สุสานในอวกาศ

สุสานบนดวงจันทร์



(ดวงจันทร์​ ที่พักผ่อนสุดท้ายของชายที่รักดวงจันทร์มากกว่าใครบนโลก ที่มา – NASA)

ในปี 2015 ยาน New Horizons ได้นำเอาเถ้ากระดูกของ Clyde Tombaugh นักดาราศาสตร์ผู้คนพบดาวพลูโต ได้เดินทางเฉียดดาวพลูโต ทำให้ Tombaugh ได้เข้าใกล้กับดวงดาวที่เขาทุ่มเทให้มาเกือบทั้งชีวิต ปัจจุบัน Tombaugh กำลังเดินทางออกนอกระบบสุริยะ นับเป็นชิ้นส่วนร่างกายของมนุษย์คนแรกที่เดินทางออกไปไกลที่สุดกว่ามนุษย์คนใดในประวัติศาสตร์ 

ยังมีอีกหนึ่งคนคือ Eugene Shoemaker เป็นนักดาราศาสตร์ นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้ที่ค้นพบดาวหาง Shoemaker–Levy 9 ซึ่งตั้งตามชื่อของเขา แต่เรื่องราวความผูกพันธ์ของเขากับดวงจันทร์เริ่มต้นเมื่อเขาได้ร่วมเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ทีมผู้สร้างยานชุด Ranger ที่ทยอยไปสำรวจดวงจันทร์ ในช่วงปี 1961 – 1965
Shoemaker ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ที่จะได้ไปเหยียบดวงจันทร์ในภารกิจ Apollo และเขาจะกลายเป็นนักธรณีวิทยาคนแรกที่ได้ไปสำรวจดวงจันทร์ แต่เขาพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคแอดดิสัน ซึ่งเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของต่อมหมวกไต จึงไม่สามารถไปดวงจันทร์ได้ ต่อมาในปี 1997 ก็เสียชีวิตจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์​ขณะเดินทางไปทำงานที่ออสเตรเลีย 



(แสงของดาวหาง Hale Bopp ที่ทอดผ่านฟ้า ที่มา – NASA/JPL)

ในคืนที่เขาเสียชีวิต คือคืนที่ดาวหาง Hale-Bopp ปรากฏให้เห็นด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน หางของดาวหางทอดผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและHale-Bopp คือวัตถุทางดาราศาสตร์ชิ้นสุดท้ายที่เขาทำการศึกษาอยู่   เถ้ากระดูของเขาถูกส่งขึ้นไปบนดวงจันทร์ไปพร้อมกับยาน Lunar Prospector โดยห่อไว้ในรูปของดาวหาง Hale-Bopp พร้อมกับคำจากวรรณกรรม Romeo and Juliet

สุสานของเขาอยู่ห่างออกไปเกือบสี่แสนกิโลเมตร Shoemaker เป็นเพียงมนุษย์หนึ่งเดียว ที่เถ้ากระดูของเขาถูกส่งขึ้นไปบนดวงจันทร์  
อ้างอิง
Eugene Shoemaker (1928-1997) – NASA/JPL
Eugene M. Shoemaker – National Academy of Sciences
เรียบเรียงโดย ทีมงาน SPACETH.CO
Cr. https://spaceth.co/moon-cemetery/  By Nutn0n

สุสานวัตถุอวกาศ


("ขั้วมหาสมุทรที่เข้าไม่ถึง" (Oceanic pole of inaccessibility) ตั้งอยู่ระหว่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอเมริกาใต้)

ตามปกติแล้วจุดที่ดาวเทียมและสถานีอวกาศถูกบังคับให้ตกลงบนพื้นโลก จะต้องเป็นสถานที่ห่างไกลที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ รวมทั้งเข้าถึงหรือสัญจรผ่านไปมาได้ยาก ซึ่งก็เป็นที่สนใจของบรรดานักสำรวจหรือนักผจญภัยที่ต้องการเข้าไปพิชิตสถานที่ที่แทบไม่มีมนุษย์เหยียบย่างเข้าไปถึงมาก่อนด้วย

