เรียนสมช พันทิพ และผู้ประกอบการ SME ทุกท่าน
ผม ธนัท ที่ปรึกษาและผู้ชำนาญการด้าน E-Commerce และ Omni Channel ขอนำเสนอบทความแนวทางการจัดการช่องทางการขายสินค้าและบริการ บทความนี้เหมาะกับผู้ประกอบการที่ขายในช่องทาง Offline และพึ่งเริ่มการขายผ่าน Online เป็นการแนะนำแนวทางการบริหารงาน ทีมงาน ตัวชี้วัด และเทคนิคอื่นๆ ที่ผสมผสานระหว่าง Digital Marketing and Sales.
ขอเริ่มจากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้าน Business Transformation to new digital ERA บริษัทนำเข้าอุปกรณ์เสริมความงามและสินค้า FMCG Oral care ที่มีเคาเตอร์สินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือที่เราเรียกว่า การขายสินค้าแบบ Offline และการดำเนินการขายสินค้าทาง Online ทุกช่องทางที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เสริมความงามและสินค้า Oral Care จากยอดขายในปี 2560 700 ล้านบาท เติบโตในปี 2562 1,200 ล้านบาทจากการผสมผสานการขาย Offline และ Online ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ก่อนจะเล่าประสบการณ์ดังกล่าว ขอเกร่นเล่าประวัติส่วนตัวนิด คือ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ดูแลทางคุณภาพสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิคและสินค้าทาง FMCG มาโดยตลอด และได้มีโอกาสเป็นผู้บริหารระดับสูงและสนใจทาง Marketing and Sales สำหรับ Digital transformation เป็นพิเศษ และได้มีโอกาสให้คำปรึกษา SMEs ในอุสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มกระป๋อง (FMCG) ส่วนธุรกิจค้าปลีก 30-40 กิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
พบว่า การที่กิจการพยายามจะสร้างการตลาดเชิง Digital เช่น มีทีมงานที่ขายของทาง Facebook , Shopee ,Lazada , IG , JD Central แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ยอดขายเพิ่มขึ้น บางครั้งลดลง โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่พยายามทำตาม Digital Marketing principle เช่น การทำ SEO , Google Analytics , Boost Social media เช่น FB Page & IG , ซื้อโฆษณาตามช่องทางต่างๆ แต่ยอดขายไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เกิดความสับสนระหว่างราคาขายที่ตั้งขายผ่าน Online กับ Offline ที่มีราคาที่สูงกว่า เนื่องจากขาดการเชื่อมโยงระหว่าง 2 ช่องทางดังกล่าว หรือผู้บริหารเริ่มตัดงบประมาณการทำการตลาด Digital เพราะไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างงบประมาณทางการขายและการตลาด กับยอดขายที่ลดลงได้ (สวนทางกัน) และเริ่มตามช่องทางการขายไม่ทัน โดยพบว่ามีช่องทางใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น Konvy , We Mall และช่องทางการส่งออกขายต่างประเทศผ่าน Global E-Commerce เช่น Alibaba, Amazon ซึ่งผู้บริหารต้องการให้เข้าร่วม แต่ทำไม่ทัน ทีมงานเรียนรู้ไม่ทันกาล ไม่เข้าใจการบริหาร Platform ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกัน เป็นต้น
และยังมีความกังวลต่อ การขายสินค้าทางช่องทาง Offline ในช่องทางปรกติ การขายสินค้าผ่านช่องทางการค้าปลีกหลัก เช่นนำสินค้าไปวางตามช่องทาง
1. ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) วางสินค้าตามร้านค้าต่างจังหวัด ในอำเภอเมือง ตามร้านค้าดั่งเดิม
2. ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) แบ่งออกเป็น
แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทหลักๆ คือ
1. ห้างสรรพสินค้า (Department Store) เช่น เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์
