หลังจากหยุดทำงานประจำที่อยู่กับที่ ก็ได้เดินทางไปไหนต่อไหน ผ่านมาสิบกว่าปี
จึงคิดรวบรวมเจดีย์พิพิธภัณฑ์ที่เคยไปทั้งที่ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจมาไว้ที่นี่
ภูทอก คือภูที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว มี ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ที่เป็นวัดคือภูทอกน้อย
วัดอยู่ที่ภูทอกน้อยสร้างโดยพระอาจารย์จวน พ.ศ. 2512 ชื่อวัดเจติยาคีรีวิหาร ... มีเจดีย์วิหารเป็นภูเขา
พระอาจารย์จวนมาอยู่ภูทอกเมื่อ พ.ศ. 2512 ตอนแรกก็อาศัยอยู่ตีนเขา
ต่อมาขึ้นมาปลูกกระต๊อบอยู่ชั่วคราวที่โขดหินตีนเขาชั้น 2
ต่อมาเวลาพลบค่ำ ท่านอาจารย์ขึ้นไปนอนบนชั้น 5
โดยปีนขึ้นตามเครือเขาเถาวัลย์ ตามรากไม้ ปัจจุบันคือถ้ำวิหารพระ
กลางพรรษาปี 2512 ท่านได้เกิดนิมิตว่า
ได้ออกไปบิณฑบาตที่ภูทอกใหญ่ อุ้มบาตรเดินเลียบไปตามหน้าผา อ้อมไปเรื่อย ๆ เห็นหน้าต่างปิดอยู่ตามหน้าผา มองไม่เห็นคนเลย
จึงหยุดยืนรำพึงว่า .... ทำไมมีแต่หน้าต่างปิด ไม่เห็นคนออกมาใส่บาตรเลย
สักครู่หนึ่งก็เห็นคนเปิดหน้าต่างออกมาใส่บาตร ท่านจึงตั้งจิตถามขึ้นว่า เขาเป็นใคร
เขาบอกว่า
พวกผมนี้เป็นพวกบังบดขอรับ (พวกบังบด คือพวกภุมมเทวดา ที่มีศีล 5 ประจำ)
อยู่กันที่ภูทอกใหญ่ ภูแจ่มจำรัส (ภูทอกน้อย) แต่ก่อนนี้มีพวกฤๅษีชีไพรมาบำเพ็ญพรตภาวนากันอยู่ที่ภูแจ่มจำรัสนี้มาก
เมื่อเขาใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงถามเขาว่า ทำไมจึงรู้ว่าอาตมามาบิณฑบาต
เขาก็ตอบยิ้ม ๆ ว่า รู้ครับ รู้ด้วยกลิ่น ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีกลิ่นหอมก็เลยพากันเปิดหน้าต่างมาใส่บาตรพระผู้เป็นเจ้ากัน ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ควรแก่การบูชา พวกเราจึงพร้อมใจกันมาใส่บาตร
เช้าวันนั้น อาหารที่บิณฑบาตได้ ขบฉันก็รู้สึกว่ารสเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่มีแต่ชาวบ้านเท่านั้นใส่บาตร และเป็นอาหารอาหารพื้น ๆ
ภายหลังก็เกิดนิมิตว่า
มีพวกเทวดามาหาท่านบอกว่า ขอน้อมถวายภูเขาลูกนี้ ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดรับไว้รักษา พวกข้าพเจ้าจะลงไปอยู่ข้างล่าง
และยังขอให้ท่านประกาศแก่มนุษย์ที่จะมาเที่ยวภูเขาลูกนี้ต่อไปว่า
ขออย่าได้กล่าวคำหยาบอย่าส่งเสียงดังอึกทึก อย่าถ่มน้ำลายลงไปข้างล่าง อย่าขว้างปาหรือทิ้งเศษขยะไว้บนเขา
และในวันนั้น มีชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาต่างฝันตรงกันหลายคนว่ามีคนมามอบภูเขาให้ท่านอาจารย์จวนรักษาไว้ และพวกเขาจะลงไปอยู่ข้างล่างแทน
พระอาจารย์จวนเกิดปี พ.ศ 2463 ที่อำเภออำนาจเจริญ อุบลราชธานี
อายุ 14-15 มีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ใกล้บ้าน เกิดเลื่มใสอยากบวชบ้าง พระท่านให้หนังสือไตรสรณคมณ์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยากโม วัดป่าสาละวัน โคราช
อายุ 18 ทำงานกรมทางหลวง ได้หนังสือ จตุราลักษณ์ ของพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล มาอ่าน
อายุ 20 ได้นำเงินที่เก็บไว้ไปทอดกฐิน สร้างพีะประธาน และ ห้องสุขาจนหมดเงิน
อายุ 21 ได้อุปสมบทในมหานิกาย ท่านอยากออกธุดงค์แต่พระอุปัฌาย์ไม่ให้ยัตติ ท่านจึงลาสิกขา แล้วบวชใหม่เป็นฝ่ายธรรมยุต
