โดรนได้ร่วงหล่นลงมาจนหมดในตอนท้าย เปรียบเสมือน เมื่ออุปสรรคและความกลัวหมดไป นอกจากเราจะเข้มแข็งขึ้นแล้ว ยังได้ความเป็นตัวของตัวเองกลับมาด้วย สังเกตได้จากสีหน้า แววตาและท่าทางของแชรยอง ที่มั่นใจและไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่แล้ว
หรือบางครั้งความเป็นตัวเองอาจจะอยู่นอกกรอบ เพียงแต่เราโดนเส้นกรอบกั้นเอาไว้ อาจต้องลอง “ทะลายกรอบนั้นออกมา” เหมือนที่ลีอาพยายามเตะของบนโต๊ะให้ตกลงมาแตก เพื่อที่จะได้เดินสะดวกขึ้น สังเกตจากท่าทางการเดินของลีอาดูผ่อนคลายและสนุกมากขึ้นกว่าตอนแรก อาจหมายถึง ลีอาค้นพบความเป็นตัวเองที่ข้างนอกกรอบแล้วก็ได้
หรือ "การเป็นตัวเอง เราอาจต้องยอมทิ้งอะไรบางอย่าง" ที่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ไม่เข้ากับตัวเอง ไม่ใช่แค่ภายนอกแต่รวมไปถึงภายในจิตใจ เหมือนรยูจินที่เลือกตัดผมของตัวเองออก หรือเหมือนยูนาที่ถอดรองเท้าก่อนขึ้นรันเวย์ ยืนด้วยตัวของตัวเอง มันต้องมั่นคงกว่าอยู่แล้ว
ตอนอยู่บนรันเวย์ สังเกตเห็นนางแบบกางเกงลายทางขาวดำกันมั้ยคะ? นั่นคือนางแบบทั่วไป ที่ทำตามแบบแผนของการทำงาน เปรียบเสมือนการปฏิบัติตัวไปในทิศทางเดียวกันของคนในสังคม เพื่อไม่ให้โดนตำหนิว่าแปลก ใน MV นอกจากยูนาจะถอดรองเท้าแล้ว ยังถอดเสื้อโค้ทสีดำด้านนอกออก แล้วเลือกที่จะใส่เดรสสีเหลือง ซึ่งเป็นสีแห่งความสุข เมื่อยูนาเป็นตัวของตัวเอง ทำให้การเดินแบบดูแตกต่างและน่าสนใจมากขึ้น
ฉากนี้ของรยูจิน กราฟิตี้คำพูดต่างๆขยับอยู่ เปรียบเสมือน คำพูดแย่ๆเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นมาได้ เพราะมีคนคอยพูดพวกมันออกมานั่นเองค่ะ แต่รยูจินไม่สนใจแล้ว เต้นสนุกอย่างเดียว “คำพูดพวกนั้นขอแค่เราไม่สนใจ มันก็ทำอะไรเราไม่ได้”
ต่อมาเจ็บแสบเหมือนกันค่ะ
จากรูป ที่ริมเสาด้านขวา จะเห็นเป็นรูปวาดคนกำลังพ่นคำพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ดูๆไปแล้ว ค่อนข้างเหมือนสุนัขมากกว่า อันนี้ก็ไม่ทราบแน่ว่า จงใจหมายถึง “คำพูดแย่ๆเหล่านั้น ก็เป็นเพียงแค่สุนัขเห่า” รึเปล่า?
คนสุดท้ายคือเยจีค่ะ งานปาร์ตี้ในครั้งนี้ ธีมการแต่งตัวคือชุดที่มีลวดลายและสวมหน้ากาก โดยหน้ากากอาจหมายถึงการปกปิด ซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง บางครั้งต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน เพื่อให้คนในสังคมได้ยอมรับแต่เยจีเป็นตัวแทนของคนที่มีความมั่นใจ เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรก เลือกที่จะเป็นตัวเอง ไม่ต้องเหมือนใคร
และในตอนท้ายๆของทุกคน ต่างคนต่างมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเลือก การเป็นตัวของตัวเองมันมีความสุขที่สุดแล้ว
การวิเคราะห์ของเรา จบเท่านี้ค่ะ ใครวิเคราะห์ได้แบบไหน มาเล่าให้ฟังกันนะคะ
สุดท้ายนี้ อย่าลืมนะคะ
I don’t wanna be somebody
Just wanna be me
“ฉันไม่อยากเป็นใคร แค่อยากเป็นตัวเอง”