สวัสดีครับ
กระทู้นี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การสมัครเรียนต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ ขอเท้าความนิดนึงครับ ผมจบปริญญาโท สาขาเคมี ในไทยเมื่อปีที่ผ่านมาและในปี 2563 ก็มีความสนใจอยากจะไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก (PhD) ที่ต่างประเทศในสาขาเดิมครับ ซึ่งผมต้องการที่จะขอทุนให้เปล่าและเต็มจำนวนตลอดการเรียนด้วยครับ
ในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 ผมก็เริ่มสมัครมหาวิทยาลัยในอเมริกาซึ่งเราจะต้องสมัครผ่านระบบออนไลน์ของทางมหาวิทยาลัยเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะติดต่อ Advisor หรือ Professor (Prof.) แล้วเขาอยากจะรับเรา แต่ถ้าเราไม่ผ่านการคัดเลือกในระดับมหาวิทยาลัยเราก็จะไม่ได้ Offer (ก็คือไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ นั่นเอง) ซึ่งจะตรงข้ามและแตกต่างจากทางโซนยุโรปหรือโซนอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาจะต้องติดต่อกับ Prof. ก่อน เมื่อเขาสนใจ เขาอาจจะมีการขอสัมภาษณ์แบบออนไลน์หรือเชิญเราไปสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยเลย และเราก็อาจจะมีโอสกาสได้รับ Offer และได้รับทุนต่อไป ณ วันนี้ที่ผมเขียนกระทู้นี้ มหาวิทยาลัยในอเมริกายังไม่ได้ประกาศผล ซึ่งเขาจะใช้การพิจารณาแบบ Rolling basis หรือ First come, first serve นั่นก็คือใครสมัครก่อนก็จะได้รับพิจารณาก่อน แต่ตอนนี้ผมได้ Offer จากมหาวิทยาลัยในยุโรปแล้ว ดังนั้นในกระทู้นี้ผมจึงจะเน้นไปที่ยุโรปเป็นหลักครับ
เริ่มต้นเลยเราจะต้องทำการบ้านหนักมาก นั่นก็คือต้องหาข้อมูล Prof. ที่แล็ปของเขาทำงานวิจัยที่เราสนใจอยากจะเรียน สำหรับสาขาที่ผมเรียนนั้น (เคมี) ค่อนข้างที่จะหาข้อมูลง่ายเพราะว่าเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ที่มี Prof. ทำงานด้านนี้และมีทุนให้ค่อนข้างเยอะ ทั่ว ๆ ไปเราก็มักจะค้นหาโดยใช้ Google เป็นหลักใช่ไหมครับ แต่เทคนิคของผมในการหา Prof. นั้นมีอยู่ 2 วิธี ดังนี้
1. ค้นหาจากเว็บไซต์ของวารสารที่ตีพิมพ์ผลงาน (ด้านเคมี) โดยใช้คีเวิร์ดในการค้นหาเป็นคำศัพท์ทางด้านงานวิจัยที่เราสนใจ
-> วิธีนี้จะทำให้เราเจอบทความ (article) หรือที่เราเรียกว่า paper ที่สอดคล้องและใกล้เคียงกับงานวิจัยที่เราสนใจ + เราสามารถเช็คนักวิจัยที่เขียนบทความ (author) นั้นได้อีกด้วย ซึ่งผมก็เจอ Prof. จากวิธีนี้หลายคนเลยครับ
2. ลองหาเว็บไซต์ที่ Prof. จะมาประกาศว่ามีตำแหน่งว่าง (Available position) สำหรับ Master หรือ Doctoral degrees (PhD)
