เจาะชีวิตตำนานลูกหนังเจอร์เก้น คลินส์มันน์ & หงส์ใจกว้างเปิดทางJKคุมอินทรีเหล็ก & จาดอนซานโชหนึ่งในดาวรุ่งที่ดีสุดในโลก

เจาะชีวิตตำนานลูกหนัง “เจอร์เก้น คลินส์มันน์”/

เจอร์เก้น คลินส์มันน์ คือตำนานแห่งวงการบุนเดสลีกาและวงการฟุตบอลที่รังสรรค์ความงดงามมากมายบนพื้นสนามแข่ง แต่จะมีสักกี่คนที่ยังจำได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มมาจากตรงไหน เขาผ่านเรื่องราวอะไรมากบ้าง และยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับขุนพลดีกรีแชมป์โลกและแชมป์ยูโรคนนี้ที่น้อยคนนักจะเคยได้รู้ มาเจาะลึกถึงเรื่องน่ารู้ของชีวิตอดีตแข้ง “อินทรีเหล็ก” และโค้ชทีม “หญิงชรา” แฮร์ธ่า เบอร์ลิน คนล่าสุดคนนี้กันเลย



คลินส์มันน์หันหลังให้กับธุรกิจอบขนมของครอบครัว แล้วเลือกเดินบนเส้นทางการค้าแข้งด้วยการเทิร์นโปรตั้งแต่อายุเพียง 16 ปีเท่านั้น และได้กลายเป็นแข้งเด็กที่ขึ้นชื่อว่ามีพรสวรรค์สูงสุดคนหนึ่งในยุคนั้น เขาแจ้งเกิดได้กับสโมสรชตุทท์การ์ท คิกเกอร์ส ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีมคู่ปรับอย่างเฟาเอฟเบ ชตุทท์การ์ท ที่โลดแล่นอยู่ในบุนเดสลีกาเมื่อปี 1984 ซึ่งต้นสังกัดใหม่แห่งนี้นี่แหละที่เป็นแหล่งบ่มเพาะฝีเท้าของคลินส์มันน์จนกระทั่งกลายเป็นศูนย์หน้าที่น่ากลัวที่สุดในเยอรมนี แม้ว่าเขาจะมีร่างกายผอมเพรียวก็ต



คลินส์มันน์ติดอันดับที่ 5 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติเยอรมนีด้วยผลงาน 47 ประตูจากการรับใช้ทีมชาติหนึ่งทศวรรษ เขาเริ่มมีชื่อติดทีมชาติจากผลงานพาสโมสรบ้านเกิดทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่าคัพ แต่น่าเสียดายที่ต้องกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อนาโปลีที่นำทัพโดยดิเอโก้ มาราโดน่า อย่างไรก็ตามเพียงแค่ไม่กี่ปีให้หลังคลินส์มันน์ก็สามารถแก้แค้นมาราโดน่าได้สำเร็จด้วยการคว่ำทีมชาติอาร์เจนติน่าพาทีมชาติเยอรมนีตะวันตกชูถ้วยแชมป์โลกที่กรุงโรม



นอกจากนี้กรุงโรมยังเป็นเมืองที่คลินส์มันน์สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้ในที่สุดตอนค้าแข้งให้กับทีมอินเตอร์ มิลาน จากนั้นเขาได้ย้ายไปอยู่กับโมนาโกสองฤดูกาล ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

คลินส์มันน์ยิงประตูได้ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม รวมตลอดฤดูกาลนั้นในสีเสื้อทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์แล้ว เขายิงประตูรวมในลีกได้ถึง 20 ลูก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่คลินส์มันน์ก็พิสูจน์ตัวเองได้และกลายเป็นที่รักของแฟนบอล สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของประเทศอังกฤษได้สำเร็จ แม้จะพลาดโอกาสชูถ้วยเอฟเอคัพที่สนามเวมบลีย์ หลังทำได้เพียงพาทีมต้นสังกัดทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ

จากนั้นเขาย้ายกลับมายังเยอรมนีเพื่อค้าแข้งให้กับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค คลินส์มันน์สามารถคว้าแชมป์ยูเอฟ่าคัพได้เป็นหนที่สองก่อนจะได้กลับไปเยือนสนามเวมบลีย์ ณ ประเทศอังกฤษอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลายเป็นประสบการณ์ที่เขาจะไม่มีวันลืม…