หนึ่งในบรรดาสถานที่ห่างไกลไร้ผู้คนที่ถูกใช้เป็นสุสานวัตถุอวกาศได้แก่ "ขั้วที่เข้าไม่ถึง" (Poles of inaccessibility) ซึ่งเป็นจุดห่างไกลที่สุด 2 แห่งทั้งบนบกและในมหาสมุทร โดยจุดบนพื้นทวีปที่อยู่ห่างไกลมหาสมุทรที่สุดในโลกเรียกว่า "ขั้วทวีปที่เข้าไม่ถึง" (Continental pole of inaccessibility) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จุดนีโม” ( Point of Nemo ) เพื่อเป็นเกียรติแก่ “กัปตันนีโม” ผู้บังคับการเรือดำน้ำจากนิยายเรื่อง “ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์” ( Twenty Thousand Leagues Under the Sea ) ของจูลส์ เวิร์น

จุดนีโมเป็นพื้นที่หนึ่งทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเมื่อวัดระยะโดยรอบในรัศมี 360 องศา พบว่าอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ที่สุดในทุกทิศทาง โดยผืนดินที่อยู่ใกล้กับจุดนีโมที่สุดคือ หมู่เกาะพิตแคร์น ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ห่างขึ้นไปทางทิศเหนือ 2,688 กิโลเมตรข้อมูลขององค์การอวกาศยุโรป ( อีเอสเอ ) ระบุว่าจุดนีโม ซึ่งเป็นภาษาละตินหมายความว่า “ไม่มีผู้ใด” คือพื้นที่ซึ่งหน่วยงานด้านอวกาศทุกแห่งบนโลกมีความเห็นตรงกันว่า เป็นบริเวณเหมาะสมที่สุดสำหรับ “การลงจอดครั้งสุดท้าย” ของสถานีอวกาศ

ส่วนจุดที่อยู่ห่างไกลพื้นทวีปมากที่สุดในมหาสมุทร หรือ "ขั้วมหาสมุทรที่เข้าไม่ถึง" (Oceanic pole of inaccessibility)ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ห่างจากหมู่เกาะพิตแคร์นไป 2,700 กิโลเมตร โดยจุดนี้ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นดินของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอเมริกาใต้

ดาวเทียมและสถานีอวกาศที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเผาไหม้ชิ้นส่วนจนหมดไปในชั้นบรรยากาศโลกได้ จะถูกบังคับให้ตกลงในบริเวณ "ขั้วมหาสมุทรที่เข้าไม่ถึง" นี้เป็นส่วนมาก โดยซากชิ้นส่วนอาจกระจายแผ่ไปในบริเวณกว้างราว 1,500 ตารางกิโลเมตรและจมลงสู่ก้นมหาสมุทร
 ซึ่งล่าสุดสามารถนับได้ว่ามีชิ้นส่วนของดาวเทียมราว 260 ดวงที่ส่วนใหญ่เป็นของรัสเซียจมอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งรวมถึงซากของสถานีอวกาศเมียร์ (Mir) ขนาด 120 ตัน ที่ปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อปี 1986 ก่อนจะตกกลับสู่โลกเมื่อปี 2001 ด้วย



“ สถานีอวกาศและดาวเทียมส่วนใหญ่จะถูกเผาไหม้ในช่วงที่ร่วงหล่นมา ตัวอย่างเช่นจากสถานีอวกาศ Mir ที่มีขนาด 143 ตันหลังจากผ่านชั้นบรรยากาศทั้งหมดจะเหลือเพียง 20 ตัน”

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ได้รับอันตรายจากการตกกลับของซากดาวเทียมและสถานีอวกาศในท้องทะเลบริเวณนี้ เนื่องจากกระแสน้ำที่พัดพาสารอาหารในมหาสมุทรไม่ไหลผ่านบริเวณดังกล่าว ทำให้ขาดความอุดมสมบูรณ์และมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่น้อยมาก ซึ่งพลอยทำให้ไม่มีการทำประมงไปด้วย ในอีก 10 ปีข้างหน้า สถานีอวกาศนานาชาติขนาด 450 ตันซึ่งปลดประจำการแล้ว ก็จะฝังร่างลงในท้องมหาสมุทรแถบนี้เช่นกัน
Cr.https://www.bbc.com/thai/international-41705018 /  By BBC NEWS ไทย
Cr.https://kerchtt.ru/th/kladbishche-kosmicheskih-korablei-kuda-padaet-ves-kosmicheskii/