-> ในสาขาเคมีที่ผมสนใจนั้น เขาจะมีเว็บไซต์ที่คนที่ทำวิจัยทางด้านนี้มักจะมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ซึ่งเขาก็มักจะมีหน้าเว็บไซต์ที่ให้ Prof. มาประกาศเปิดรับสมัครนักศึกษาด้วย (Jobs) อย่างเช่น
https://academicpositions.com/jobs/chemistry-analytical-chemistry เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมตำแหน่งว่างต่าง ๆ ของสาขาเคมีเชิงวิเคราะห์ (Analytical chemistry) เราสามารถเข้ามาดูได้เรื่อย ๆ เลยครับ สนใจแล็ปไหนก็คลิกเข้าไปอ่านรายละเอียด
เมื่อเรารวบรวมข้อมูลของ Prof. หรือแล็ปที่เราสนใจได้แล้ว (สำหรับยุโรปผมหามาได้ประมาณ 20 ที่ครับ) ลำดับถัดมาคือขั้นตอนการติดต่อหรือสมัครไปเรียนกับเขา ซึ่งเทคนิคก็คือให้เราลองเข้าไปดูในเว็บไซต์หลักของแล็ปเขาเลยครับ แล้วให้ลองหาคำว่า "Open Position" หรือ "Vacancies" หรือ "Jobs" ถ้าหากเขามีบอกรายละเอียดว่ากำลังเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาเอก (PhD student) ถ้ายังไม่เลยกำหนด (deadline) ก็อีเมลติดต่อหา Prof. ได้เลย
แต่ว่าบางทีเราอาจจะต้องสมัครผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยไปก่อน หลังจากนั้นทางระบบก็จะส่งใบสมัคร (application) ของเราไปยัง Prof. อีกที ถ้าหาก Prof. เขาสนใจเราเขาก็จะติดต่อกลับมาหาเราเอง คำแนะนำคือควรจะต้องใช้อีเมลของมหาวิทยาลัยนะครับ เพราะจะมีความน่าเชื่อถือกว่าใช้อีเมลส่วนตัว แต่ถ้าจะใช้อีเมลส่วนตัวในการสมัคร ก็ควรจะเป็นอีเมลที่ทางการหน่อยครับเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ผมได้ส่งอีเมลไปหา Prof. ทั้งหมดประมาณ 20 คน โดยในอีเมลก็เขียนอธิบายว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จบจากไหน สนใจอยากจะเรียนต่อกับเขาโดยมีความสนใจในงานวิจัยที่เขากำลังทำอยู่ และผมก็ได้แนบเอกสารและหลักฐานอื่น ๆ ไปในอีเมลด้วยครับ (ส่วนใหญ่เขามักจะระบุไว้ในเว็บไซต์ว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง) โดยเอกสารที่ผมแนบไป (ทั้งหมดเป็นไฟล์ PDF) มีดังต่อไปนี้
1. Cover letter หรือ Motivation letter
2. CV หรือ Resume
3. Transcripts ของ ป.ตรี และ ป.โท
4. Thesis ป.ตรี และ ป.โท (Bachelor and Master degree thesis)
5. คะแนนภาษาอังกฤษหรือผลสอบอื่น ๆ
ขออธิบายความสำคัญของเอกสารแต่ละตัวคร่าว ๆ ดังนี้ครับ (ถ้าใครรู้อยู่แล้วก็ข้ามไปได้เลยจ้า)
1. Cover letter หรือ Motivation letter - เป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดเพราะจะเป็นสิ่งที่จะบอกว่าเรามีประสบการณ์การทำวิจัยอะไรมาบ้างและทำไมเราถึงอยากเรียนต่อและทำวิจัยกับ Prof. ท่านนั้น + เราจะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