2. ดิสเคาน์สโตร์ (Hypermarket/ Cash and Carry) เช่น เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร
3. ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) เช่น ท็อปส์, วิลล่า มาร์เก็ท, ฟู้ดแลนด์
4. ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Stores) เช่น 7-11, แฟมิลี่มาร์ท, ลอว์สัน 108
5. ร้านค้าปลีกขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Store) เช่น วัตสัน, บู๊ทส์, ซูเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, ออฟฟิศเมท, บีทูเอส, ซีเอ็ด
ทำให้เกิดความกังวลการดูแลในแต่ละช่องทางการขาย ไม่ทั่วถึง ส่งผลให้ยอดขายตกลง ตาม Campaign ในแต่ละห้างไม่ทัน ผู้บริโภคซื้อสินค้าแต่ละช่องทางไม่เท่ากัน ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าผู้บริโภคว่าชอบสินค้าอะไร ทำการตลาด โปรโมชั่นการขายในแต่ละเดือนเป็นอย่างไร งบประมาณมีเท่าไร ควรจัดสรรเข้าไปในช่องทางใด จำเป็นต้องแยกกิจกรรมทางการตลาดและการขายหรือไม่ เมื่อทีมงานขายและการตลาด ถูกคำสั่งจากห้างให้เข้าร่วม Campaign โดยการลดราคาอาจเป็นแบบ ซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อชิ้นแรกราคาเต็มชิ้นถัดไปราคา 1 บาท หรือ จัดมหกรรมออกบู๊ทลดราคา จะคุ้มค่าไหม มีกำไรไหม คิดอย่างไร เข้าร่วม Campaign แล้วจะขาดทุนไหม ทำไป ผู้จัดการจะเห็นด้วยไหม เป็นต้น
ปัญหาอื่นๆ เช่น พนักงานขายของหน้าร้านหรือพนักงานแนะนำสินค้า (PC : Personal Consultant) ซึ่งปรกติจะต้องทำการแนะนำวิธีการใช้สินค้า โดยผ่านการสาธิต ให้ลูกค้าทดลองลงมือทำเอง พบปัญหาว่าลูกค้าสอบถามสินค้าทดลองแล้ว ตรวจสอบราคาพอใจซื้อ ซึ่งถ้าขายหน้าร้านได้ จะได้ค่าคอมมิชชั่น แต่ไม่สามารถปิดการขายได้ เพราะลูกค้าตรวจสอบราคาสินค้าทางออนไลน์ พบว่าถูกกว่า กดสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ ที่หน้าร้าน ทำให้พนักงานเสียโอกาสการขายและต้นทุนขายหน้าร้านสูงมากเนื่องจากเสียค่าเช่าพึ้นที่ ค่าวางสินค้า ค่าจัดทำคีออส ต่างๆ ค่าบริการการเงินต่างๆ ค่าพนักงานขาย รวมถึงค่าสินค้าสาธิต อีกมากมายซึ่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายการเปิดร้านค้าออนไลน์จะถูกกว่ามาก จึงทำให้ราคาสินค้าสามารถแข่งขันได้ แต่เมื่อทางบริษัทมีนโยบายทำการตลาดและการขายซึ่งต้องคงไว้ในการมีร้านค้า OffLine ร่วมกับการทำการตลาด การสร้างแบรนด์และการขายในยุคที่ออนไลน์เฟื่องฟู ทำให้การผสมผสานช่องทางทั้งสอง ควรจะสอดรับกัน ไปในทิศทางเดียวกันเราจึงเรียกการผสมผสานทั้งสองช่องทางว่า Omni Channel
จากปัญหาดังกล่าวที่เกิดจากช่องทางการขาย Online และ Offline ไม่สัมพันธ์กัน ดังนั้น จึงขอแยกแนวทางการบริหารงาน โดยพิจารณาดังนี้
1. ช่องทางการขาย Online สิ่งที่จำเป็นลำดับแรกคือ ทีมงาน E-Commerce ในองค์กร
- ทีมงาน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เครื่องมือ e-commerce ต่างๆ เช่น Applications ทั้ง Android/ios Social Media รวมถึงเครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น Alipay, Airpay wallet ราวกับออกแบบคนรุ่นใหม่ หมายถึงคนที่เกิดหลังจากปี พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา นั่นคือคนกลุ่ม Gen Z กลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว สามารถใช้งาน Applications ได้รวดเร็ว นิยมซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ ใช้สังคมออนไลน์เป็นประจำ ชอบหาข้อมูลและเปรียบเทียบสินค้าในอินเทอร์เน็ต และนิยมซื้อสินค้าผ่าน E-commerce เนื่องจากลักษณะของ Gen Z ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ทำให้ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z นิยมค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการที่ต้องการด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รวมทั้งนิยมซื้อสินค้าผ่าน E-commerce มากกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่น ๆ