หกปีหลังจากที่คลินส์มันน์คว้าแชมป์โลกสำเร็จ คลินส์มันน์ก็ได้สัมผัสถ้วยแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือยูโร 96 ที่สนามเวมบลีย์ต่อหน้าแฟนบอลชาวอังกฤษมากมายที่ชื่นชอบเขาเมื่อสมัยค้าแข้งกับทีมไก่เดือยทอง

คลินส์มันน์อำลาเวทีบุนเดสลีกาด้วยผลงานแชมป์ลีกหนึ่งสมัยกับบาเยิร์น มิวนิค เขากลับไปเล่นในเซเรีย อา อีกครั้งกับทีมซามพ์โดเรีย ก่อนจะรีเทิร์นไปเล่นให้สเปอร์สในเกาะอังกฤษอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งเขาก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงได้ 9 ประตูจากการลงสนาม 15 นัด เขาลงเล่นให้ทีมชาติเยอรมนีเป็นครั้งสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลกปี 98 แต่ก็ได้โอกาสกลับมารับใช้ชาติด้วยการรับบทเฮ้ดโค้ชแทนที่ รูดี้ เฟิลเลอร์ เขาสร้างความฮือฮาให้กับแฟนบอลเยอรมันทั่วประเทศ โดยเฉพาะในศึกฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นในประเทศบ้านเกิด ซึ่งพวกเขาหมายมั่นจะคว้าแชมป์ให้ได้บนแผ่นดินของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังพ่ายให้กับอิตาลีไปในรอบตัดเชือก อย่างไรก็ตามแม้จะต้องอกหักจากฟุตบอลโลก แต่คลินส์มันน์ก็ประสบความสำเร็จในการดึงจิตวิญญาณและความฮึกเหิมกลับมาสู่วงการฟุตบอลเยอรมันอีกครั้ง การประกาศอำลาตำแหน่งเฮ้ดโค้ชทีมชาติหลังนำเยอรมนีทำได้เพียงอันดับที่ 3 ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนั้นสร้างความเสียใจให้กับแฟนบอลเยอรมันทั่วประเทศ

คลินส์มันน์ใช้ช่วงเวลาหลังจากนั้นสองสามปีพักผ่อนเพื่อเติมพลังชีวิตอยู่ที่บ้านในฮันติงตันบีช แคลิฟอร์เนีย ก่อนจะบินกลับมายังเยอรมนีเพื่อรับบทเฮ้ดโค้ชทีมบาเยิร์น คลินส์มันน์นำเอาแนวทางและปรัชญาการเล่นฟุตบอลใหม่ๆ มาสู่ทีมต้นสังกัด แม้จะถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันถึง 5 เกมของฤดูกาลเพราะผลงานย่ำแย่ แต่สิ่งที่ตำนานอินทรีเหล็กคนนี้ปลูกเอาไว้ในถิ่นของบิ๊กทีมแห่งแคว้นบาวาเรียนั้นยังฝังรากลึกในทีมบาเยิร์นมาถึงทุกวันนี้

คลินส์มันน์รู้ดีว่าการคุมทีมสโมสรไม่ใช่ของง่ายๆ เขาปฏิเสธข้อเสนอจากหลายทีมไปหลายหน แต่ในที่สุด “คลินซี่” ก็ตกปากรับคำไปคุมทีมชาติสหรัฐอเมริกา บ้านหลังที่สองของเขาในปี 2011 เขาลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ด้วยพลังและความกระหายในชัยชนะเช่นเคย แม้ทีมชาติสหรัฐฯ จะต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมโหดๆ อย่างเยอรมนี โปรตุเกส และกาน่า แต่พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันเข้าไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ทีมชาติอเมริกากลายเป็นอีกทีมที่ดูมีอนาคตสดใสขึ้นภายใต้การคุมทีมของคลินส์มันน์



แม้ในปัจจุบันคลินส์มันน์จะยุติบทบาทโค้ชทีมชาติสหรัฐฯ แล้ว แต่ชื่อของเขายังคงก้องอยู่ในทั้งวงการฟุตบอลเยอรมันและสหรัฐอเมริกา และล่าสุดเขาก็ได้กลับมาเฉิดฉายบนเวทีบุนเดสลีกาอีกครั้งในฐานะกุนซือใหญ่ทีมแฮร์ธ่า เบอร์ลินจนสิ้นฤดูกาลนี้

credit : www.siamsport.co.th

คลิ้นส์มันน์ให้เหตุผลอำลากุนซือแฮร์ธ่า

เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ตัดสินใจอำลาตำแหน่งเทรนเนอร์ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน สโมสรในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ หลังจากเข้ามาทำหน้าที่นี้ได้เพียงแค่ 10 สัปดาห์เท่านั้น