2. CV หรือ Resume - อันนี้ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วนะครับ ก็เป็นประวัติของเราเช่นการศึกษา สกิลหรือทักษะต่าง ๆ ที่มี + ผลงานตีพิมพ์และการเข้าร่วมงานประชุมต่าง ๆ รวมไปถึงรางวัลที่เคยได้รับ และที่ขาดไม่ได้คือควรจะมี Referee นั่นก็คือชื่อของอาจารย์ที่ปรึกษาหลัก (advisor) และอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (co-adviser) ตอนเราเรียน ป.ตรี หรือ ป.โท อย่างน้อย 2 ชื่อ
3. Transcripts ของ ป.ตรี และ ป.โท - ผลการเรียนแบบเป็นการทางของเรานั่นเองครับ ซึ่งขอได้จากสำนักทะเบียนของมหาวิทยาลัยได้เลย โดยหลัก ๆ จะต้องมีตราของมหาวิทยาลัยและระบุวันที่เราเริ่มเข้าศึกษาและจบการศึกษา แต่ถ้าใครที่ยังไม่ได้จบการศึกษาแต่ใกล้จะจบแล้ว เราสามารถขอเอกสารรับรองการใกล้จบการศึกษาแทนได้ ยิ่งเกรดเราเยอะเราก็ยิ่งมีโอกาสได้รับการพิจารณามากกว่าคนอื่นครับ
4. Thesis ป.โท (Master degree thesis) - วิทยานิพนธ์นี่คือผมส่งเพิ่มไปเองนะ เพราะผมคิดว่า Prof. เขาอยากจะดูว่าเราทำวิจัยเกี่ยวกับอะไรมากและเรามีวิธีคิดหรือการแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งจะดูได้จาก Thesis ที่เราเขียนครับ
5. คะแนนภาษาอังกฤษหรือผลสอบอื่น ๆ - ผมแนบผลคะแนน TOEFL กับ GRE ไปครับ มีคะแนนสองตัวนี้เพราะว่าสมัครมหาวิทยาลัยอเมริกาด้วย แต่จริง ๆ แล้วบางประเทศในยุโรป เช่น เยอรมัน ออสเตรีย ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ มักจะไม่ได้ขอ (request) คะแนนภาษาอังกฤษ จะมีก็แต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่จะกำหนดคะแนน เช่น University of Amsterdam เนเธอแลนด์ และ University of Helsinki ฟินแลนด์ (ทั้งสองที่นี้ require คะแนน TOEFL สูงซะด้วยนะครับ ฮ่า ๆ)
เพิ่มเติม:
6. Recommendation letter* - เอกสารตัวนี้จะเป็นจดหมายแนะนำที่ Referee หรืออาจารย์ที่ปรึกษาเราที่รู้จักเราดีจะเป็นคนเขียนให้ มีความสำคัญมาก ๆ เพราะ Prof. เขาไม่รู้จักเรา เขาจึงใช้ letter ตัวนี้มาประกอบการตัดสินใจด้วย โดยปกติแล้วเราจะไม่มีสิทธิได้อ่าน letter ตัวนี้นะ และเราจะต้องให้อาจารย์ของเราเขียนแล้วส่งให้กับ Prof. หรือมหาวิทยาลัยที่เราสมัครโดยตรง ซึ่งเขาจะขอมาเองเมื่อต้องการครับ (on request)
หลังจากที่ส่งอีเมลไปถาม Prof. ทุก ๆ คนแล้วผมใช้เวลารอเขาตอบกลับเฉลี่ยประมาณ 1 สัปดาห์ (ถ้าตรงกับช่วงวันหยุดของเขาก็อาจจะรอนานกว่านี้) มีตอบอีเมลผมกลับมาประมาณ 8 คน ส่วนอีก 10 กว่าคนไม่ได้ตอบกลับครับ ซึ่งตอนแรกผมก็กังวล + เซงนิดหน่อยเพราะว่าผมใช้เวลาในการเตรียมเอกสารสำหรับส่งอีเมลหา Prof. แต่ละคนค่อนข้างนาน แต่ตอนหลังก็เพิ่งมาเข้าใจว่าวัน ๆ นึง Prof. เขาอาจจะได้รับอีเมลสมัครเรียนเยอะมาก ๆ ถ้าแล็ปเขาเต็มหรือไม่มีทุนให้หรือไม่มีเวลาว่าง เขาก็เลือกที่จะไม่ตอบกลับครับ ถ้า Prof. ที่เขา nice หน่อย ไม่อยากให้เรารอแบบมีความหวัง ก็จะตอบกลับมาพร้อมกับบอกว่าไม่มีตำแหน่งว่าง
