วันนี้อ่านข่าวรัฐมนตรีอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่ายาต้านไวรัสโควิก ทางจีนได้ส่งมาให้ไทยแล้วเพียงพอกับผู้ป่วยในจำนวนปัจจุบัน
ทำให้เราจำได้ขึ้นมาว่า อุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศไทยได้ถูกเงื่อนไขทางด้านสิทธิบัตร จับดองเอาไว้ไม่ให้เติบโตเป็นระยะเวลายาวนานมาหลายทศวรรษ
ถ้าใครศึกษาประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศไทยจะพบว่าในอดีตประเทศไทยมีโรงงานผลิตยาเล็กๆน้อยๆมากมาย..กล่าวคือโรงงานเหล่านี้นำเข้าตัวยามาจากต่างประเทศแล้วนำมาอัดเม็ดใส่ขวดส่งขายตามร้านขายยาต่างๆในราชอาณาจักร โรงงานเหล่านี้มีจำนวนมากมายในอดีต
ต่อมาในระยะหนึ่งในหลายสิบปีที่ผ่านมา..หลายๆประเทศทั่วโลกถูกมาตรการทางการค้าบีบคั้นให้ต้องรับเข้าเงื่อนไขสิทธิบัตรยา ทำให้โรงงานผลิตยาเล็กๆในประเทศไทยและห่วงโซ่การผลิตยาของไทยถูกตัดขาดออกจากผู้ผลิตตัวยา ในประเทศอินเดียและในประเทศจีน ทำให้ห่วงโซ่ในการผลิตของเราขาดตอนโรงงานเล็กๆถูกปิดตัวและตายไปจากท้องตลาด... ทั้งๆที่ประเทศอินเดียและประเทศจีนไม่ได้ยอมรับเงื่อนไขทางด้านสิทธิบัตรประการใด คืออินเดียและจีนสามารถผลิตตัวยาได้โดยไม่คำนึงถึงปัญหาด้านสิทธิบัตร
เมื่อ เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต้องใช้ยาจำนวนมหาศาลในประเทศทั่วโลกพร้อมๆกันประเทศที่มีการผลิตยาครบวงจรมีห่วงโซ่การผลิตที่แข็งแรงจึงจะรอดตาย
แต่เราเข้าใจว่ากฎหมายสิทธิบัตรก็ยังมีข้อยกเว้นให้ในภาวะฉุกเฉินเพียงแต่ว่าผู้มีอำนาจทางกฎหมายต้องรู้จริงและตั้งทีมงานขึ้นมาปรับปรุงกฎระเบียบในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งในทางสากลน่าจะมีช่องที่นานาประเทศทั่วโลกให้การยอมรับได้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้
ความมั่นคงของอุตสาหกรรมยาในประเทศไทย
ทำให้เราจำได้ขึ้นมาว่า อุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศไทยได้ถูกเงื่อนไขทางด้านสิทธิบัตร จับดองเอาไว้ไม่ให้เติบโตเป็นระยะเวลายาวนานมาหลายทศวรรษ
ถ้าใครศึกษาประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศไทยจะพบว่าในอดีตประเทศไทยมีโรงงานผลิตยาเล็กๆน้อยๆมากมาย..กล่าวคือโรงงานเหล่านี้นำเข้าตัวยามาจากต่างประเทศแล้วนำมาอัดเม็ดใส่ขวดส่งขายตามร้านขายยาต่างๆในราชอาณาจักร โรงงานเหล่านี้มีจำนวนมากมายในอดีต
ต่อมาในระยะหนึ่งในหลายสิบปีที่ผ่านมา..หลายๆประเทศทั่วโลกถูกมาตรการทางการค้าบีบคั้นให้ต้องรับเข้าเงื่อนไขสิทธิบัตรยา ทำให้โรงงานผลิตยาเล็กๆในประเทศไทยและห่วงโซ่การผลิตยาของไทยถูกตัดขาดออกจากผู้ผลิตตัวยา ในประเทศอินเดียและในประเทศจีน ทำให้ห่วงโซ่ในการผลิตของเราขาดตอนโรงงานเล็กๆถูกปิดตัวและตายไปจากท้องตลาด... ทั้งๆที่ประเทศอินเดียและประเทศจีนไม่ได้ยอมรับเงื่อนไขทางด้านสิทธิบัตรประการใด คืออินเดียและจีนสามารถผลิตตัวยาได้โดยไม่คำนึงถึงปัญหาด้านสิทธิบัตร
เมื่อ เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต้องใช้ยาจำนวนมหาศาลในประเทศทั่วโลกพร้อมๆกันประเทศที่มีการผลิตยาครบวงจรมีห่วงโซ่การผลิตที่แข็งแรงจึงจะรอดตาย
แต่เราเข้าใจว่ากฎหมายสิทธิบัตรก็ยังมีข้อยกเว้นให้ในภาวะฉุกเฉินเพียงแต่ว่าผู้มีอำนาจทางกฎหมายต้องรู้จริงและตั้งทีมงานขึ้นมาปรับปรุงกฎระเบียบในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งในทางสากลน่าจะมีช่องที่นานาประเทศทั่วโลกให้การยอมรับได้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้