ช่องทางการค้าขายออนไลน์ควรให้คน Gen Z เป็นทีมงานหลัก เนื่องจาก เข้าใจ รู้ลึก การใช้งานจริงในแต่ละ Applications รวมถึงช่องทาง E-Commerce, social medias (FB,IG)
- ลำดับสองคือ สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการอื่นๆ ที่ต้องการขายช่องทางต่างๆ ควรมีระบบการบริหารจัดการ ผลิต สต๊อก การขนส่งเข้าหน้าร้าน (Logistic Management)ขายที่พยากรณ์ในแต่ละสินค้า เรียกว่า Sale forecast ควรจะแบ่งอย่างชัดเจนตามช่องทางคือ Offline และ Online จึงจำเป็นต้องจัดทำ S&OP (Sale & Operations) ให้ละเอียดตามช่องทางขายต่างๆ แนวทางนี้ควรระบุการขายแบบ B2B,B2C,B2G
- ลำดับสามคือ ช่องทางการรับ จ่ายเงิน ควรแจ้งทางทีมงาน บัญชีการเงินให้แยกบัญชีในส่วนของ E-Commerce ออกมาอย่างชัดเจนเพื่อทำการรับรู้รายได้ ผลกำไร รายจ่ายค่าสินค้า บริการ รวมถึงการสั่งของผ่านระบบ Suppliers
- ลำดับที่สี่ คือ ช่องทางการขาย และการทำการตลาด ในโลก Online มีรายละเอียดค่อนข้างมาก จึงขอเล่าในตอนถัดไปต่อไป
- ลำดับที่ห้า คือ Digital Data Analytics เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากการทำ Analytics ในแต่ละช่องทางการขายและการตลาด เพื่อจัดทำแผนปฎิบัติการ เช่น PPC , Traffic rate ,Conversion rate ,busket size, google analytics, SEO , Customer Q&A
ขอจบตอนที่ 1 ในต้นสัปดาห์หน้าจะเริ่มเดินเรื่องเชิงลึกในด้านการค้าขาย Online และ Offlineในแต่ละ
ช่องทาง อย่าลึมติดตามนะครับ
ขอบคุณเพื่อน สมช ทุกท่าน
มีคำถาม ติดต่อ E-Mail : vitwut2536@gmail.com
แชร์ประสบการณ์ ขอนำเสนอบทความแนวทางการจัดการช่องทางการขายสินค้าผ่าน offline และ Online ของการค้าปลีก
ผม ธนัท ที่ปรึกษาและผู้ชำนาญการด้าน E-Commerce และ Omni Channel ขอนำเสนอบทความแนวทางการจัดการช่องทางการขายสินค้าและบริการ บทความนี้เหมาะกับผู้ประกอบการที่ขายในช่องทาง Offline และพึ่งเริ่มการขายผ่าน Online เป็นการแนะนำแนวทางการบริหารงาน ทีมงาน ตัวชี้วัด และเทคนิคอื่นๆ ที่ผสมผสานระหว่าง Digital Marketing and Sales.
ขอเริ่มจากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้าน Business Transformation to new digital ERA บริษัทนำเข้าอุปกรณ์เสริมความงามและสินค้า FMCG Oral care ที่มีเคาเตอร์สินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือที่เราเรียกว่า การขายสินค้าแบบ Offline และการดำเนินการขายสินค้าทาง Online ทุกช่องทางที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เสริมความงามและสินค้า Oral Care จากยอดขายในปี 2560 700 ล้านบาท เติบโตในปี 2562 1,200 ล้านบาทจากการผสมผสานการขาย Offline และ Online ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ก่อนจะเล่าประสบการณ์ดังกล่าว ขอเกร่นเล่าประวัติส่วนตัวนิด คือ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ดูแลทางคุณภาพสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิคและสินค้าทาง FMCG มาโดยตลอด และได้มีโอกาสเป็นผู้บริหารระดับสูงและสนใจทาง Marketing and Sales สำหรับ Digital transformation เป็นพิเศษ และได้มีโอกาสให้คำปรึกษา SMEs ในอุสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มกระป๋อง (FMCG) ส่วนธุรกิจค้าปลีก 30-40 กิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
