สวัสดีชาวพันทิปทุกคนนะคะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้เป็นสายรีวิวแต่ที่อยากมารีวิวที่นี่เพราะเราชอบแนวคิดร้านนี้มากๆ เลยมารีวิวเพื่อให้เพื่อนๆเป็นแนวทางและเผื่อใครสนใจและชอบแนวคิดนี้แบบเรา
ด้วยความที่เราชอบคาเฟ่ดื่มเรื่อยๆ ถ่ายรูปชิวๆ เพื่อนเราเลยพาเรามาที่นี่ Kid Mai Death Awareness Cafe เดินทางง่ายสำหรับใครชอบเที่ยวตามแนวรถไฟฟ้าที่นีสะดวกมาก เพราะพอเราลงจากBTSอารีย์แล้วเดินตามแมพประมาณ 300-400 เมตรเองก็ถึงด้านหน้าแล้วค่ะ


ข้างหน้าทางเข้าจะเห็นป้ายใหญ่มาก แค่ป้ายเราก็ตื่นเต้นแล้ว กิ๊บเก๋สุดๆใครกลัวเดินเลย หาไม่เจอ หรือเดินไม่ถูกตัดปัญหาได้เลยค่ะเพราะคาเฟ่นี้อยู่ติดถนนเลย
ป้ายว่าตื่นเต้นแล้ว ทางเข้าตื่นเต้นกว่ามากเห็นปุ๊บร้องว้าวเลย คือเก๋ที่สุด ปริ่มมากกับอะไรแบบนี้ ทางเข้าข้างหน้าก็จะมีคำคม ข้อความต่างๆ ให้เราได้อ่านไปเรื่อยๆเลย เป็นอันว่าเรากับเพื่อนถ่ายรูปกันพักใหญ่ กว่าจะได้เข้าไปในร้าน
เข้ามาในร้านอันดับแรกเลยจะเจอเคาเตอร์ให้ซื้อเครื่องดื่ม พนักงานดูแลดี ใส่ใจบริการดีมาก ที่เราบอกเพราะเรางงอยู่นั่นเอง พี่เค้าเลยมาแนะนำเครื่องดื่มของทางร้าน ที่นี่มีเครื่องดื่ม 4 อย่าง คือเมนูเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ

เราชอบความมีสตอรี่ของแต่ละเมนู พี่เค้ามาอธิบายให้เราฟังทุกเมนูเลยว่าทำไมต้องทำเมนูแบบนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ แล้วแต่ละเมนูให้ลูกค้าเติมท๊อปปิ้งได้ที่ถาดที่จัดไว้ให้ เพื่อตกแต่งเองตามสไตล์ได้เลยเรากับเพื่อนเลือกเมนู เกิดกับเจ็บ เพราะตอนนั้นกินอะไรกันมาแน่นท้องมาก

นี่ค่ะหน้าตา 2 เมนูที่เรากับเพื่อนเลือกกิน เมนูเกิดจะออกรสเปรี้ยวสดชื่น เมนูเจ็บจะออกแนวเป็นขนมมี ใครชอบกินวิปปิ้งครีมเมนูนี้ตอบโจทย์มากเลย โดยรวม 2 เมนูนี้ถือว่าอร่อยค่ะ
ตั้งแต่เราเดินเข้ามาในร้านเราจะบอกว่าทุกมุมสามารถถ่ายรูปได้หมดเลย ใครสายอาร์ต สายดาร์ก สายชิล คือคิดมุมถ่ายรูปกันได้ตามชอบเลยค่ะ ส่วนเราที่เป็นสายถ่ายรูปแล้วที่นี่คือใช่มาก
ร้านนี้จะออกแนวนิทรรศการนะคะ ข้างในมีโซนแบ่งเป็นห้องๆ ชัดเจน คือ ห้องเกิด ห้องแก่ ห้องเจ็บ ห้องตาย ห้องอสุภะ และห้องราหุล รวมถึงโซนธรรมชาติให้เราได้ไปนั่งพักผ่อนด้วย
ตั้งแต่เราเดินเข้ามาในร้านเราจะบอกว่าทุกมุมสามารถถ่ายรูปได้หมดเลย ใครสายอาร์ต สายดาร์ก สายชิล คือคิดมุมถ่ายรูปกันได้ตามชอบเลยค่ะ ส่วนเราที่เป็นสายถ่ายรูปแล้วที่นี่คือใช่มาก