เมื่อผ่านด่านแรกแล้ว ผมก็เริ่มมีความหวัง ดีใจมาก ๆ เพราะว่ามี Prof. ตอบกลับมาเยอะกว่าที่คาดไว้ โดยทุกคนเขาขอเรา interview ผ่าน Skype ครับ ก็นัดวันเวลากันปกติ แต่ต้องจัดเวลาให้ดีนิดนึงเพราะว่าเวลาที่ไทยจะเร็วกว่ายุโรปประมาณ 5 - 6 ชม. ซึ่งผมได้ interview กับ Prof. จากมหาวิทยาลัยในเยอรมันนี เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ครับ
สำหรับการ interview ผมก็เตรียมสไลด์ด้วย โดยจะเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การทำวิจัยที่ผ่านมา + อธิบาย project ที่สนใจอยากจะวิจัยร่วมกับเขา ซึ่งการ interview มีความสำคัญมากเลย ตรงนี้เราสามารถถามคำถามทุกอย่างที่เราสงสัยได้รวมไปถึงทุนการศึกษาครับ ผมพบว่าถ้าเป็นเยอรมันนี Prof. ก็มักจะให้เป็นทุนของมหาวิทยาลัยหรือทุนที่เขาไปขอมา หรืออีกทางเลือกนึงก็คือเขาให้เราไปสมัครผ่านทุน DAAD หรือ Marie Curie Actions เป็นต้น ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็เป็นทุนวิจัยของ Prof. ที่เขามีให้ครับหรือทุนรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ โดยเป็นทุนเต็มจำนวนทั้งหมดครับ
พอ interview เสร็จแล้วก็รอครับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นสุด ๆ พอโทรศัพท์มีเสียงเตือนอีเมลเข้าทีนึงนี่ลุ้นแทบแย่ ถ้าอีเมลขึ้นด้วยคำว่า Unfortunately หรือ sorry ... ก็คืออด แต่ถ้ามีคำว่า happy ล่ะก็ เฮได้เลยครับ พอเราได้ offer แล้ว ก็จะต้องมานั่งคิดว่าเราจะเลือกที่ไหน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ให้เวลาเราตัดสินนานมากนะครับ อย่างมากก็อาจจะให้เวลาคิดไม่เกิน 1 เดือน ก็ต้องบอกเขาแล้ว ว่าเราจะรับ (accept) หรือปฏิเสธ (decline) ซึ่งผมได้ offer (เรียงตามลำดับจากที่ได้ก่อนไปหลัง) จากมหาวิทยาลัยดังต่อไปนี้ครับ
1. TU Dresden, เยอรมัน
2. TU Berlin, เยอรมัน
3. University of Heidelberg, เยอรมัน
4. University of Hamburg, เยอรมัน
5. University of Zurich, สวิตเซอร์แลนด์
6. University of Oulu, ฟินแลนด์
7. EPFL, สวิตเซอร์แลนด์
จริง ๆ ยังมีอีก 2-3 ที่ครับที่ผมสมัครไว้แล้วเขากำลังอยู่ในช่วงพิจารณาและขอสัมภาษณ์ + กำลังคุยเรื่องขอทุนอยู่ แต่ผมก็ได้ปฏิเสธไปแล้วเพราะว่าผมได้ตัดสินใจเลือกที่เรียนต่อไปแล้ว

แล้วก็จะได้ไม่เป็นการกันสิทธิ์คนอื่นด้วยครับ
จบแล้วครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากใครมีคำถามอะไรสามารถถามได้เลย ผมจะพยายามตอบเท่าที่ตอบได้ ใครที่กำลังหาที่เรียนอยู่ขอให้โชคดีนะครับ สู้ต่อไป
