สวัสดีค่ะ
เฮมิสถูกกล่าวหาปลุกศพขึ้นมา ส่วนเขาจะใช่นักปลุกชีพจริงๆ หรือไม่ ไปติดตามกันเลยค่ะ
ความเดิม
บทนำ - บทที่ ๑:
https://pantip.com/topic/39574119
บทที่ ๓:
https://pantip.com/topic/39596326
###
บทที่ ๔
เฮมิสก้าวออกจากศาลกลาง
ดาเรนยอมให้เวลาเขาสามวันเพื่อตามหาหลักฐานมาแก้ต่าง แต่เขารู้ว่าตนเองไม่มีหลักฐาน ดังนั้นทางเลือกอีกทางก็คือหาตัวคนทำออกมาให้ได้
เฮมิสเดินไปบนถนนมุ่งสู่ทิศใต้ เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แดดเริ่มร้อนแล้ว เขาไม่ควรเถลไถลอยู่นาน แต่เขาก็ไม่ต้องการเร่งฝีเท้าให้เป็นจุดสนใจมากจนเกินไป
ระหว่างที่กำลังเดินไปตามถนน เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกันอยู่กลางตลาด
“ข้าเห็นมากับตา มันสวมเกราะเหล็กทั้งตัว แต่ไม่มีหัว” ได้ยินชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นยามที่เขาเดินเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้น “มันถือดาบด้วย พอลุกขึ้นมาจากหลุมได้แล้วมันก็ไล่ฟันสะเปะสะปะ ข้าต้องวิ่งหนีแทบเอาชีวิตไม่รอด”
เฮมิสมองเข้าไปในกลุ่มคน เห็นชายกลางคนร่างเล็กศีรษะล้านกำลังเล่าเรื่องพร้อมแสดงท่าทางประกอบอยู่กลางกลุ่มคนนั้น ดวงตาที่เบิกโตด้วยความตื่นเต้นนั้นลึกโหลและแดงซ่าน คล้ายคนนอนไม่เต็มตื่นมาหลายวัน
“แล้วเจ้าเห็นนักปลุกชีพหรือไม่” ใครคนหนึ่งในจำนวนผู้ฟังนั้นถามขึ้น
“ข้าเห็น…” ชายศีรษะล้านว่า “แต่เห็นเพียงด้านหลัง เขาเป็นชายร่างสูงโปร่ง ผมสีเงินยาว”
ฟังถึงตรงนี้แล้วดวงตาสีเงินพลันหรี่ลง ทว่ายังคงยืนฟังต่อไป
“ข้าเห็นเขาอยู่ในวงพิธี ใช่แล้ว มีวงพิธีด้วย ข้าเห็นมีทั้งเทียนทั้งหัวกะโหลกวางอยู่รอบตัวเขาเต็มไปหมด”
ฟังถึงตรงนี้แล้วชายผมเงินก็เบือนหน้าผละจากมา ...สิ่งที่ชายศีรษะล้านนั้นกล่าวเป็นความจริงสักเท่าไรกัน อย่างน้อยการปลุกชีพก็ไม่มีวงพิธี ไม่ต้องใช้เทียนและหัวกะโหลก ยกเว้นแต่จะเป็นการแสดงเท่านั้น
ขณะที่กำลังก้าวออกจากลุ่มคนนั้นเอง เขาก็หันไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในที่ห่างออกไป ท่าทางกำลังตั้งใจฟังชายศีรษะล้านนั้นด้วยเช่นกัน ทว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเจือแววโศกนั้นกลับไม่ได้ดูกระตือรือร้นสนใจเหมือนคนอื่น แต่คล้ายกำลังจับผิด คล้ายมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่
เด็กคนนั้นยืนอยู่หน้าร้านหนังสือ เขาสวมเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงสีน้ำตาลที่มีสายโยงขึ้นเหนือบ่า สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนปักชื่อร้านไว้อีกชั้น คาดว่าคงทำงานอยู่ในร้านหนังสือนั้นนั่นเอง