พ.ศ.2489 ท่านได้มีโอกาสพบพระอาจารย์มั่นจึงถวายตัวเป็นศิษย์ และจำพรรษาอยู่ด้วยที่ วัดป่าบ้านหนองผือ อำเภอพรรณานิคม สกลนคร
ท่านได้ไปธุดงค์ที่เชียงใหม่เชียงตุง 2 ปี
พ.ศ. 2512 ท่านก็ได้จำพรรษาที่วัดภูทอกเป็นต้นมา
หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย เมตตาเล่าให้ฟังถึงบุพกรรมในกาลก่อน
ที่ทำให้พระอริยเจ้าพระป่ากัมมัฏฐานศิษย์สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ทั้ง 5 องค์ คือ
หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม วัดสิริสาลวัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู,
หลวงพ่อวัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร,
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ,
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
และ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
ต้องประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ... ที่รังสิต ... กระทั่งเป็นเหตุทำให้มรณภาพลงพร้อมกันว่า
ในอดีตชาติท่านทั้ง 5 เกิดในสกุลชาวนาที่ยากจน เป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกัน เมื่อยังเด็กได้จูงควายออกไปเลี้ยงพร้อมกัน
เมื่อผูกควายกันแล้วก็พากันเล่นและออกหากบเขียดไปเป็นอาหารตามประสาจน
1 ใน 5 เกิดไปเห็นรังนกเข้า ก็ช่วยกันหาไม้เขี่ยรังนกให้ตกลงมาเพื่อหวังเอาไข่ แต่เมื่อรังนกตกลงมากลับกลายเป็นลูกนก 3 ตัวตายหมด
ด้วยวิบากกรรมอันนี้ส่งผลให้ท่านทั้ง 5 ต้องตกจากที่สูงมามรณภาพ
ในเครื่องบินลำนั้นมีคุณหญิงท่านหนึ่งกลับจากไปปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มาด้วย
ในอดีต ขณะที่เด็กชายทั้ง 5 กำลังเขี่ยรังนกอยู่นั้น เด็กหญิงลูกชาวนาผู้เป็นน้องสาวของ 1 ใน 5 คนก็มายืนเชียร์อยู่ข้างๆ ว่า“จะหล่นแล้ว...จะหล่นแล้ว”
โดยเธอไม่ได้ลงมือทำ แต่มีจิตคิดยินดีในการประกอบอกุศลกรรมของผู้อื่น วิบากนั้นยังส่งผลมาให้เกิดในภพชาติเดียวกันด้วย
หลวงปู่หลุยก็สั่งว่า
อย่าไปยินดีในการทำชั่วของคนอื่น เพราะเราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย
แต่ให้ยินดีในการประกอบคุณงามความดีของตนและของคนอื่น ... อนุโมทนาบุญ ... เพราะจะได้แต่บุญนั้นด้วย
เจดีย์พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
บันทึกไว้เมื่อ 17 มิถุนายน 2553 และ 7 ตุลาคม 2558
เจดีย์พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ - วัดเจติยาคีรีวิหาร อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ
จึงคิดรวบรวมเจดีย์พิพิธภัณฑ์ที่เคยไปทั้งที่ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจมาไว้ที่นี่
ภูทอก คือภูที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว มี ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ที่เป็นวัดคือภูทอกน้อย
ต่อมาขึ้นมาปลูกกระต๊อบอยู่ชั่วคราวที่โขดหินตีนเขาชั้น 2
ต่อมาเวลาพลบค่ำ ท่านอาจารย์ขึ้นไปนอนบนชั้น 5
โดยปีนขึ้นตามเครือเขาเถาวัลย์ ตามรากไม้ ปัจจุบันคือถ้ำวิหารพระ
กลางพรรษาปี 2512 ท่านได้เกิดนิมิตว่า
ได้ออกไปบิณฑบาตที่ภูทอกใหญ่ อุ้มบาตรเดินเลียบไปตามหน้าผา อ้อมไปเรื่อย ๆ เห็นหน้าต่างปิดอยู่ตามหน้าผา มองไม่เห็นคนเลย