ประสบการณ์การสมัครเรียนต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ
กระทู้นี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การสมัครเรียนต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ ขอเท้าความนิดนึงครับ ผมจบปริญญาโท สาขาเคมี ในไทยเมื่อปีที่ผ่านมาและในปี 2563 ก็มีความสนใจอยากจะไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก (PhD) ที่ต่างประเทศในสาขาเดิมครับ ซึ่งผมต้องการที่จะขอทุนให้เปล่าและเต็มจำนวนตลอดการเรียนด้วยครับ
ในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 ผมก็เริ่มสมัครมหาวิทยาลัยในอเมริกาซึ่งเราจะต้องสมัครผ่านระบบออนไลน์ของทางมหาวิทยาลัยเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะติดต่อ Advisor หรือ Professor (Prof.) แล้วเขาอยากจะรับเรา แต่ถ้าเราไม่ผ่านการคัดเลือกในระดับมหาวิทยาลัยเราก็จะไม่ได้ Offer (ก็คือไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ นั่นเอง) ซึ่งจะตรงข้ามและแตกต่างจากทางโซนยุโรปหรือโซนอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาจะต้องติดต่อกับ Prof. ก่อน เมื่อเขาสนใจ เขาอาจจะมีการขอสัมภาษณ์แบบออนไลน์หรือเชิญเราไปสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยเลย และเราก็อาจจะมีโอสกาสได้รับ Offer และได้รับทุนต่อไป ณ วันนี้ที่ผมเขียนกระทู้นี้ มหาวิทยาลัยในอเมริกายังไม่ได้ประกาศผล ซึ่งเขาจะใช้การพิจารณาแบบ Rolling basis หรือ First come, first serve นั่นก็คือใครสมัครก่อนก็จะได้รับพิจารณาก่อน แต่ตอนนี้ผมได้ Offer จากมหาวิทยาลัยในยุโรปแล้ว ดังนั้นในกระทู้นี้ผมจึงจะเน้นไปที่ยุโรปเป็นหลักครับ
เริ่มต้นเลยเราจะต้องทำการบ้านหนักมาก นั่นก็คือต้องหาข้อมูล Prof. ที่แล็ปของเขาทำงานวิจัยที่เราสนใจอยากจะเรียน สำหรับสาขาที่ผมเรียนนั้น (เคมี) ค่อนข้างที่จะหาข้อมูลง่ายเพราะว่าเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ที่มี Prof. ทำงานด้านนี้และมีทุนให้ค่อนข้างเยอะ ทั่ว ๆ ไปเราก็มักจะค้นหาโดยใช้ Google เป็นหลักใช่ไหมครับ แต่เทคนิคของผมในการหา Prof. นั้นมีอยู่ 2 วิธี ดังนี้
1. ค้นหาจากเว็บไซต์ของวารสารที่ตีพิมพ์ผลงาน (ด้านเคมี) โดยใช้คีเวิร์ดในการค้นหาเป็นคำศัพท์ทางด้านงานวิจัยที่เราสนใจ
-> วิธีนี้จะทำให้เราเจอบทความ (article) หรือที่เราเรียกว่า paper ที่สอดคล้องและใกล้เคียงกับงานวิจัยที่เราสนใจ + เราสามารถเช็คนักวิจัยที่เขียนบทความ (author) นั้นได้อีกด้วย ซึ่งผมก็เจอ Prof. จากวิธีนี้หลายคนเลยครับ
2. ลองหาเว็บไซต์ที่ Prof. จะมาประกาศว่ามีตำแหน่งว่าง (Available position) สำหรับ Master หรือ Doctoral degrees (PhD)
