ทำไมจีนจึงเป็นประเทศโรงงานของโลก ?


สินค้าอุตสาหกรรม 1 ใน 3 ของโลก ล้วนผลิตออกมาจากโรงงานในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของเล่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน รถยนต์ เครื่องจักร รถไฟฟ้า ไปจนถึงเรือดำน้ำ สิ่งของแทบทุกอย่างรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เนม หรือโนเนม ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะพบเห็นคำว่า “Made in China” ประทับตราอยู่
 
จากประเทศที่ยากจนข้นแค้นในช่วงทศวรรษ 1980s ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร และมี GDP ต่อหัวติดอยู่ใน 10 ประเทศท้ายสุดของโลก จีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในด้านผลผลิตจากอุตสาหกรรม ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2000s กลายเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญที่สุดในโลก
 
ห่วงโซ่ของสินค้าแทบจะทุกชนิด จะต้องข้องเกี่ยวกับโรงงานในประเทศนี้ และคงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าประเทศจีน คือ “โรงงานของโลก”
 
เส้นทางของจีน ในการก้าวสู่การเป็นโรงงานของโลกเป็นอย่างไร ?
 
"ความร่ำรวย คือความรุ่งเรือง"วาทะของ เติ้ง เสี่ยวผิง นำมาสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจจีนครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1978 จากระบบคอมมิวนิสต์แบบรวมศูนย์ ไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดตามแนวนโยบาย “สี่ทันสมัย” ควบคู่ไปกับการเปิดประเทศ เพื่อรับการลงทุนจากชาวต่างชาติ โดยมีหัวใจสำคัญของการพัฒนา ซึ่งประกอบไปด้วย..
 
1. กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนและหมู่บ้าน การให้อำนาจรัฐบาลท้องถิ่น ในการบริหารจัดการอย่างอิสระ สามารถเก็บภาษีเข้าคลังของตัวเองได้ โดยไม่ต้องส่งมาที่ส่วนกลาง รวมถึงสามารถอนุมัติการลงทุนจากต่างชาติที่มีมูลค่าไม่เกิน 30,000 ล้านบาททำให้ในแต่ละท้องถิ่น กล้าดำเนินนโยบายใหม่ ๆ ทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสร้างโซนสำหรับอุตสาหกรรมไอที เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโต และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
 
2. แปรรูปรัฐวิสาหกิจ
จากเดิมที่ธุรกิจของประเทศจีน ไม่มีภาคเอกชนอยู่เลย มีแต่รัฐวิสาหกิจที่เต็มไปด้วยปัญหาขาดทุน รัฐบาลจีนได้ทำการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาท โดยเฉพาะในธุรกิจที่เน้นแรงงาน เช่น โรงงานผลิตสินค้าและภาคบริการต่างๆ ส่วนรัฐวิสาหกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เช่น โรงไฟฟ้า รถไฟ ปิโตรเคมี จะไม่แปรรูปให้เป็นเอกชน แต่มีการแตกบริษัท เช่น บริษัทรถยนต์ ถูกแตกออกเป็น4 บริษัท เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันเอง และเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างรายได้
 
3. ปฏิรูประบบการศึกษา
เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ปฏิรูประบบการศึกษาครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา มีการนำระบบ “เกาเข่า” หรือระบบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยกลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่เคยถูกยกเลิกไปในสมัย เหมา เจ๋อตง และให้รัฐบาลท้องถิ่นกำกับดูแลมหาวิทยาลัยของรัฐได้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหาร ปล่อยการบริหารของมหาวิทยาลัยให้เป็นอิสระ โดยภาครัฐสนับสนุนทางการเงินอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง
 
4. เปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป
จีนเริ่มจากการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขึ้นมา 4 แห่ง ทางตอนใต้ของประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ประกอบไปด้วย 3 แห่ง ในมณฑลกวางตุ้ง คือ เซินเจิ้น จูไห่ และซ่านโถวหรือซัวเถา ส่วนอีก 1 แห่ง อยู่ที่เมืองเซี่ยเหมินในมณฑลฝูเจี้ยน ไม่ไกลจากมณฑลกวางตุ้ง เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือ เมืองเซินเจิ้น ที่พลิกจากหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบเหงาในปี ค.ศ. 1978 กลายเป็นที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมสารพัด จนคนทั้งโลกรู้จักเซินเจิ้นในชื่อว่า “โรงงานของโลก”
 