“สุสานดาวเทียม” Graveyard Orbit 


เป็นวงโคจรสุสานสำหรับให้ดาวเทียมที่กำลังจะสิ้นสุดภารกิจมา 'ตาย' อยู่ตรงนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขยะอวกาศ และทำให้การจราจรบนอวกาศเกิดปัญหาติดขัด
Graveyard Orbit นั้นต้องอยู่สูงขึ้นไปจากวงโคจรค้างฟ้า หรือ Geostationary Orbit อยู่ราว ๆ 300 กิโลเมตร ซึ่งนั่นคือเหนือจากทุกวงโคจรที่บรรดาดาวเทียมที่โคจรรอบโลกกำลังปฏิบัติงานอยู่ ทำให้ไม่ไปรบกวนหรือก่อให้เกิดขยะอวกาศเพิ่มมากขึ้นได้

จริงอยู่ที่เราสามารถนำดาวเทียมลงมาเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศโลก หรือหากมีขนาดที่ใหญ่เกินกว่าจะเผาไหม้ได้หมด ก็สามารถถูกนำมาทิ้งไว้ในสุสานใต้ท้องทะเล ที่บริเวณใต้มหาสมุทรแปซิฟิกได้เช่นกัน แต่เชื้อเพลิงที่ต้องใช้ในการเปลี่ยนวงโคจรจากวงโคจรค้างฟ้า เพื่อมาเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศของโลกนั้นสูงกว่ามาก เมื่อเทียบกับยกระดับขึ้นไป Graveyard Orbit

ทาง FCC ของสหรัฐ ได้ออกเงื่อนไขมาให้กับบริษัทผู้ให้บริการดาวเทียมสื่อสารทุกราย ว่าถ้าหากต้องการใบอนุญาตให้บริการในวงโคจรค้างฟ้า ก็จำเป็นที่จะต้องนำดาวเทียมขึ้นไปไว้ในวงโคจร Graveyard Orbit เมื่อสิ้นสุดภารกิจเช่นกัน เพื่อช่วยลดความหนาแน่นในพื้นที่วงโคจรที่ยังใช้การได้

ในขณะเดียวกันที่บริเวณ Low Earth Orbit นั้นก็กำลังหนาแน่นไปด้วยดาวเทียมเล็กใหญ่มากมาย ทำให้หลาย ๆ หน่วยงานร่วมกันสร้างอีกหนึ่งวงโคจรขึ้นมา ชื่อว่า Disposal Orbit ซึ่งอยู่ใกล้โลกมาพอที่แรงต้านจากชั้นบรรยากาศจะทำให้ดาวเทียมถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศราว 1 ปีหลังจากสิ้นสุดภารกิจ

ทั้งนี้ในปัจจุบันก็มีหน่วยงานต่าง ๆ พัฒนาดาวเทียมขึ้นไปเก็บกู้ขยะอวกาศ และดาวเทียมที่ใช้งานไม่ได้แล้ว เพื่อทำให้พื้นที่บนนั้นสะอาดและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องหอบลงมาทำเป็นปะการังแต่อย่างใด
Cr.https://zh-cn.facebook.com/spaceth/posts/843706656013829  / By Spaceth.co

'ปล้นสุสานอวกาศ' งานวิจัยใหม่จากเพนตากอน


เพนตากอนเคยนำเสนอแผนเก็บกู้ขยะอวกาศที่ยังใช้การได้ มาประกอบใหม่เป็นดาวเทียมขนาดเล็ก เพื่อลดต้นทุนในการสร้างของใหม่ แต่คนวงในล้อเลียนกันว่าเป็น  "โครงการปล้นสุสานในอวกาศ"

หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ "โครงการฟีนิกซ์" ของหน่วยวิจัยกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เป็นโครงการเก็บกู้ขยะอวกาศที่ยังมีสภาพดีเช่น เสาอากาศ แผงเซลล์สุริยะจากดาวเทียมสื่อสารที่หมดอายุการใช้งาน นำมารีไซเคิลใหม่ให้เป็นดาวเทียมขนาดเล็กเพื่อลดต้นทุนในการสร้างของใหม่