ทว่ายามเด็กนั่นเหลือบมาเห็นเขาแล้วก็กลับหันหลังเร่งเดินหนีไปเสีย แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นจากสายตา เสียงใครคนหนึ่งพลันตะโกนรั้งเด็กนั้นไว้
“เบเร็ธ!” เฮมิสหันไปทางต้นเสียงก็เห็นเด็กหนุ่มอีกคนวิ่งตัดหน้าเขาไป จำได้ว่าเด็กคนนี้คือลูกค้าที่มาซื้อเครื่องรางกับเขาเมื่อวานนั่นเอง
“มิล รอด้วยสิโว้ย!” ได้ยินใครอีกคนตะโกนไล่หลังคนแรกมา
“เจ้าต้องวิ่งให้เร็วกว่านี้ คีแซ็ค” คนที่ชื่อมิลตะโกนกลับไปในระหว่างชลอฝีเท้ารอเพื่อน จากนั้นจึงหันหลังกลับ วิ่งไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถลันถึงตัวเป้าหมาย
“เบเร็ธ” ได้ยินมิลตะโกนแข่งกับเสียงผู้คนรอบข้าง “ร้านขายอุปกรณ์เวทมนต์ที่เจ้าแนะนำไปเมื่อวานนี้มีเครื่องรางหลายแบบอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ ด้วย” มิลว่าพร้อมกับดึงเอาหินสีเขียวซึ่งห้อยอยู่ที่คอให้เพื่อนดู “ข้าเองก็ซื้อมีชิ้นหนึ่ง”
เบเร็ธเห็นเครื่องรางนั้นแล้วก็ก้มหน้าเม้มปาก ซ่อนสีหน้าของตนไว้ มิลจึงไม่ทันสังเกต ประจวบกับพอดีตอนนั้นคีแซ็ควิ่งตามมาถึง คนตัวโตกว่าหอบหายใจครู่หนึ่ง พอปรับลมหายใจได้แล้วจึงค่อยยกแขนชูเชือกหนังสีดำซึ่งผูกห้อยอยู่ที่ข้อมือขึ้นบ้าง
“ข้าเองก็ซื้อมาเหมือนกัน” คีแซ็คบอก เบเร็ธฟังแล้วก็ยิ้มตอบนิดหนึ่ง…หรือบางทีอาจจะไม่ใช่รอยยิ้ม เป็นเพียงแค่การเหยียดมุมปากเท่านั้น
พวกเขาพูดคุยกันอีกเล็กน้อยโดยที่เบเร็ธแทบไม่ได้เอ่ยอะไรเลย จากนั้นมิลกับคีแซ็คจึงกึ่งดันกึ่งลากเบเร็ธเข้าไปในร้านหนังสือนั่นเอง
---
เฮมิสเดินต่อมาอีกครู่ใหญ่
ครั้นถึงที่ร้านแล้วเขาก็ปิดประตูลงกลอน จากนั้นจึงหันไปจุดตะเกียง แล้วแหงนหน้ามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นแมลงวันเขาก็ถือตะเกียงเดินไปทางหลังร้าน ก้าวไปตรงหน้าทางลงห้องใต้ดิน
แสงสีเขียวยังลอดออกมาจากห้องใต้ดิน เขาก้มกายวางตะเกียงไว้ด้านข้าง ยื่นมือดึงประตูขึ้น แล้วจึงคว้าตะเกียงก้าวลงบันไดไป
เหนือกล่องไม้คล้ายโลงศพทั้งสองใบมีแสงสีเขียวเรือง เขาแขวนตะเกียงไว้ที่ผนังด้านหนึ่ง แล้วยกแขนขวาลากไปด้านข้าง พลันฝาโลงทั้งสองก็เลื่อนเปิดออก
ข้างในนั้นเป็นศพจริงๆ หนึ่งเป็นโครงกระดูกขาวโพลน ดูจากลักษณะแล้วเป็นคนร่างใหญ่ กระดูกเชิงกรานบ่งบอกว่าเป็นเพศชาย
ส่วนอีกศพนั้นเป็นเด็ก ยังคงมีเนื้อหนังติดอยู่ตามร่างกาย ลูกตาที่เหลือเพียงข้างเดียวห้อยอยู่ข้างศีรษะซึ่งยังมีเนื้อแดงคลุมอยู่ คาดว่ากลิ่นเหม็นเน่าที่ล่อแมลงวันมาเมื่อเช้าคงโชยมาจากศพนี้นั่นเอง