พบว่า การที่กิจการพยายามจะสร้างการตลาดเชิง Digital เช่น มีทีมงานที่ขายของทาง Facebook , Shopee ,Lazada , IG , JD Central แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ยอดขายเพิ่มขึ้น บางครั้งลดลง โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่พยายามทำตาม Digital Marketing principle เช่น การทำ SEO , Google Analytics , Boost Social media เช่น FB Page & IG , ซื้อโฆษณาตามช่องทางต่างๆ แต่ยอดขายไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เกิดความสับสนระหว่างราคาขายที่ตั้งขายผ่าน Online กับ Offline ที่มีราคาที่สูงกว่า เนื่องจากขาดการเชื่อมโยงระหว่าง 2 ช่องทางดังกล่าว หรือผู้บริหารเริ่มตัดงบประมาณการทำการตลาด Digital เพราะไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างงบประมาณทางการขายและการตลาด กับยอดขายที่ลดลงได้ (สวนทางกัน) และเริ่มตามช่องทางการขายไม่ทัน โดยพบว่ามีช่องทางใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น Konvy , We Mall และช่องทางการส่งออกขายต่างประเทศผ่าน Global E-Commerce เช่น Alibaba, Amazon ซึ่งผู้บริหารต้องการให้เข้าร่วม แต่ทำไม่ทัน ทีมงานเรียนรู้ไม่ทันกาล ไม่เข้าใจการบริหาร Platform ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกัน เป็นต้น
และยังมีความกังวลต่อ การขายสินค้าทางช่องทาง Offline ในช่องทางปรกติ การขายสินค้าผ่านช่องทางการค้าปลีกหลัก เช่นนำสินค้าไปวางตามช่องทาง
1. ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) วางสินค้าตามร้านค้าต่างจังหวัด ในอำเภอเมือง ตามร้านค้าดั่งเดิม
2. ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) แบ่งออกเป็น
แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทหลักๆ คือ
1. ห้างสรรพสินค้า (Department Store) เช่น เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์
2. ดิสเคาน์สโตร์ (Hypermarket/ Cash and Carry) เช่น เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร
3. ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) เช่น ท็อปส์, วิลล่า มาร์เก็ท, ฟู้ดแลนด์
4. ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Stores) เช่น 7-11, แฟมิลี่มาร์ท, ลอว์สัน 108
5. ร้านค้าปลีกขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Store) เช่น วัตสัน, บู๊ทส์, ซูเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, ออฟฟิศเมท, บีทูเอส, ซีเอ็ด
ทำให้เกิดความกังวลการดูแลในแต่ละช่องทางการขาย ไม่ทั่วถึง ส่งผลให้ยอดขายตกลง ตาม Campaign ในแต่ละห้างไม่ทัน ผู้บริโภคซื้อสินค้าแต่ละช่องทางไม่เท่ากัน ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าผู้บริโภคว่าชอบสินค้าอะไร ทำการตลาด โปรโมชั่นการขายในแต่ละเดือนเป็นอย่างไร งบประมาณมีเท่าไร ควรจัดสรรเข้าไปในช่องทางใด จำเป็นต้องแยกกิจกรรมทางการตลาดและการขายหรือไม่ เมื่อทีมงานขายและการตลาด ถูกคำสั่งจากห้างให้เข้าร่วม Campaign โดยการลดราคาอาจเป็นแบบ ซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อชิ้นแรกราคาเต็มชิ้นถัดไปราคา 1 บาท หรือ จัดมหกรรมออกบู๊ทลดราคา จะคุ้มค่าไหม มีกำไรไหม คิดอย่างไร เข้าร่วม Campaign แล้วจะขาดทุนไหม ทำไป ผู้จัดการจะเห็นด้วยไหม เป็นต้น