อดีตกุนซือทีมชาติเยอรมัน และ บาเยิร์น มิวนิค เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก อันเต้ โควิช เมื่อวันพุธที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยเวลานี้พาทีม "หญิงชรา" ขึ้นมาอยู่อันดับ 14 ของตาราง มี 23 คะแนนจาก 21 นัด ก่อนตัดสินใจลาออกอย่างกะทันหัน โดยให้เหตุผลว่า ผู้บริหารสโมสรไม่ได้ให้การสนับสนุน และความเชื่อมั่น
 
คลินส์มันน์ เผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "พวกเราอยู่ในเส้นทางที่ดีมากๆ ในช่วงเวลาอันสั้น ผมต้องขอขอบคุณการสนับสนุนจากคนจำนวนมาก ตอนนี้เราอยู่ห่างจากพื้นที่ตกชั้น 6 คะแนน แม้เจอเกมที่ยากลำบากเป็นส่วนมากก็ตาม ผมมั่นใจว่า แฮร์ธ่า จะบรรลุเป้าหมายอยู่รอดใน บุนเดสลีกา ได้สำเร็จ" 

"อย่างไรก็ตาม ในฐานะหัวหน้าโค้ช ผมยังต้องการความไว้วางใจจากคนที่มีส่วนร่วมกับงานนี้ด้วย ความสามัคคี, การร่วมมือ และมุ่งมั่นไปด้วยกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสู้เพื่อหนีตกชั้น หากพวกเขาไม่ได้ให้การรับประกัน ผมก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นผมจึงไม่สามารถทำงานในตำแหน่งกุนซือได้ต่อไป และจะกลับไปทำหน้าที่สมาชิกบอร์ดสโมสรเหมือนเดิม" คลิ้นส์มันน์ ทิ้งท้าย



credit : www.siamsport.co.th

หงส์ใจกว้างเปิดทาง'เจเค'คุมอินทรีเหล็ก

สโมสร ลิเวอร์พูล แสดงความใจกว้างต่อผจก.ทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะมีการเปิดเผยว่าสัญญาใหม่ที่เซ็นจนถึง มิ.ย.2024 มีเงื่อนไขหากเทรนเนอร์วัย 52 ปี ต้องการโยกไปคุมทีมชาติเยอรมันในอนาคต ก็ขอเพียงเดินมาบอกดีๆ หงส์แดงพร้อมอำนวยความสะดวก

รายงานจาก 'อินเดเพนเดนซ์ ฟุตบอล' ว่า คล็อปป์ ผู้ปลุกชีพ ลิเวอร์พูล ให้กลับมามีลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดซึ่งรอคอยกว่า 3 ทศวรรษ ถือเป็นเทรนเนอร์คนโปรดในสายตา แฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป (เอฟเอสจี) กลุ่มเจ้าของสโมสร 'หงส์แดง'

คนเราเมื่อรักใครมาก ก็พร้อมทำทุกอย่างให้คนนั้นสบายใจที่สุด เช่นเดียวกับ 'เอฟเอสจี' ใส่เงื่อนไขว่า คล็อปป์ สามารถแยกทางได้ก่อนหมดสัญญา โดยที่ ลิเวอร์พูล ไม่ขอค่าชดเชยความเสียหายแม้แต่แดงเดียวจากทีมใหม่ของ 'เจเค' ต่อให้เป็นทีม 'อินทรีเหล็ก' หรือ  บาเยิร์น มิวนิค ก็ตาม 
 
สิ่งที่ขอแลกเปลี่ยนมีเพียงแจ้งก่อนล่วงหน้าสัก 1 ฤดูกาลหรืออย่างน้อยหกเดือน เพื่อที่ว่า ลิเวอร์พูล จะได้หาคนมาแทนอย่างเหมาะสม 

นับเป็นความจริงใจที่มอบให้แก่คนในครอบครัว แบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งผิดจากธรรมชาติค่ายอื่นมักขวางเทรนเนอร์เก่งตัวเองกันสุดลิ่ม ทิ่มประตู 

อนึ่งความเป็นไปได้ที่ คล็อปป์ จะแยกทางอย่างเร็วคือ ซัมเมอร์ 2022 เพราะ โยอัคคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ 'อินทรีเหล็ก' หมดสัญญาพอดี



cr : https://www.thsport.com/news-79283.html

จาดอน ซานโช หนึ่งในดาวรุ่งที่ดีที่สุดในโลกจากรั้วเสือเหลือง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเป็นที่ชัดเจนว่าลิโอเนล เมสซี และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือนักเตะที่ดีที่สุดในโลกที่ทุกคนต่างก็ยอมรับ ซึ่งในช่วงหลังๆ ก็มีชื่อของคีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่ก้าวขึ้นมาติดโผสุดยอดนักเตะในเจเนอเรชั่นต่อไป แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่จาดอน ซานโช ดาวรุ่งฟอร์มแรงของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะถูกขนานนามว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกเช่นเดียวกับเหล่าซุปตาร์ที่กล่าวมาบ้าง?