เฮมิสยกแขนขวางออกไปด้านหน้าอีก เขาทำท่าจะโบกแขนนั้นขึ้นแต่แล้วก็กลับชะงักไว้
ทั้งสายตาและแขนของเขาค่อยๆ ลดแขนลงที่ข้างตัว พลางกำมือเข้าหากันจนเป็นหมัด
เขาไม่แน่ใจว่าตนเองทำถูกหรือไม่ เขาเพิ่งบอกกับดาเรนไปว่าไม่รู้จักศาสตร์ปลุกชีพ แต่เขากลับกำลังจะปลุกศพขึ้นมาอีก
เฮมิสเงยหน้าขึ้น ทอดตามองไปยังโลงศพทั้งสองอีกครั้ง
ก่อนหน้าที่เขาจะปักหลักในเมืองซาเรอุส เขาเดินทางโดยไร้จุดหมาย ระหว่างนั้นเขาก็พบศพเด็กผู้หนึ่งในราวป่า ห่างจากเมืองซาเรอุสนี้ไปราววันครึ่งโดยรถม้า ศพนั้นถูกทิ้งไว้ในพงหญ้าข้างทาง ปล่อยให้หมู่สัตว์กัดกิน มีหนอนชอนไช
เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นตายได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงถูกทิ้งให้มีสภาพน่าสังเวชอยู่เช่นนั้น แต่หากให้เดาเขาก็คิดว่าคงเป็นฝีมือของโจรป่ากระมัง
ตอนนั้นเขายังไม่คิดจะเปิดร้าน ไม่คิดหาผู้ช่วย ไม่มีแม้แต่เป้าหมายในการเดินทาง ดังนั้นเขาจึงเพียงขุดหลุมฝังศพเด็กไว้ในบริเวณนั้นเอง
ครั้นเดินทางมาถึงเมืองซาเรอุส พักแรมอยู่ในเมืองนี้ได้สักพัก เขาจึงเริ่มมีความคิดอยากจะปักหลักทำมาหากิน เปิดร้านขายของให้เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งสำหรับคนอย่างเขา คงไม่มีของอะไรที่พอจะขายได้มากไปว่าอุปกรณ์เวทมนต์
และเมื่อคิดจะเปิดร้าน เขาจึงต้องหาผู้ช่วย แต่หากเขาจ้างคนเป็น ความลับของเขาก็อาจรั่วไหลได้ ดังนั้นเขาจึงมีความคิดจะใช้คนตาย
เขานึกถึงศพเด็กนั้นเป็นคนแรกจึงถามรูห์ว่าวิญญาณเด็กอยู่ที่ใด ครั้นปิศาจกึ่งศพยืนยันว่าวิญญาณเด็กไปปรโลกแล้วเขาจึงกลับไปค้นหาหลุมศพนั้น ยามพบแล้วก็ขุดหลุมปลุกศพขึ้นมา และเรียกเด็กนั้นว่าจิฟา
ทว่าจิฟาหาใช่แค่เพียงผู้ช่วยของเขาอย่างเดียว เขายังฝากของสำคัญไว้กับเด็กชายผู้นี้อีกด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นเฮมิสก็มีความคิดว่าต้องหาผู้ช่วยอีกสักคนเพื่อมายกขนสินค้า ดังนั้นเขาจึงออกไปยังสุสานนอกเมือง เลือกศพเก่าที่มีอายุเกินร้อยปี เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีญาติจดจำได้ เขาพบศพนั้นดังว่า พอปลุกขึ้นมาแล้วก็เรียกว่าจูธา
ทั้งจูธาและจิฟาเป็นศพไร้วิญญาณ ดังนั้นยามถูกปลุกขึ้นมาแล้ว พวกเขาจึงมีลักษณะคล้ายหุ่น ไร้ความคิด ไร้ความรู้สึก รู้แต่เพียงทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น