-> ในสาขาเคมีที่ผมสนใจนั้น เขาจะมีเว็บไซต์ที่คนที่ทำวิจัยทางด้านนี้มักจะมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ซึ่งเขาก็มักจะมีหน้าเว็บไซต์ที่ให้ Prof. มาประกาศเปิดรับสมัครนักศึกษาด้วย (Jobs) อย่างเช่น https://academicpositions.com/jobs/chemistry-analytical-chemistry เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมตำแหน่งว่างต่าง ๆ ของสาขาเคมีเชิงวิเคราะห์ (Analytical chemistry) เราสามารถเข้ามาดูได้เรื่อย ๆ เลยครับ สนใจแล็ปไหนก็คลิกเข้าไปอ่านรายละเอียด
เมื่อเรารวบรวมข้อมูลของ Prof. หรือแล็ปที่เราสนใจได้แล้ว (สำหรับยุโรปผมหามาได้ประมาณ 20 ที่ครับ) ลำดับถัดมาคือขั้นตอนการติดต่อหรือสมัครไปเรียนกับเขา ซึ่งเทคนิคก็คือให้เราลองเข้าไปดูในเว็บไซต์หลักของแล็ปเขาเลยครับ แล้วให้ลองหาคำว่า "Open Position" หรือ "Vacancies" หรือ "Jobs" ถ้าหากเขามีบอกรายละเอียดว่ากำลังเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาเอก (PhD student) ถ้ายังไม่เลยกำหนด (deadline) ก็อีเมลติดต่อหา Prof. ได้เลย
แต่ว่าบางทีเราอาจจะต้องสมัครผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยไปก่อน หลังจากนั้นทางระบบก็จะส่งใบสมัคร (application) ของเราไปยัง Prof. อีกที ถ้าหาก Prof. เขาสนใจเราเขาก็จะติดต่อกลับมาหาเราเอง คำแนะนำคือควรจะต้องใช้อีเมลของมหาวิทยาลัยนะครับ เพราะจะมีความน่าเชื่อถือกว่าใช้อีเมลส่วนตัว แต่ถ้าจะใช้อีเมลส่วนตัวในการสมัคร ก็ควรจะเป็นอีเมลที่ทางการหน่อยครับเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ผมได้ส่งอีเมลไปหา Prof. ทั้งหมดประมาณ 20 คน โดยในอีเมลก็เขียนอธิบายว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จบจากไหน สนใจอยากจะเรียนต่อกับเขาโดยมีความสนใจในงานวิจัยที่เขากำลังทำอยู่ และผมก็ได้แนบเอกสารและหลักฐานอื่น ๆ ไปในอีเมลด้วยครับ (ส่วนใหญ่เขามักจะระบุไว้ในเว็บไซต์ว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง) โดยเอกสารที่ผมแนบไป (ทั้งหมดเป็นไฟล์ PDF) มีดังต่อไปนี้
1. Cover letter หรือ Motivation letter
2. CV หรือ Resume
3. Transcripts ของ ป.ตรี และ ป.โท
4. Thesis ป.ตรี และ ป.โท (Bachelor and Master degree thesis)
5. คะแนนภาษาอังกฤษหรือผลสอบอื่น ๆ
ขออธิบายความสำคัญของเอกสารแต่ละตัวคร่าว ๆ ดังนี้ครับ (ถ้าใครรู้อยู่แล้วก็ข้ามไปได้เลยจ้า)
1. Cover letter หรือ Motivation letter - เป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดเพราะจะเป็นสิ่งที่จะบอกว่าเรามีประสบการณ์การทำวิจัยอะไรมาบ้างและทำไมเราถึงอยากเรียนต่อและทำวิจัยกับ Prof. ท่านนั้น + เราจะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