ตอนที่เราไปถึงเป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าๆ ซึ่งพี่พนักงาน (ไม่แน่ใจว่าใช่เจ้าของมั้ย) แจ้งว่าเดี๋ยวจะมีการพาเดินชมนิทรรศการของทุกๆห้อง ในเวลา 15.00 น. และ 17.00 น. ซึ่งเราทันรอบพาเดินชมพอดี เราไปทันข่วงบ่ายที่มีแค่2รอบ แต่ก่อนหน้านี้เราไม่ทราบนะคะว่ามีการพาเดินชมด้วยมั้ย
ห้องแรก "ห้องเกิด
ห้องนี้จะเป็นการจำลองตอนที่เราอยู่ในท้องแม่ว่าอึดอัดยังไง รู้สึกอย่างไรบ้าง ทางร้านก็จะทำเปลห้อยๆลงมาให้เราได้ไปลองนั่งดู เปลนี้รับน้ำหนักได้มากเป็นร้อยโลสบายใจเรื่องความปลอดภัยได้เลยค่ะ
เราเองก็ไม่พลาดจ้าไปลองนั่งมาบ้าง ปรากฎว่าติดจ้า อึดอัดไปหมด ด้วยความเราตัวโตด้วยมั้ง (อ้วนแหละ) เลยเงอะงะไปหมด สรุปกว่าจะออกมาได้ กว่าจะได้รูปสวยๆหมดพลังเหมือนกันกับห้องนี้
ห้องสอง "ห้องแก่"
ห้องนี้เป็นห้องที่เชื่อมกับห้องเกิด จะมีบันไดให้เราเดินขึ้นไปชั้นบน คล้ายๆชั้นลอย หรือชั้นดาดฟ้าประมาณนั้นค่ะ ชอบตั้งแต่ทางเดินเลย ถ่ายรูปได้อาร์ตมากเพราะแสงตรงนี้สวยค่ะ เดินขึ้นไปด้านบนจะเจอหุ่นจำลองคนแก่ยืนอยู่ จังหวะนี้แอบตกใจ😂
ตรงนี้เจ้าของมีความตั้งใจอยากให้เราได้จำลองเป็นคนแก่ค่ะ ข้างๆหุ่นจำลองนั้นจะมีตู้ใส่อุปกรณ์ให้เรานำมาสวมใส่ได้เพื่อจะได้รู้ว่าคนแก่ใช้ชีวิตยากยังไง สายตาเป็นยังไง โดยจะมีเส้นทำไว้ให้เราเดินตามนั้นเลยค่ะ เพื่อให้เราเข้าใจถึงความแก่นั้น
ส่วนบริเวณรอบๆจะมีเก้าอี้ให้เรานั่งได้ แต่กลางวันก็ร้อนมาก เราว่าถ้าช่วงเย็นๆตรงนี้คือเหมาะกับการพักผ่อนกินลมชมบรรยากาศ มองตึกเพลินๆเลย
ห้องสาม "ห้องเจ็บ"
ห้องนี้เป็นการจำลองสถานการณ์ตอนเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ห้องนี้จะมีเตียงคนไข้ รถเข็นคนไข้ อุปกรณ์ทำแผล เสาน้ำเกลือ ที่ถูกจำลองขึ้นมา พี่เค้าก็อธิบายให้ฟังถึงตอนที่เราป่วย เราต้องเสียอะไรบ้าง ทั้งเงินรักษาตัว เสียรายได้ ซึ่งทางร้านก็ได้มีซองจดหมายทำเป็นค่าใช้จ่ายให้เราเห็นด้วย
หลักๆของห้องนี้คือการทำอะไรต่างๆก็ตามด้วยความมีสติ ไม่ประมาท และเตรียมความพร้อมไว้เสมอ เพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ที่เรารู้สึกชอบมากคือพี่เค้าได้อธิบายเรื่องพินัยกรรมชีวิตไว้ด้วย
หลายๆคนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องพินัยกรรมชีวิต ซึ่งตัวเราเองสามารถทำไว้ใข้เมื่อเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยายาลได้ เราสามารถเลือกได้ว่าจะรับหรือไม่รับการรักษานั้นเช่น การปั๊มหัวใจ การเจาะคอ หรือหัตถการทางการแพทย์อื่นๆที่เราไม่อยากทำ แม้ครอบครัวเราอยากให้ทำก็ตาม ซึ่งพี่เค้าพูดอันนี้ขึ่นมาเราเห็นว่าเป็นประโยชน์มากๆ