ดวงตาสีเงินลดลงมองที่มือของตนอีกครั้ง ลูกค้าที่มาในร้านเขาเคยพบจูธาและจิฟาแล้ว หากเขาไม่ปลุกผู้ช่วยทั้งสองขึ้นมา คนอื่นก็อาจสงสัยและถามหา ซึ่งเขาคงไม่มีคำตอบให้คนเหล่านั้น
คิดได้ดังนี้แล้วเฮมิสจึงตัดสินใจยื่นแขนออกไป
…เขาไม่ได้ปลุกศพขึ้นมาเพื่อทำร้ายใคร เขาเพียงต้องการผู้ช่วย ไม่ได้ทำอะไรผิด
ครั้นแล้วมือของเขาก็โบกลง ฉับพลันศพทั้งสองก็เริ่มขยับ พวกเขาลุกยืนขึ้น แต่ยังไม่ก้าวออกจากโลง
นักปลุกชีพหลับตา วาดมือทั้งสองออกไปด้านข้าง พลันร่างศพทั้งสองก็ปรากฏเนื้อหนังขึ้นทีละน้อยจนเต็มทั่วร่างกาย
ระหว่างนั้น เปลือกตาของเฮมิสก็บีบเข้าหากัน หัวคิ้วของเขาขมวดจนเห็นเป็นรอยย่น
…การปลุกศพต้องใช้พลัง แต่การทำให้ศพมีเนื้อหนักสมบูรณ์เฉกเช่นในยามมีชีวิตยิ่งต้องอาศัยพลังมากกว่าเป็นทวีคูณ
เฮมิสค่อยๆ ลืมตามองไปยังผู้ช่วยทั้งสอง พวกเขามีสภาพไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป สีหน้าอาจจะเฉยไปบ้าง ดวงตาไร้ความรู้สึก แต่หากไม่มีใครพูดคุยกับพวกเขาก็ไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่าสงสัย
ดวงตาสีเงินมีแววอ่อนลงยามมองพวกเขา จากนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก
“เอาล่ะ ไปทำงานกันเถอะ” เขาว่า แล้วจึงเดินนำผู้ช่วยทั้งสองเดินขึ้นบันไดไป
###
พบกันใหม่วันอังคารหน้าค่ะ
Back from the Dead บทที่ ๔
เฮมิสถูกกล่าวหาปลุกศพขึ้นมา ส่วนเขาจะใช่นักปลุกชีพจริงๆ หรือไม่ ไปติดตามกันเลยค่ะ
ความเดิม
บทนำ - บทที่ ๑: https://pantip.com/topic/39574119
บทที่ ๓: https://pantip.com/topic/39596326
###
บทที่ ๔
เฮมิสก้าวออกจากศาลกลาง
ดาเรนยอมให้เวลาเขาสามวันเพื่อตามหาหลักฐานมาแก้ต่าง แต่เขารู้ว่าตนเองไม่มีหลักฐาน ดังนั้นทางเลือกอีกทางก็คือหาตัวคนทำออกมาให้ได้
เฮมิสเดินไปบนถนนมุ่งสู่ทิศใต้ เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แดดเริ่มร้อนแล้ว เขาไม่ควรเถลไถลอยู่นาน แต่เขาก็ไม่ต้องการเร่งฝีเท้าให้เป็นจุดสนใจมากจนเกินไป
ระหว่างที่กำลังเดินไปตามถนน เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกันอยู่กลางตลาด
“ข้าเห็นมากับตา มันสวมเกราะเหล็กทั้งตัว แต่ไม่มีหัว” ได้ยินชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นยามที่เขาเดินเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้น “มันถือดาบด้วย พอลุกขึ้นมาจากหลุมได้แล้วมันก็ไล่ฟันสะเปะสะปะ ข้าต้องวิ่งหนีแทบเอาชีวิตไม่รอด”
เฮมิสมองเข้าไปในกลุ่มคน เห็นชายกลางคนร่างเล็กศีรษะล้านกำลังเล่าเรื่องพร้อมแสดงท่าทางประกอบอยู่กลางกลุ่มคนนั้น ดวงตาที่เบิกโตด้วยความตื่นเต้นนั้นลึกโหลและแดงซ่าน คล้ายคนนอนไม่เต็มตื่นมาหลายวัน