ปัญหาอื่นๆ เช่น พนักงานขายของหน้าร้านหรือพนักงานแนะนำสินค้า (PC : Personal Consultant) ซึ่งปรกติจะต้องทำการแนะนำวิธีการใช้สินค้า โดยผ่านการสาธิต ให้ลูกค้าทดลองลงมือทำเอง พบปัญหาว่าลูกค้าสอบถามสินค้าทดลองแล้ว ตรวจสอบราคาพอใจซื้อ ซึ่งถ้าขายหน้าร้านได้ จะได้ค่าคอมมิชชั่น แต่ไม่สามารถปิดการขายได้ เพราะลูกค้าตรวจสอบราคาสินค้าทางออนไลน์ พบว่าถูกกว่า กดสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ ที่หน้าร้าน ทำให้พนักงานเสียโอกาสการขายและต้นทุนขายหน้าร้านสูงมากเนื่องจากเสียค่าเช่าพึ้นที่ ค่าวางสินค้า ค่าจัดทำคีออส ต่างๆ ค่าบริการการเงินต่างๆ ค่าพนักงานขาย รวมถึงค่าสินค้าสาธิต อีกมากมายซึ่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายการเปิดร้านค้าออนไลน์จะถูกกว่ามาก จึงทำให้ราคาสินค้าสามารถแข่งขันได้ แต่เมื่อทางบริษัทมีนโยบายทำการตลาดและการขายซึ่งต้องคงไว้ในการมีร้านค้า OffLine ร่วมกับการทำการตลาด การสร้างแบรนด์และการขายในยุคที่ออนไลน์เฟื่องฟู ทำให้การผสมผสานช่องทางทั้งสอง ควรจะสอดรับกัน ไปในทิศทางเดียวกันเราจึงเรียกการผสมผสานทั้งสองช่องทางว่า Omni Channel
จากปัญหาดังกล่าวที่เกิดจากช่องทางการขาย Online และ Offline ไม่สัมพันธ์กัน ดังนั้น จึงขอแยกแนวทางการบริหารงาน โดยพิจารณาดังนี้
1. ช่องทางการขาย Online สิ่งที่จำเป็นลำดับแรกคือ ทีมงาน E-Commerce ในองค์กร
- ทีมงาน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เครื่องมือ e-commerce ต่างๆ เช่น Applications ทั้ง Android/ios Social Media รวมถึงเครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น Alipay, Airpay wallet ราวกับออกแบบคนรุ่นใหม่ หมายถึงคนที่เกิดหลังจากปี พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา นั่นคือคนกลุ่ม Gen Z กลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว สามารถใช้งาน Applications ได้รวดเร็ว นิยมซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ ใช้สังคมออนไลน์เป็นประจำ ชอบหาข้อมูลและเปรียบเทียบสินค้าในอินเทอร์เน็ต และนิยมซื้อสินค้าผ่าน E-commerce เนื่องจากลักษณะของ Gen Z ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ทำให้ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z นิยมค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการที่ต้องการด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รวมทั้งนิยมซื้อสินค้าผ่าน E-commerce มากกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่น ๆ
ช่องทางการค้าขายออนไลน์ควรให้คน Gen Z เป็นทีมงานหลัก เนื่องจาก เข้าใจ รู้ลึก การใช้งานจริงในแต่ละ Applications รวมถึงช่องทาง E-Commerce, social medias (FB,IG)
- ลำดับสองคือ สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการอื่นๆ ที่ต้องการขายช่องทางต่างๆ ควรมีระบบการบริหารจัดการ ผลิต สต๊อก การขนส่งเข้าหน้าร้าน (Logistic Management)ขายที่พยากรณ์ในแต่ละสินค้า เรียกว่า Sale forecast ควรจะแบ่งอย่างชัดเจนตามช่องทางคือ Offline และ Online จึงจำเป็นต้องจัดทำ S&OP (Sale & Operations) ให้ละเอียดตามช่องทางขายต่างๆ แนวทางนี้ควรระบุการขายแบบ B2B,B2C,B2G
- ลำดับสามคือ ช่องทางการรับ จ่ายเงิน ควรแจ้งทางทีมงาน บัญชีการเงินให้แยกบัญชีในส่วนของ E-Commerce ออกมาอย่างชัดเจนเพื่อทำการรับรู้รายได้ ผลกำไร รายจ่ายค่าสินค้า บริการ รวมถึงการสั่งของผ่านระบบ Suppliers
- ลำดับที่สี่ คือ ช่องทางการขาย และการทำการตลาด ในโลก Online มีรายละเอียดค่อนข้างมาก จึงขอเล่าในตอนถัดไปต่อไป
- ลำดับที่ห้า คือ Digital Data Analytics เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากการทำ Analytics ในแต่ละช่องทางการขายและการตลาด เพื่อจัดทำแผนปฎิบัติการ เช่น PPC , Traffic rate ,Conversion rate ,busket size, google analytics, SEO , Customer Q&A
ขอจบตอนที่ 1 ในต้นสัปดาห์หน้าจะเริ่มเดินเรื่องเชิงลึกในด้านการค้าขาย Online และ Offlineในแต่ละ
ช่องทาง อย่าลึมติดตามนะครับ
ขอบคุณเพื่อน สมช ทุกท่าน
มีคำถาม ติดต่อ E-Mail : vitwut2536@gmail.com