ห้องสี่ "ห้องตาย"
มาถึงห้องไฮไลท์ของที่นี่ค่ะ ห้องนี้จะจำลองสถานการณ์สวดศพ โลงขนาดเท่าของจริง คล้ายๆอยู่ศาลาวัดไปเลย แล้วก็มีเสียงพระสวดตลอดเวลา พี่เค้าอธิบายถึงว่าตอนมีชีวิตอยู่ให้เรามีสติ อยากทำอะไรให้รีบทำ เพราะไม่รู้ว่าวันต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง (พี่เค้าพูดดีมาก)
ห้องนี้เราสามารถไปลองนอนในโลงศพได้นะคะ แต่ค้องแจ้งพี่ให้พี่เจ้าหน้าที่มาอยู่ด้วย เพราะเค้าพูดว่า "ถ้าจะนอนบอกก่อนนะคะ เดี๋ยวตายจริง" เราเองไม่กล้าอยู่แล้ว เลยทำให้มั่นใจว่าจะไม่ลงแน่นอน😂😂😂
แต่การนอนในโลงพี่เค้าก็อธิบายว่าทำให้เราใช้ชีวิตไม่ประมาทมากขึ้น เหมือนลองตายก่อนตายจริง ส่วนมากคนที่มานี่ก็อยากลองกัน แต่ยกเว้นเราแหละค่ะไม่ไหวจริงๆ
ด้านหลังห้องนี้จะมีมุมให้เราถ่ายรูปด้วย ดีไซน์ท่าทางกันได้เลย ส่วนผนังจะมีข้อความต่างๆที่มีคนเขียนไว้ ไปอ่านๆดูก็น่ารักดีค่ะ
นอกจากสี่ห้องหลักๆแล้ว ยังมีห้องอสุภะ ที่เกี่ยวกับการพิจารณาศพ และ ห้องราหุลที่จำลองเหมือนกรงด้วยค่ะ แต่เราไม่ได้ไป2ห้องนี้ เลยได้มาแค่ด้านหน้าของห้องราหุลเท่านั้น
รอบๆบริเวณก็จะมีมุมให้เราได้ถ่ายรูปมากมายเลยค่ะ รวมถึงมีข้อความให้เราได้อ่าน ได้คิด หรือเป็นสื่อความรู้ติดผนังไว้ด้วย
เดินเข้าไปด้านหลังจะมีสวนธรรมชาติให้เราได้ไปนั่งเล่นด้วย เข้าไปด้านในก็จะมีหลุมหลบภัยของจริงสมัยสงครามโลก ที่มีป้ายติดไว้ แต่ไม่ได้ให้เราเข้าไปในหลุมนะคะ แล้วจ้างๆกันก็มีศาลาสำหรับให้พระธุดงค์ได้มาปฏิบัติด้วย เดินเข้าไปจะเจอผนังที่เป็นรูปพระใหญ่มาก ถ้าใครชอบแนวธรรมชาติ ธรรมะ ตรงนี้คือตอบโจทย์ค่ะ

ตอนแรกเราว่าจะอยู่ที่นี่สักสองชั่วโมง สรุปว่าอยู่ที่นี่ไปเกินสามชั่งโมงค่ะ เพราะถ่ายรูปเพลินมากจริงๆ เกือบทันพี่เค้าพาชมรอบ 17.00 น.เลลยแหละค่ะ
เอาละค่ะมาถึงสุดท้ายของการรีวิวแล้ว เราขอย้ำอีกครั่งว่าเราไม่ได้อะไรจากการรีวิว และนี่เป็นรีวิวแรกของเราด้วยอาจมีผิดพลาดไปบ้างนะคะ
เราอยากให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสกับคาเฟ่นี้ และได้ไปฟังการพาชมนิทรรศการเราว่าทุกคนต้องได้อะไรกลับไปแน่ๆค่ะ ☺️ ขนาดเราไปครั้งแรกประทับใจมากเลย
สุดท้ายเราขอจบการรีวิวไว้เท่านี้นะคะ ส้วนตัวน่าจะไปอีกครั้งแน่นอนเพราะยังไม่ได้ไปอีก2ห้องที่เหลือเพราะหมดเวลาสะก่อน เอาไว้ถ้าเราได้ไปที่ไหนแล้วประทับใจจะมารีวิวกันอีกนะคะ