“แล้วเจ้าเห็นนักปลุกชีพหรือไม่” ใครคนหนึ่งในจำนวนผู้ฟังนั้นถามขึ้น
“ข้าเห็น…” ชายศีรษะล้านว่า “แต่เห็นเพียงด้านหลัง เขาเป็นชายร่างสูงโปร่ง ผมสีเงินยาว”
ฟังถึงตรงนี้แล้วดวงตาสีเงินพลันหรี่ลง ทว่ายังคงยืนฟังต่อไป
“ข้าเห็นเขาอยู่ในวงพิธี ใช่แล้ว มีวงพิธีด้วย ข้าเห็นมีทั้งเทียนทั้งหัวกะโหลกวางอยู่รอบตัวเขาเต็มไปหมด”
ฟังถึงตรงนี้แล้วชายผมเงินก็เบือนหน้าผละจากมา ...สิ่งที่ชายศีรษะล้านนั้นกล่าวเป็นความจริงสักเท่าไรกัน อย่างน้อยการปลุกชีพก็ไม่มีวงพิธี ไม่ต้องใช้เทียนและหัวกะโหลก ยกเว้นแต่จะเป็นการแสดงเท่านั้น
ขณะที่กำลังก้าวออกจากลุ่มคนนั้นเอง เขาก็หันไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในที่ห่างออกไป ท่าทางกำลังตั้งใจฟังชายศีรษะล้านนั้นด้วยเช่นกัน ทว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเจือแววโศกนั้นกลับไม่ได้ดูกระตือรือร้นสนใจเหมือนคนอื่น แต่คล้ายกำลังจับผิด คล้ายมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่
เด็กคนนั้นยืนอยู่หน้าร้านหนังสือ เขาสวมเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงสีน้ำตาลที่มีสายโยงขึ้นเหนือบ่า สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนปักชื่อร้านไว้อีกชั้น คาดว่าคงทำงานอยู่ในร้านหนังสือนั้นนั่นเอง
ทว่ายามเด็กนั่นเหลือบมาเห็นเขาแล้วก็กลับหันหลังเร่งเดินหนีไปเสีย แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นจากสายตา เสียงใครคนหนึ่งพลันตะโกนรั้งเด็กนั้นไว้
“เบเร็ธ!” เฮมิสหันไปทางต้นเสียงก็เห็นเด็กหนุ่มอีกคนวิ่งตัดหน้าเขาไป จำได้ว่าเด็กคนนี้คือลูกค้าที่มาซื้อเครื่องรางกับเขาเมื่อวานนั่นเอง
“มิล รอด้วยสิโว้ย!” ได้ยินใครอีกคนตะโกนไล่หลังคนแรกมา
“เจ้าต้องวิ่งให้เร็วกว่านี้ คีแซ็ค” คนที่ชื่อมิลตะโกนกลับไปในระหว่างชลอฝีเท้ารอเพื่อน จากนั้นจึงหันหลังกลับ วิ่งไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถลันถึงตัวเป้าหมาย
“เบเร็ธ” ได้ยินมิลตะโกนแข่งกับเสียงผู้คนรอบข้าง “ร้านขายอุปกรณ์เวทมนต์ที่เจ้าแนะนำไปเมื่อวานนี้มีเครื่องรางหลายแบบอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ ด้วย” มิลว่าพร้อมกับดึงเอาหินสีเขียวซึ่งห้อยอยู่ที่คอให้เพื่อนดู “ข้าเองก็ซื้อมีชิ้นหนึ่ง”
เบเร็ธเห็นเครื่องรางนั้นแล้วก็ก้มหน้าเม้มปาก ซ่อนสีหน้าของตนไว้ มิลจึงไม่ทันสังเกต ประจวบกับพอดีตอนนั้นคีแซ็ควิ่งตามมาถึง คนตัวโตกว่าหอบหายใจครู่หนึ่ง พอปรับลมหายใจได้แล้วจึงค่อยยกแขนชูเชือกหนังสีดำซึ่งผูกห้อยอยู่ที่ข้อมือขึ้นบ้าง