ซานโชลงประเดิมสนามในบุนเดสลีกาตั้งแต่อายุได้ 17 ปี 6 เดือน 26 วัน นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2017 เขาได้โอกาสลงสนามในบุนเดสลีกาไปแล้วกว่า 60 นัด ถึงตอนนี้ดาวรุ่งวัย 19 ปียิงและจ่ายแอสซิสต์ไปแล้วรวม 45 ลูก เฉลี่ยเป็น 1.42 ลูกต่อนัด
 
หลังจากที่ยิงประตูได้ในเกมถล่มอูนิโอน เบอร์ลินไป 5-0 ประตู ซานโชกลายเป็นนักเตะที่อายุต่ำกว่า 20 ปีคนแรกในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาที่ยิงได้ถึง 25 ประตู โดยเกือบครึ่งของประตูที่ยิงได้มาจากฤดูกาล 2019/20



 ในฤดูกาล 2017/18 เขาจ่ายแอสซิสต์ไป 4 ครั้ง และในซีซั่นต่อมาก็สามารถทำสถิติแอสซิสต์สูงสุดในลีกที่ 14 ครั้ง ส่วนในฤดูกาลนี้ซานโชจ่ายแอสซิสต์ไปแล้วถึง 12 ครั้ง ไม่มีนักฟุตบอลที่อายุต่ำกว่า 26 ปีคนใดเคยทำได้มากเท่านี้มาก่อน ไม่มีใครเคยยิงและจ่ายได้อย่างละเกินสิบประตูในฤดูกาลเดียว ไม่มีใครทั้งยิงทั้งจ่ายในเกมเดียวได้มากเท่าซานโช ขนาดเมสซีหรือโรนัลโด้ก็ยังไม่เคยทำได้เท่าดาวรุ่งคนนี้

สถิติที่เล่ามาไม่ได้หมายถึงว่าซานโชคือผู้เล่นในระดับเดียวกันกับเมสซีและโรนัลโด้ เพราะสองสุดยอดนักเตะแห่งยุคนั้นต่างก็ยิงประตูคู่แข่งกันมาแทบนับไม่ถ้วน รวมกันเกิน 1,000 ประตูแล้วด้วยซ้ำ กวาดแชมป์มารวมกันกว่า 40 ถ้วย ครองบัลลังก์บัลลงดอร์รวมกันแล้วเกินสิบหน แถมยังโชว์ฟอร์มได้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานเลยทั้งที่อายุก็ปากันไปสามสิบกลางๆ แล้วด้วยซ้ำ

แค่เพียงจะบอกว่าทั้งเมสซีและโรนัลโด้ในตอนที่อายุเท่ากับซานโช ก็ยังไม่ได้โด่งดังอะไรเท่ากับเจ้าหนูซานโชในตอนนี้
จากผลงาน 50 เกมแรกของเมสซีกับบาร์เซโลน่า เขายิงได้ 21 ประตู ทำได้ 4 แอสซิสต์ ส่วนโรนัลโด้ทำ 12 ประตูกับ 9 แอสซิสต์จาก 76 เกมแรกของเขาในลีกรวมทั้งตอนยังเล่นให้กับสปอร์ติ้ง ลิสบอน และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เทียบสถิติกันแล้วเมสซีมีอัตรายิงหนึ่งประตูหรือจ่ายหนึ่งแอสซิสต์ในทุกๆ 2 เกม ส่วนของโรนัลโด้อยู่ที่ 3.48 เกม ถือว่าเป็นรองซานโชที่ยิงหรือจ่ายในทุก 1.42 เกมอยู่มาก มีเพียงเอ็มบัปเป้ที่ทำผลงานได้สุดยอดกว่าทุกคนที่กล่าวมาด้วยการยิง 109 ประตู และจ่าย 51 แอสซิสต์จาก 172 เกมก่อนที่จะอายุครบ 20 ปีไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา



(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่