[CR] รีวิว Kid Mai Death Awareness Cafe คาเฟ่ธรรมย่านอารีย์
ด้วยความที่เราชอบคาเฟ่ดื่มเรื่อยๆ ถ่ายรูปชิวๆ เพื่อนเราเลยพาเรามาที่นี่ Kid Mai Death Awareness Cafe เดินทางง่ายสำหรับใครชอบเที่ยวตามแนวรถไฟฟ้าที่นีสะดวกมาก เพราะพอเราลงจากBTSอารีย์แล้วเดินตามแมพประมาณ 300-400 เมตรเองก็ถึงด้านหน้าแล้วค่ะ
ข้างหน้าทางเข้าจะเห็นป้ายใหญ่มาก แค่ป้ายเราก็ตื่นเต้นแล้ว กิ๊บเก๋สุดๆใครกลัวเดินเลย หาไม่เจอ หรือเดินไม่ถูกตัดปัญหาได้เลยค่ะเพราะคาเฟ่นี้อยู่ติดถนนเลย
ป้ายว่าตื่นเต้นแล้ว ทางเข้าตื่นเต้นกว่ามากเห็นปุ๊บร้องว้าวเลย คือเก๋ที่สุด ปริ่มมากกับอะไรแบบนี้ ทางเข้าข้างหน้าก็จะมีคำคม ข้อความต่างๆ ให้เราได้อ่านไปเรื่อยๆเลย เป็นอันว่าเรากับเพื่อนถ่ายรูปกันพักใหญ่ กว่าจะได้เข้าไปในร้าน
เข้ามาในร้านอันดับแรกเลยจะเจอเคาเตอร์ให้ซื้อเครื่องดื่ม พนักงานดูแลดี ใส่ใจบริการดีมาก ที่เราบอกเพราะเรางงอยู่นั่นเอง พี่เค้าเลยมาแนะนำเครื่องดื่มของทางร้าน ที่นี่มีเครื่องดื่ม 4 อย่าง คือเมนูเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ
เราชอบความมีสตอรี่ของแต่ละเมนู พี่เค้ามาอธิบายให้เราฟังทุกเมนูเลยว่าทำไมต้องทำเมนูแบบนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ แล้วแต่ละเมนูให้ลูกค้าเติมท๊อปปิ้งได้ที่ถาดที่จัดไว้ให้ เพื่อตกแต่งเองตามสไตล์ได้เลยเรากับเพื่อนเลือกเมนู เกิดกับเจ็บ เพราะตอนนั้นกินอะไรกันมาแน่นท้องมาก
นี่ค่ะหน้าตา 2 เมนูที่เรากับเพื่อนเลือกกิน เมนูเกิดจะออกรสเปรี้ยวสดชื่น เมนูเจ็บจะออกแนวเป็นขนมมี ใครชอบกินวิปปิ้งครีมเมนูนี้ตอบโจทย์มากเลย โดยรวม 2 เมนูนี้ถือว่าอร่อยค่ะ
ตั้งแต่เราเดินเข้ามาในร้านเราจะบอกว่าทุกมุมสามารถถ่ายรูปได้หมดเลย ใครสายอาร์ต สายดาร์ก สายชิล คือคิดมุมถ่ายรูปกันได้ตามชอบเลยค่ะ ส่วนเราที่เป็นสายถ่ายรูปแล้วที่นี่คือใช่มาก
ร้านนี้จะออกแนวนิทรรศการนะคะ ข้างในมีโซนแบ่งเป็นห้องๆ ชัดเจน คือ ห้องเกิด ห้องแก่ ห้องเจ็บ ห้องตาย ห้องอสุภะ และห้องราหุล รวมถึงโซนธรรมชาติให้เราได้ไปนั่งพักผ่อนด้วย
ตั้งแต่เราเดินเข้ามาในร้านเราจะบอกว่าทุกมุมสามารถถ่ายรูปได้หมดเลย ใครสายอาร์ต สายดาร์ก สายชิล คือคิดมุมถ่ายรูปกันได้ตามชอบเลยค่ะ ส่วนเราที่เป็นสายถ่ายรูปแล้วที่นี่คือใช่มาก