โดยองค์การโครงการวิจัยกลาโหมชั้นสูงหรือดาร์ปา จะใช้เงินราว 5,360 ล้านบาทในการทดสอบเทคโนโลยีนี้ ทางองค์การจะทำสัญญาว่าจ้างบริษัทหลายแห่งเพื่อทำการพัฒนาแนวคิดใหม่นี้  สำหรับแนวคิดหลักคือ ส่งหุ่นยนต์ช่างพร้อมเครื่องมือขึ้นไปยังดาวเทียมที่ปลดระวางแล้ว จากนั้นเจ้าหุ่นยนต์จะถอดชิ้นส่วนออก ขณะเดียวกันจะมีการส่งดาวเทียมขนาดเล็กขึ้นไปด้วย หุ่นยนต์จะนำดาวเทียมเล็กกับชิ้นส่วนของดาวเทียมเก่าประกอบเข้าด้วยกัน กลายเป็นดาวเทียมสื่อสารดวงใหม่

ด้านนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โจนาธาน แม็กดูเวลล์ บอกว่า เทคโนโลยีแบบนี้จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แม้ในระยะสั้นจะถือเป็นการลงทุนที่แพงกว่าการผลิตเสาอากาศใหม่ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ท้าทายคือ การแยกเสาอากาศจากดาวเทียมเก่าโดยไม่ทำให้เกิดการแตกหักเสียหาย และการประกอบดาวเทียมขึ้นใหม่.
ที่มา http://news.voicetv.co.th/  Daily Mail
Cr.https://variety.thaiza.com/interest/261626/ โดย วาไรตี้ ไทยซ่า เรียบเรียง

ถ้านักบินอวกาศเสียชีวิตบนอวกาศ


หากนักบินอวกาศโชคร้ายเสียชีวิตกลางอวกาศ องค์การนาซ่าจะทำอย่างไร? ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่เคยมีเหตุโศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ทางนาซ่าก็ได้คิดเตรียมแผนการเพื่อจัดการเมื่อเกิดเหตุนี้แล้ว
 
ทุกคนอาจจะเดาว่ามีวิธีจัดการ อย่างเช่น นำศพไปใส่ไว้ในตู้ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเพื่อนนักบินอวกาศคนอื่นๆ   หรือว่าจะติดตั้งสุสานไว้ภายในยานอวกาศ แต่ถ้าทำอย่างนั้นงบประมาณคงบานปลายอีกเยอะแน่
บางคนอาจคิดว่าจะใช้วิธีทิ้งศพออกไปในอวกาศ ซึ่งทำไม่ได้แน่นอน เพราะองค์การสหประชาชาติมีกฎว่าห้ามทิ้งขยะในอวกาศ เพราะอาจจะลอยไปปะทะกับวัตถุอื่นในอวกาศได้ 
 
ดังนั้นทางออกที่น่าสนใจที่ NASA พยายามคิดค้นขึ้นก็คือ “Body Back” โดยมันมีหน้าตาคล้ายกับถุงนอน ศพของนักบินอวกาศจะถูกบรรจุลงในถุงพิเศษนี้และทำการแช่แข็ง ซึ่งอุณหภูมิเยือกเย็นผิดธรรมชาตินอกอวกาศจะทำให้เกิดสภาวะแช่แข็ง จากนั้นก็จะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนทุกสิ่งแตกละเอียด เหลือเพียงเถ้ากระดูกที่จะส่งกลับบ้าน และอาจนำกลับไปใช้ประกอบพิธีเมื่อถึงโลกได้  และนี่เป็นวิธีจัดการที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปในปัจจุบัน
ขอบคุณภาพจาก https://board.postjung.com/
ที่มา : Businessinsider, meekhao.com
Cr.https://th.toluna.com/opinions/2337962/รู้มั้ย...เมื่อนักบินอวกาศตายนอกโลก
Cr.http://www.liekr.com/post_138524.html
 

 ขอขอบคุณที่มาข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่