2. CV หรือ Resume - อันนี้ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วนะครับ ก็เป็นประวัติของเราเช่นการศึกษา สกิลหรือทักษะต่าง ๆ ที่มี + ผลงานตีพิมพ์และการเข้าร่วมงานประชุมต่าง ๆ รวมไปถึงรางวัลที่เคยได้รับ และที่ขาดไม่ได้คือควรจะมี Referee นั่นก็คือชื่อของอาจารย์ที่ปรึกษาหลัก (advisor) และอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (co-adviser) ตอนเราเรียน ป.ตรี หรือ ป.โท อย่างน้อย 2 ชื่อ
3. Transcripts ของ ป.ตรี และ ป.โท - ผลการเรียนแบบเป็นการทางของเรานั่นเองครับ ซึ่งขอได้จากสำนักทะเบียนของมหาวิทยาลัยได้เลย โดยหลัก ๆ จะต้องมีตราของมหาวิทยาลัยและระบุวันที่เราเริ่มเข้าศึกษาและจบการศึกษา แต่ถ้าใครที่ยังไม่ได้จบการศึกษาแต่ใกล้จะจบแล้ว เราสามารถขอเอกสารรับรองการใกล้จบการศึกษาแทนได้ ยิ่งเกรดเราเยอะเราก็ยิ่งมีโอกาสได้รับการพิจารณามากกว่าคนอื่นครับ
4. Thesis ป.โท (Master degree thesis) - วิทยานิพนธ์นี่คือผมส่งเพิ่มไปเองนะ เพราะผมคิดว่า Prof. เขาอยากจะดูว่าเราทำวิจัยเกี่ยวกับอะไรมากและเรามีวิธีคิดหรือการแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งจะดูได้จาก Thesis ที่เราเขียนครับ
5. คะแนนภาษาอังกฤษหรือผลสอบอื่น ๆ - ผมแนบผลคะแนน TOEFL กับ GRE ไปครับ มีคะแนนสองตัวนี้เพราะว่าสมัครมหาวิทยาลัยอเมริกาด้วย แต่จริง ๆ แล้วบางประเทศในยุโรป เช่น เยอรมัน ออสเตรีย ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ มักจะไม่ได้ขอ (request) คะแนนภาษาอังกฤษ จะมีก็แต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่จะกำหนดคะแนน เช่น University of Amsterdam เนเธอแลนด์ และ University of Helsinki ฟินแลนด์ (ทั้งสองที่นี้ require คะแนน TOEFL สูงซะด้วยนะครับ ฮ่า ๆ)
เพิ่มเติม:
6. Recommendation letter* - เอกสารตัวนี้จะเป็นจดหมายแนะนำที่ Referee หรืออาจารย์ที่ปรึกษาเราที่รู้จักเราดีจะเป็นคนเขียนให้ มีความสำคัญมาก ๆ เพราะ Prof. เขาไม่รู้จักเรา เขาจึงใช้ letter ตัวนี้มาประกอบการตัดสินใจด้วย โดยปกติแล้วเราจะไม่มีสิทธิได้อ่าน letter ตัวนี้นะ และเราจะต้องให้อาจารย์ของเราเขียนแล้วส่งให้กับ Prof. หรือมหาวิทยาลัยที่เราสมัครโดยตรง ซึ่งเขาจะขอมาเองเมื่อต้องการครับ (on request)
หลังจากที่ส่งอีเมลไปถาม Prof. ทุก ๆ คนแล้วผมใช้เวลารอเขาตอบกลับเฉลี่ยประมาณ 1 สัปดาห์ (ถ้าตรงกับช่วงวันหยุดของเขาก็อาจจะรอนานกว่านี้) มีตอบอีเมลผมกลับมาประมาณ 8 คน ส่วนอีก 10 กว่าคนไม่ได้ตอบกลับครับ ซึ่งตอนแรกผมก็กังวล + เซงนิดหน่อยเพราะว่าผมใช้เวลาในการเตรียมเอกสารสำหรับส่งอีเมลหา Prof. แต่ละคนค่อนข้างนาน แต่ตอนหลังก็เพิ่งมาเข้าใจว่าวัน ๆ นึง Prof. เขาอาจจะได้รับอีเมลสมัครเรียนเยอะมาก ๆ ถ้าแล็ปเขาเต็มหรือไม่มีทุนให้หรือไม่มีเวลาว่าง เขาก็เลือกที่จะไม่ตอบกลับครับ ถ้า Prof. ที่เขา nice หน่อย ไม่อยากให้เรารอแบบมีความหวัง ก็จะตอบกลับมาพร้อมกับบอกว่าไม่มีตำแหน่งว่าง