ถึงแม้ว่าเซินเจิ้นจะใช้ความได้เปรียบในการตั้งอยู่ติดกับฮ่องกง ศูนย์กลางการเงินและการขนส่งของเอเชีย ซึ่งขณะนั้นยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่เรื่องราวของเมืองแห่งนี้ก็เป็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการพัฒนาของเซินเจิ้นในแต่ละระยะ ซึ่งเป็นเหมือนเส้นทางต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ของจีนดำเนินรอยตาม
 
เริ่มจากระยะที่ 1 ช่วงปี ค.ศ. 1979-1992 ใช้ประโยชน์จากแรงงานมหาศาลที่มีค่าแรงถูก ปลดล็อกกฎหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนในช่วงแรก เมืองเซินเจิ้นยังเป็นเขตรกร้างว่างเปล่า แต่รัฐบาลส่วนกลางก็ได้ปลดล็อกเงื่อนไขทางกฎหมาย เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะการสร้างแรงจูงใจทางภาษี เช่น ยกเว้นภาษี 3 ปีแรก รวมถึงสนับสนุนให้ธุรกิจมีกระบวนการจัดตั้งที่รวดเร็ว
 
ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งท่าเรือเซินเจิ้นที่เปิดดำเนินการในปี ค.ศ. 1980 และสนามบินนานาชาติเซินเจิ้น เป่าอัน ซึ่งเปิดดำเนินการในปี ค.ศ. 1991 หนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ก็ไม่ใช่ใครอื่น เพราะมาจากฮ่องกงที่อยู่ติดกัน เมื่อมีสิทธิประโยชน์และที่ดินมหาศาล ก็เริ่มมีผู้ลงทุนเข้ามาสร้างโรงงาน โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากแรงงานชาวจีนมหาศาล ที่มีค่าแรงถูกกว่าฮ่องกงมาก ในปี ค.ศ. 1979 วิศวกรกว่า 20,000 คนจากทั่วประเทศจีนถูกจ้างมาที่เซินเจิ้นเพื่อวางแผนสร้างโรงงาน และควบคุมการผลิต โดยโรงงานส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค โรงงานเสื้อผ้า และของใช้ทั่วไป ที่ดึงดูดผู้คนอีกนับล้านให้เข้ามาเป็นแรงงานในภาคการผลิต
 
แต่การมีแค่เพียงโรงงานสินค้าราคาถูกอาจไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจของเซินเจิ้นเติบโตในระยะยาว สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการพัฒนาเทคโนโลยีในปี ค.ศ. 1987 เทศบาลเมืองเซินเจิ้นได้วางแผนการสนับสนุนอุตสาหกรรม ด้วยการดึงดูดให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องเข้ามาก่อตั้งบริษัทเอกชนที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งต้องไม่ลืมว่า ในประเทศจีนที่เคยใช้ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์มานานหลายสิบปี การจัดตั้งบริษัทเอกชนเป็นเรื่องที่ชาวจีนส่วนใหญ่หลงลืมไปแล้ว..
 
นอกจากจะสนับสนุนในเรื่องของภาษีแล้ว เทศบาลเมืองเซินเจิ้นยังสนับสนุนเรื่องการจดสิทธิบัตร ไปจนถึงการอบรมในการบริหารจัดการธุรกิจด้วย หนึ่งในผู้กล้าที่เข้ามาบุกเบิก คือ เหริน เจิ้งเฟย อดีตวิศวกรที่ถูกปลดออกจากกองทัพบก ได้มาก่อตั้งบริษัทเอกชนที่เซินเจิ้นกับเพื่อนอีก 6 คนในปี ค.ศ. 1988
 