“ข้าเองก็ซื้อมาเหมือนกัน” คีแซ็คบอก เบเร็ธฟังแล้วก็ยิ้มตอบนิดหนึ่ง…หรือบางทีอาจจะไม่ใช่รอยยิ้ม เป็นเพียงแค่การเหยียดมุมปากเท่านั้น
พวกเขาพูดคุยกันอีกเล็กน้อยโดยที่เบเร็ธแทบไม่ได้เอ่ยอะไรเลย จากนั้นมิลกับคีแซ็คจึงกึ่งดันกึ่งลากเบเร็ธเข้าไปในร้านหนังสือนั่นเอง
---
เฮมิสเดินต่อมาอีกครู่ใหญ่
ครั้นถึงที่ร้านแล้วเขาก็ปิดประตูลงกลอน จากนั้นจึงหันไปจุดตะเกียง แล้วแหงนหน้ามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นแมลงวันเขาก็ถือตะเกียงเดินไปทางหลังร้าน ก้าวไปตรงหน้าทางลงห้องใต้ดิน
แสงสีเขียวยังลอดออกมาจากห้องใต้ดิน เขาก้มกายวางตะเกียงไว้ด้านข้าง ยื่นมือดึงประตูขึ้น แล้วจึงคว้าตะเกียงก้าวลงบันไดไป
เหนือกล่องไม้คล้ายโลงศพทั้งสองใบมีแสงสีเขียวเรือง เขาแขวนตะเกียงไว้ที่ผนังด้านหนึ่ง แล้วยกแขนขวาลากไปด้านข้าง พลันฝาโลงทั้งสองก็เลื่อนเปิดออก
ข้างในนั้นเป็นศพจริงๆ หนึ่งเป็นโครงกระดูกขาวโพลน ดูจากลักษณะแล้วเป็นคนร่างใหญ่ กระดูกเชิงกรานบ่งบอกว่าเป็นเพศชาย
ส่วนอีกศพนั้นเป็นเด็ก ยังคงมีเนื้อหนังติดอยู่ตามร่างกาย ลูกตาที่เหลือเพียงข้างเดียวห้อยอยู่ข้างศีรษะซึ่งยังมีเนื้อแดงคลุมอยู่ คาดว่ากลิ่นเหม็นเน่าที่ล่อแมลงวันมาเมื่อเช้าคงโชยมาจากศพนี้นั่นเอง
เฮมิสยกแขนขวางออกไปด้านหน้าอีก เขาทำท่าจะโบกแขนนั้นขึ้นแต่แล้วก็กลับชะงักไว้
ทั้งสายตาและแขนของเขาค่อยๆ ลดแขนลงที่ข้างตัว พลางกำมือเข้าหากันจนเป็นหมัด
เขาไม่แน่ใจว่าตนเองทำถูกหรือไม่ เขาเพิ่งบอกกับดาเรนไปว่าไม่รู้จักศาสตร์ปลุกชีพ แต่เขากลับกำลังจะปลุกศพขึ้นมาอีก
เฮมิสเงยหน้าขึ้น ทอดตามองไปยังโลงศพทั้งสองอีกครั้ง
ก่อนหน้าที่เขาจะปักหลักในเมืองซาเรอุส เขาเดินทางโดยไร้จุดหมาย ระหว่างนั้นเขาก็พบศพเด็กผู้หนึ่งในราวป่า ห่างจากเมืองซาเรอุสนี้ไปราววันครึ่งโดยรถม้า ศพนั้นถูกทิ้งไว้ในพงหญ้าข้างทาง ปล่อยให้หมู่สัตว์กัดกิน มีหนอนชอนไช
เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นตายได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงถูกทิ้งให้มีสภาพน่าสังเวชอยู่เช่นนั้น แต่หากให้เดาเขาก็คิดว่าคงเป็นฝีมือของโจรป่ากระมัง
ตอนนั้นเขายังไม่คิดจะเปิดร้าน ไม่คิดหาผู้ช่วย ไม่มีแม้แต่เป้าหมายในการเดินทาง ดังนั้นเขาจึงเพียงขุดหลุมฝังศพเด็กไว้ในบริเวณนั้นเอง