เมื่อผ่านด่านแรกแล้ว ผมก็เริ่มมีความหวัง ดีใจมาก ๆ เพราะว่ามี Prof. ตอบกลับมาเยอะกว่าที่คาดไว้ โดยทุกคนเขาขอเรา interview ผ่าน Skype ครับ ก็นัดวันเวลากันปกติ แต่ต้องจัดเวลาให้ดีนิดนึงเพราะว่าเวลาที่ไทยจะเร็วกว่ายุโรปประมาณ 5 - 6 ชม. ซึ่งผมได้ interview กับ Prof. จากมหาวิทยาลัยในเยอรมันนี เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ครับ
สำหรับการ interview ผมก็เตรียมสไลด์ด้วย โดยจะเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การทำวิจัยที่ผ่านมา + อธิบาย project ที่สนใจอยากจะวิจัยร่วมกับเขา ซึ่งการ interview มีความสำคัญมากเลย ตรงนี้เราสามารถถามคำถามทุกอย่างที่เราสงสัยได้รวมไปถึงทุนการศึกษาครับ ผมพบว่าถ้าเป็นเยอรมันนี Prof. ก็มักจะให้เป็นทุนของมหาวิทยาลัยหรือทุนที่เขาไปขอมา หรืออีกทางเลือกนึงก็คือเขาให้เราไปสมัครผ่านทุน DAAD หรือ Marie Curie Actions เป็นต้น ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็เป็นทุนวิจัยของ Prof. ที่เขามีให้ครับหรือทุนรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ โดยเป็นทุนเต็มจำนวนทั้งหมดครับ
พอ interview เสร็จแล้วก็รอครับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นสุด ๆ พอโทรศัพท์มีเสียงเตือนอีเมลเข้าทีนึงนี่ลุ้นแทบแย่ ถ้าอีเมลขึ้นด้วยคำว่า Unfortunately หรือ sorry ... ก็คืออด แต่ถ้ามีคำว่า happy ล่ะก็ เฮได้เลยครับ พอเราได้ offer แล้ว ก็จะต้องมานั่งคิดว่าเราจะเลือกที่ไหน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ให้เวลาเราตัดสินนานมากนะครับ อย่างมากก็อาจจะให้เวลาคิดไม่เกิน 1 เดือน ก็ต้องบอกเขาแล้ว ว่าเราจะรับ (accept) หรือปฏิเสธ (decline) ซึ่งผมได้ offer (เรียงตามลำดับจากที่ได้ก่อนไปหลัง) จากมหาวิทยาลัยดังต่อไปนี้ครับ
1. TU Dresden, เยอรมัน
2. TU Berlin, เยอรมัน
3. University of Heidelberg, เยอรมัน
4. University of Hamburg, เยอรมัน
5. University of Zurich, สวิตเซอร์แลนด์
6. University of Oulu, ฟินแลนด์
7. EPFL, สวิตเซอร์แลนด์
จริง ๆ ยังมีอีก 2-3 ที่ครับที่ผมสมัครไว้แล้วเขากำลังอยู่ในช่วงพิจารณาและขอสัมภาษณ์ + กำลังคุยเรื่องขอทุนอยู่ แต่ผมก็ได้ปฏิเสธไปแล้วเพราะว่าผมได้ตัดสินใจเลือกที่เรียนต่อไปแล้ว
จบแล้วครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากใครมีคำถามอะไรสามารถถามได้เลย ผมจะพยายามตอบเท่าที่ตอบได้ ใครที่กำลังหาที่เรียนอยู่ขอให้โชคดีนะครับ สู้ต่อไป