จากแรกเริ่มที่ขายเครื่องเตือนสัญญาณไฟไหม้ จนได้นำเข้าตู้สาขาโทรศัพท์ (PABX) จากฮ่องกง และเห็นโอกาสในธุรกิจโทรคมนาคมที่ยังล้าหลังของจีน จึงกลายมาเป็นผู้ผลิตและติดตั้งระบบโทรคมนาคม และต่อยอดไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดอื่นๆ คนทั้งโลกรู้จักบริษัทนี้ในชื่อว่า “Huawei
 
นอกจากฮ่องกงแล้ว อีกหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ของเซินเจิ้น ก็มาจากดินแดนใกล้เคียง คือ ไต้หวัน โดยเฉพาะบริษัท Foxconn ที่ได้ตั้งโรงงานที่ใหญ่สุดของบริษัทในปี ค.ศ. 1988 เพื่อผลิตตัวเชื่อมต่อ (Connector) และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันโรงงานแห่งนี้มีพนักงานมากกว่า 400,000 คน
 
ระยะที่ 2 ช่วงปี ค.ศ. 1993-2002 พัฒนาจากโรงงานสินค้าราคาถูก สู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมระดับโลก เซินเจิ้นเริ่มต่อยอดจากโรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ก้าวสู่การเพิ่มมูลค่าของสินค้า ด้วยการจัดตั้งโซนอุตสาหกรรมไฮเทค หรือ Shenzhen High-tech Industrial Development Zone ในปี ค.ศ. 1996 ที่มีระบบขนส่งเชื่อมโยงเป็นอย่างดีกับทั้งท่าเรือ และสนามบิน โดยโซนอุตสาหกรรมไฮเทค จะดึงดูดบริษัทสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์จากทั่วโลกให้มาตั้งฐานการผลิตที่เขตแห่งนี้
 
ต่อมาในปี ค.ศ. 2001 มีการจัดตั้ง Shenzhen Software Park ในโซนอุตสาหกรรมไฮเทค เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไอที ซึ่งโพนี หม่ากับเพื่อนอีก 4 คน ได้เข้ามาก่อตั้งบริษัท Tencent ที่นี่ในปี ค.ศ. 1998 โดยมีผลิตภัณฑ์แรกของบริษัท คือ โปรแกรมแช็ต QQ ซึ่งต่อมา บริษัทนี้ก็ได้กลายเป็นผู้พัฒนา WeChat แอปแช็ตอันดับ 3 ของโลก
 
นอกจากเขตอุตสาหกรรมแล้ว โครงสร้างพื้นฐานในเมืองเซินเจิ้นก็มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด เกิดระบบรถไฟใต้ดิน ซึ่งต่อมาแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2004 มีการสร้างสวนสาธารณะ เพิ่มพื้นที่สีเขียว และระบบบำบัดน้ำเสีย เมื่อคุณภาพชีวิตในเมืองดีขึ้น ก็ดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากทั่วประเทศจีน ให้เข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้ ประชากรของเซินเจิ้นเติบโตจาก 2 ล้านคนในปี ค.ศ. 1992 สู่ 7 ล้านคนในปีค.ศ. 2002
 
ระยะที่ 3 ช่วงปี ค.ศ. 2003-2012 ค่าแรงเริ่มสูงขึ้น
แต่ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งในเวลานี้ เซินเจิ้นก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุตสาหกรรมของโลก ด้วยข้อได้เปรียบ 2 ประการ คือ ห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เป็นระบบ และรองรับการจ้างผลิตจากภายนอกห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เป็นระบบ หมายถึงมีวงจรของการผลิตครบถ้วนในพื้นที่เดียวกัน
 
ตั้งแต่การมีทีมวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมหาศาล ที่พร้อมจะแปลงผลวิจัยและไอเดียให้กลายเป็นสินค้า มีโรงงานหลากหลายที่สามารถผลิตสินค้าออกมารองรับตลาดขนาดใหญ่ ทั้งโรงงานที่เน้นการผลิตชิ้นส่วน และโรงงานประกอบชิ้นส่วน จนเป็นสินค้าที่สมบูรณ์ ท้ายที่สุดคือการมีทีมกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งเพื่อให้ไปถึงมือผู้บริโภค ทั้งทั่วประเทศจีน และทั่วโลก
 
นอกจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งแล้ว โรงงานในเซินเจิ้นยังเปิดกว้างพร้อมรองรับการผลิตจากบริษัททั่วโลก โรงงานมีทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญอยู่มหาศาล พร้อมที่จะวางแผนการผลิต และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกรูปแบบ เมื่อรวมทั้ง 2 เหตุผลเข้าด้วยกันเซินเจิ้นจึงกลายเป็นเขตที่เหมาะสมที่สุดที่จะผลิตสินค้าเทคโนโลยีจากทั่วโลกเปลี่ยนจาก สถานที่ที่ “ดีที่สุด” เพื่อผลิตของถูกสู่การเป็น สถานที่ที่ “ถูกที่สุด” เพื่อผลิตของดี
 
 
ระยะที่ 4 ช่วงปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นมาพัฒนาจากศูนย์กลางการผลิต สู่เมืองแห่งการออกแบบ
ในปี ค.ศ. 2008 เซินเจิ้นได้รับเลือกให้เป็นเมืองศูนย์กลางแห่งการออกแบบจากองค์การ UNESCO ด้วยความโดดเด่นของอุตสาหกรรมงานออกแบบกราฟิกที่พัฒนามาจากการเป็นฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์ของสินค้าต่าง ๆ
 
นับแต่นั้นมา เซินเจิ้นก็วางแผนอย่างจริงจังสู่การเป็นเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์มีการจัดตั้งสถานที่รวมนักออกแบบ จัดงานนิทรรศการเพื่องานออกแบบ Shenzhen Design Week ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2017 ที่รวมนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกมาแลกเปลี่ยนไอเดียสร้างสรรค์ ขยับไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจการบริการเชิงสร้างสรรค์ ทั้งอุตสาหกรรมไอที ศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ การวิจัยและการพัฒนาวัฒนธรรมในเชิงสร้างสรรค์ ทำให้เซินเจิ้น เปลี่ยนจากสถานที่ที่ “ถูกที่สุด” เพื่อผลิตของดี กลายเป็น“ซิลิคอนแวลลีย์แห่งเอเชีย” ที่ผลิตสินค้าเฉพาะทาง และบริการทางเทคโนโลยีชั้นสูงซึ่งนอกจาก Huawei และ Tencent แล้ว เซินเจิ้นยังเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีมากมาย ทั้ง BYD ผู้ผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ และรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก และ DJI ผู้ผลิตโดรนรายใหญ่ ครองส่วนแบ่งการตลาดโลกกว่า 70% GDP ของเซินเจิ้นเติบโตเรื่อย ๆ สู่ 15 ล้านล้านบาท ในปี ค.ศ. 2021 แซงหน้าอดีตเพื่อนบ้านที่เคยมี GDP สูงกว่าอย่างฮ่องกงไปเรียบร้อยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 แล้ว
 
การวางแผนของรัฐบาลกลาง ทั้งการปฏิรูปการบริหาร การพัฒนาการศึกษาการตั้งเขตเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาท้องถิ่นอย่างแข็งขัน ด้วยการออกกฎหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นระบบทำให้เซินเจิ้น ก้าวขึ้นมาเป็น “โรงงานของโลก” ที่แข็งแกร่ง และต่อยอดไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วประเทศจีน จนกลายเป็นประเทศที่เป็นฐานการผลิตสินค้าเกือบ 1 ใน 3 ของโลก
 
 
นับตั้งแต่อดีตอันยาวนาน จีนเป็นประเทศที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ เรียกตัวเองว่า“จงกว๋อ” ที่แปลว่า อาณาจักรกลาง โดยแทบไม่ออกไปยุ่งวุ่นวายกับดินแดนอื่น ๆ ไม่ว่าจะในยุโรป แอฟริกา หรือทวีปอเมริกา แต่หลังจากหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมาเป็นเวลากว่าสี่พันปี เผชิญความท้าทายจากตะวันตกอีกราวร้อยปี ในเวลานี้ ประเทศจีนปรับตัวและก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญต่อนานาประเทศทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และที่สำคัญคือ การเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลกในปัจจุบัน และอนาคต..
 

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่