ถ้าพี่ - น้องในพันทิปพอจะเห็นผ่าน ๆ ตาเกี่ยว คห หนี่งที่ผมยกมา โดยพยายามจะเกริ่นไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีโอกาสชี้แจงในรายละเอียด ดังนี้ ..
พระวินัยปิฎก เล่ม ๘ ปริวาร
เสทโมจนคาถา
(คาถาเหงื่อแตก หรือ คาถาที่คิดจนเหงื่อไหล)
[๑,๓๒๒] ภิกษุพูดจริง ต้องอาบัติหนัก พูดเท็จต้องอาบัติเบา พูดเท็จต้องอาบัติหนัก และพูดจริงต้องอาบัติเบา ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
เสทโมจนคาถา วัณณนา
(อรรถกถา ว่าด้วยเสทโมจนคาถา)
วินิจฉัยในคาถาว่า สจฺจํ ภณนฺโต พึงทราบดังนี้ :-
ภิกษุพูดคำจริง กะสตรีผู้มีหงอน และคนกะเทยว่า เธอมีหงอน เธอมี ๒ เพศ ดังนี้ ย่อมต้องครุกาบัติ. แต่เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้กล่าวเท็จเพราะสัมปชานมุสาวาท. เมื่อกล่าวเท็จ เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริงต้องครุกาบัติ. เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้พูดจริง เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่มีจริง.
ที่ยกมานี้เป็นแค่เพียงตัวอย่างเดียว หากเพื่อน ๆ สนใจ ก็อาจจะหาศึกษาเพิ่มเติ่มได้ในพระวินัยปิฎก เล่ม ๘ บริวาร เสทโมจนคาถา ซึ่งตัวคาถาอยู่ในพระวินัยปิฎก แต่คำเฉลยอยู่ในอรรถกถา ที่ว่าด้วยเรื่องเดียวกัน
ว่าด้วยเรื่องสิกขาบทเกี่ยวกับการพูดจริง - เท็จ ในพระวินัยปิฎก
เสทโมจนคาถา
(คาถาเหงื่อแตก หรือ คาถาที่คิดจนเหงื่อไหล)
[๑,๓๒๒] ภิกษุพูดจริง ต้องอาบัติหนัก พูดเท็จต้องอาบัติเบา พูดเท็จต้องอาบัติหนัก และพูดจริงต้องอาบัติเบา ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
(อรรถกถา ว่าด้วยเสทโมจนคาถา)
วินิจฉัยในคาถาว่า สจฺจํ ภณนฺโต พึงทราบดังนี้ :-
ภิกษุพูดคำจริง กะสตรีผู้มีหงอน และคนกะเทยว่า เธอมีหงอน เธอมี ๒ เพศ ดังนี้ ย่อมต้องครุกาบัติ. แต่เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้กล่าวเท็จเพราะสัมปชานมุสาวาท. เมื่อกล่าวเท็จ เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริงต้องครุกาบัติ. เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้พูดจริง เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่มีจริง.