ตอนที่เราไปถึงเป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าๆ ซึ่งพี่พนักงาน (ไม่แน่ใจว่าใช่เจ้าของมั้ย) แจ้งว่าเดี๋ยวจะมีการพาเดินชมนิทรรศการของทุกๆห้อง ในเวลา 15.00 น. และ 17.00 น. ซึ่งเราทันรอบพาเดินชมพอดี เราไปทันข่วงบ่ายที่มีแค่2รอบ แต่ก่อนหน้านี้เราไม่ทราบนะคะว่ามีการพาเดินชมด้วยมั้ย
ห้องแรก "ห้องเกิด
ห้องนี้จะเป็นการจำลองตอนที่เราอยู่ในท้องแม่ว่าอึดอัดยังไง รู้สึกอย่างไรบ้าง ทางร้านก็จะทำเปลห้อยๆลงมาให้เราได้ไปลองนั่งดู เปลนี้รับน้ำหนักได้มากเป็นร้อยโลสบายใจเรื่องความปลอดภัยได้เลยค่ะ
เราเองก็ไม่พลาดจ้าไปลองนั่งมาบ้าง ปรากฎว่าติดจ้า อึดอัดไปหมด ด้วยความเราตัวโตด้วยมั้ง (อ้วนแหละ) เลยเงอะงะไปหมด สรุปกว่าจะออกมาได้ กว่าจะได้รูปสวยๆหมดพลังเหมือนกันกับห้องนี้
ห้องสอง "ห้องแก่"
ห้องนี้เป็นห้องที่เชื่อมกับห้องเกิด จะมีบันไดให้เราเดินขึ้นไปชั้นบน คล้ายๆชั้นลอย หรือชั้นดาดฟ้าประมาณนั้นค่ะ ชอบตั้งแต่ทางเดินเลย ถ่ายรูปได้อาร์ตมากเพราะแสงตรงนี้สวยค่ะ เดินขึ้นไปด้านบนจะเจอหุ่นจำลองคนแก่ยืนอยู่ จังหวะนี้แอบตกใจ😂
ตรงนี้เจ้าของมีความตั้งใจอยากให้เราได้จำลองเป็นคนแก่ค่ะ ข้างๆหุ่นจำลองนั้นจะมีตู้ใส่อุปกรณ์ให้เรานำมาสวมใส่ได้เพื่อจะได้รู้ว่าคนแก่ใช้ชีวิตยากยังไง สายตาเป็นยังไง โดยจะมีเส้นทำไว้ให้เราเดินตามนั้นเลยค่ะ เพื่อให้เราเข้าใจถึงความแก่นั้น
ส่วนบริเวณรอบๆจะมีเก้าอี้ให้เรานั่งได้ แต่กลางวันก็ร้อนมาก เราว่าถ้าช่วงเย็นๆตรงนี้คือเหมาะกับการพักผ่อนกินลมชมบรรยากาศ มองตึกเพลินๆเลย
ห้องสาม "ห้องเจ็บ"
ห้องนี้เป็นการจำลองสถานการณ์ตอนเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ห้องนี้จะมีเตียงคนไข้ รถเข็นคนไข้ อุปกรณ์ทำแผล เสาน้ำเกลือ ที่ถูกจำลองขึ้นมา พี่เค้าก็อธิบายให้ฟังถึงตอนที่เราป่วย เราต้องเสียอะไรบ้าง ทั้งเงินรักษาตัว เสียรายได้ ซึ่งทางร้านก็ได้มีซองจดหมายทำเป็นค่าใช้จ่ายให้เราเห็นด้วย
หลักๆของห้องนี้คือการทำอะไรต่างๆก็ตามด้วยความมีสติ ไม่ประมาท และเตรียมความพร้อมไว้เสมอ เพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ที่เรารู้สึกชอบมากคือพี่เค้าได้อธิบายเรื่องพินัยกรรมชีวิตไว้ด้วย
หลายๆคนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องพินัยกรรมชีวิต ซึ่งตัวเราเองสามารถทำไว้ใข้เมื่อเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยายาลได้ เราสามารถเลือกได้ว่าจะรับหรือไม่รับการรักษานั้นเช่น การปั๊มหัวใจ การเจาะคอ หรือหัตถการทางการแพทย์อื่นๆที่เราไม่อยากทำ แม้ครอบครัวเราอยากให้ทำก็ตาม ซึ่งพี่เค้าพูดอันนี้ขึ่นมาเราเห็นว่าเป็นประโยชน์มากๆ