จึงหยุดยืนรำพึงว่า .... ทำไมมีแต่หน้าต่างปิด ไม่เห็นคนออกมาใส่บาตรเลย
สักครู่หนึ่งก็เห็นคนเปิดหน้าต่างออกมาใส่บาตร ท่านจึงตั้งจิตถามขึ้นว่า เขาเป็นใคร
เขาบอกว่า
พวกผมนี้เป็นพวกบังบดขอรับ (พวกบังบด คือพวกภุมมเทวดา ที่มีศีล 5 ประจำ)
อยู่กันที่ภูทอกใหญ่ ภูแจ่มจำรัส (ภูทอกน้อย) แต่ก่อนนี้มีพวกฤๅษีชีไพรมาบำเพ็ญพรตภาวนากันอยู่ที่ภูแจ่มจำรัสนี้มาก
เมื่อเขาใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงถามเขาว่า ทำไมจึงรู้ว่าอาตมามาบิณฑบาต
เขาก็ตอบยิ้ม ๆ ว่า รู้ครับ รู้ด้วยกลิ่น ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีกลิ่นหอมก็เลยพากันเปิดหน้าต่างมาใส่บาตรพระผู้เป็นเจ้ากัน ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ควรแก่การบูชา พวกเราจึงพร้อมใจกันมาใส่บาตร
เช้าวันนั้น อาหารที่บิณฑบาตได้ ขบฉันก็รู้สึกว่ารสเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่มีแต่ชาวบ้านเท่านั้นใส่บาตร และเป็นอาหารอาหารพื้น ๆ
ภายหลังก็เกิดนิมิตว่า
มีพวกเทวดามาหาท่านบอกว่า ขอน้อมถวายภูเขาลูกนี้ ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดรับไว้รักษา พวกข้าพเจ้าจะลงไปอยู่ข้างล่าง
และยังขอให้ท่านประกาศแก่มนุษย์ที่จะมาเที่ยวภูเขาลูกนี้ต่อไปว่า
ขออย่าได้กล่าวคำหยาบอย่าส่งเสียงดังอึกทึก อย่าถ่มน้ำลายลงไปข้างล่าง อย่าขว้างปาหรือทิ้งเศษขยะไว้บนเขา
ที่ทำให้พระอริยเจ้าพระป่ากัมมัฏฐานศิษย์สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ทั้ง 5 องค์ คือ
หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม วัดสิริสาลวัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู,
หลวงพ่อวัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร,
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ,
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
และ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
ต้องประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ... ที่รังสิต ... กระทั่งเป็นเหตุทำให้มรณภาพลงพร้อมกันว่า
ในอดีตชาติท่านทั้ง 5 เกิดในสกุลชาวนาที่ยากจน เป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกัน เมื่อยังเด็กได้จูงควายออกไปเลี้ยงพร้อมกัน
เมื่อผูกควายกันแล้วก็พากันเล่นและออกหากบเขียดไปเป็นอาหารตามประสาจน
1 ใน 5 เกิดไปเห็นรังนกเข้า ก็ช่วยกันหาไม้เขี่ยรังนกให้ตกลงมาเพื่อหวังเอาไข่ แต่เมื่อรังนกตกลงมากลับกลายเป็นลูกนก 3 ตัวตายหมด
ด้วยวิบากกรรมอันนี้ส่งผลให้ท่านทั้ง 5 ต้องตกจากที่สูงมามรณภาพ
ในเครื่องบินลำนั้นมีคุณหญิงท่านหนึ่งกลับจากไปปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มาด้วย
ในอดีต ขณะที่เด็กชายทั้ง 5 กำลังเขี่ยรังนกอยู่นั้น เด็กหญิงลูกชาวนาผู้เป็นน้องสาวของ 1 ใน 5 คนก็มายืนเชียร์อยู่ข้างๆ ว่า“จะหล่นแล้ว...จะหล่นแล้ว”
โดยเธอไม่ได้ลงมือทำ แต่มีจิตคิดยินดีในการประกอบอกุศลกรรมของผู้อื่น วิบากนั้นยังส่งผลมาให้เกิดในภพชาติเดียวกันด้วย
หลวงปู่หลุยก็สั่งว่า
อย่าไปยินดีในการทำชั่วของคนอื่น เพราะเราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย
แต่ให้ยินดีในการประกอบคุณงามความดีของตนและของคนอื่น ... อนุโมทนาบุญ ... เพราะจะได้แต่บุญนั้นด้วย