ครั้นเดินทางมาถึงเมืองซาเรอุส พักแรมอยู่ในเมืองนี้ได้สักพัก เขาจึงเริ่มมีความคิดอยากจะปักหลักทำมาหากิน เปิดร้านขายของให้เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งสำหรับคนอย่างเขา คงไม่มีของอะไรที่พอจะขายได้มากไปว่าอุปกรณ์เวทมนต์
และเมื่อคิดจะเปิดร้าน เขาจึงต้องหาผู้ช่วย แต่หากเขาจ้างคนเป็น ความลับของเขาก็อาจรั่วไหลได้ ดังนั้นเขาจึงมีความคิดจะใช้คนตาย
เขานึกถึงศพเด็กนั้นเป็นคนแรกจึงถามรูห์ว่าวิญญาณเด็กอยู่ที่ใด ครั้นปิศาจกึ่งศพยืนยันว่าวิญญาณเด็กไปปรโลกแล้วเขาจึงกลับไปค้นหาหลุมศพนั้น ยามพบแล้วก็ขุดหลุมปลุกศพขึ้นมา และเรียกเด็กนั้นว่าจิฟา
ทว่าจิฟาหาใช่แค่เพียงผู้ช่วยของเขาอย่างเดียว เขายังฝากของสำคัญไว้กับเด็กชายผู้นี้อีกด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นเฮมิสก็มีความคิดว่าต้องหาผู้ช่วยอีกสักคนเพื่อมายกขนสินค้า ดังนั้นเขาจึงออกไปยังสุสานนอกเมือง เลือกศพเก่าที่มีอายุเกินร้อยปี เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีญาติจดจำได้ เขาพบศพนั้นดังว่า พอปลุกขึ้นมาแล้วก็เรียกว่าจูธา
ทั้งจูธาและจิฟาเป็นศพไร้วิญญาณ ดังนั้นยามถูกปลุกขึ้นมาแล้ว พวกเขาจึงมีลักษณะคล้ายหุ่น ไร้ความคิด ไร้ความรู้สึก รู้แต่เพียงทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น
ดวงตาสีเงินลดลงมองที่มือของตนอีกครั้ง ลูกค้าที่มาในร้านเขาเคยพบจูธาและจิฟาแล้ว หากเขาไม่ปลุกผู้ช่วยทั้งสองขึ้นมา คนอื่นก็อาจสงสัยและถามหา ซึ่งเขาคงไม่มีคำตอบให้คนเหล่านั้น
คิดได้ดังนี้แล้วเฮมิสจึงตัดสินใจยื่นแขนออกไป
…เขาไม่ได้ปลุกศพขึ้นมาเพื่อทำร้ายใคร เขาเพียงต้องการผู้ช่วย ไม่ได้ทำอะไรผิด
ครั้นแล้วมือของเขาก็โบกลง ฉับพลันศพทั้งสองก็เริ่มขยับ พวกเขาลุกยืนขึ้น แต่ยังไม่ก้าวออกจากโลง
นักปลุกชีพหลับตา วาดมือทั้งสองออกไปด้านข้าง พลันร่างศพทั้งสองก็ปรากฏเนื้อหนังขึ้นทีละน้อยจนเต็มทั่วร่างกาย
ระหว่างนั้น เปลือกตาของเฮมิสก็บีบเข้าหากัน หัวคิ้วของเขาขมวดจนเห็นเป็นรอยย่น
…การปลุกศพต้องใช้พลัง แต่การทำให้ศพมีเนื้อหนักสมบูรณ์เฉกเช่นในยามมีชีวิตยิ่งต้องอาศัยพลังมากกว่าเป็นทวีคูณ
เฮมิสค่อยๆ ลืมตามองไปยังผู้ช่วยทั้งสอง พวกเขามีสภาพไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป สีหน้าอาจจะเฉยไปบ้าง ดวงตาไร้ความรู้สึก แต่หากไม่มีใครพูดคุยกับพวกเขาก็ไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่าสงสัย
ดวงตาสีเงินมีแววอ่อนลงยามมองพวกเขา จากนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก
“เอาล่ะ ไปทำงานกันเถอะ” เขาว่า แล้วจึงเดินนำผู้ช่วยทั้งสองเดินขึ้นบันไดไป
###
พบกันใหม่วันอังคารหน้าค่ะ