ห้องสี่ "ห้องตาย"
มาถึงห้องไฮไลท์ของที่นี่ค่ะ ห้องนี้จะจำลองสถานการณ์สวดศพ โลงขนาดเท่าของจริง คล้ายๆอยู่ศาลาวัดไปเลย แล้วก็มีเสียงพระสวดตลอดเวลา พี่เค้าอธิบายถึงว่าตอนมีชีวิตอยู่ให้เรามีสติ อยากทำอะไรให้รีบทำ เพราะไม่รู้ว่าวันต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง (พี่เค้าพูดดีมาก)
ห้องนี้เราสามารถไปลองนอนในโลงศพได้นะคะ แต่ค้องแจ้งพี่ให้พี่เจ้าหน้าที่มาอยู่ด้วย เพราะเค้าพูดว่า "ถ้าจะนอนบอกก่อนนะคะ เดี๋ยวตายจริง" เราเองไม่กล้าอยู่แล้ว เลยทำให้มั่นใจว่าจะไม่ลงแน่นอน😂😂😂
แต่การนอนในโลงพี่เค้าก็อธิบายว่าทำให้เราใช้ชีวิตไม่ประมาทมากขึ้น เหมือนลองตายก่อนตายจริง ส่วนมากคนที่มานี่ก็อยากลองกัน แต่ยกเว้นเราแหละค่ะไม่ไหวจริงๆ
ด้านหลังห้องนี้จะมีมุมให้เราถ่ายรูปด้วย ดีไซน์ท่าทางกันได้เลย ส่วนผนังจะมีข้อความต่างๆที่มีคนเขียนไว้ ไปอ่านๆดูก็น่ารักดีค่ะ
นอกจากสี่ห้องหลักๆแล้ว ยังมีห้องอสุภะ ที่เกี่ยวกับการพิจารณาศพ และ ห้องราหุลที่จำลองเหมือนกรงด้วยค่ะ แต่เราไม่ได้ไป2ห้องนี้ เลยได้มาแค่ด้านหน้าของห้องราหุลเท่านั้น
รอบๆบริเวณก็จะมีมุมให้เราได้ถ่ายรูปมากมายเลยค่ะ รวมถึงมีข้อความให้เราได้อ่าน ได้คิด หรือเป็นสื่อความรู้ติดผนังไว้ด้วย
เดินเข้าไปด้านหลังจะมีสวนธรรมชาติให้เราได้ไปนั่งเล่นด้วย เข้าไปด้านในก็จะมีหลุมหลบภัยของจริงสมัยสงครามโลก ที่มีป้ายติดไว้ แต่ไม่ได้ให้เราเข้าไปในหลุมนะคะ แล้วจ้างๆกันก็มีศาลาสำหรับให้พระธุดงค์ได้มาปฏิบัติด้วย เดินเข้าไปจะเจอผนังที่เป็นรูปพระใหญ่มาก ถ้าใครชอบแนวธรรมชาติ ธรรมะ ตรงนี้คือตอบโจทย์ค่ะ
ตอนแรกเราว่าจะอยู่ที่นี่สักสองชั่วโมง สรุปว่าอยู่ที่นี่ไปเกินสามชั่งโมงค่ะ เพราะถ่ายรูปเพลินมากจริงๆ เกือบทันพี่เค้าพาชมรอบ 17.00 น.เลลยแหละค่ะ
เอาละค่ะมาถึงสุดท้ายของการรีวิวแล้ว เราขอย้ำอีกครั่งว่าเราไม่ได้อะไรจากการรีวิว และนี่เป็นรีวิวแรกของเราด้วยอาจมีผิดพลาดไปบ้างนะคะ
เราอยากให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสกับคาเฟ่นี้ และได้ไปฟังการพาชมนิทรรศการเราว่าทุกคนต้องได้อะไรกลับไปแน่ๆค่ะ ☺️ ขนาดเราไปครั้งแรกประทับใจมากเลย
สุดท้ายเราขอจบการรีวิวไว้เท่านี้นะคะ ส้วนตัวน่าจะไปอีกครั้งแน่นอนเพราะยังไม่ได้ไปอีก2ห้องที่เหลือเพราะหมดเวลาสะก่อน เอาไว้ถ้าเราได้ไปที่ไหนแล้วประทับใจจะมารีวิวกันอีกนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้