ขายข้าว...ให้ใคร

เรื่องบางเรื่องถ้าจะให้มาพูดมาแจกแจงกันมันก็คงเป็นเรื่องยากมากจริงๆที่จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน มันขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อ ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ต่างๆ นานาล้วนมีผลกับวิจารณญาณของเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
“โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากเนื้อหาใจความไม่ตรงใจหรือตรงจริตของท่าน โปรดอ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น”
          เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนเป็นช่วงที่ผมยังไม่ได้ทำงานจึงยังพอมีเวลาว่างให้ไปใช้ชีวิตไปเที่ยวเล่นอยู่บ่อยๆ กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ผมมักจะชอบทำเวลาว่าคือการ เดินสำรวจเส้นทางรอบๆ ที่พัก
          การเดินสำรวจของผมนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายแค่เป็นไปเพื่อมองหาร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือไม่ก็ร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะจำเป็นในอนาคต เหมือนกับวันว่างๆ วันนั้นเช่นกัน
          ผมเดินออกจากที่พักที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ได้ไม่กี่วันตรงผ่านตึกเก่าๆ ของชุมชนไปไม่กี่ช่วงตึกก็จะพบซอยตัดของทางแยกถนน ในนั้นดูครึกครื้นมีผู้คนมีเสียงเอะอะโวยวาย ผมจึงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
          รอบข้างถนนนั้นให้ความรู้สึกคล้ายบ้านเกิดเพราะเป็นชุมชนเล็กๆ ไม่แออัด ทุกคนยังคงเปิดร้านขายอาหารขายของกันในเขตบ้านของตนสลับกับขาจรที่เข็นรถมาขาย ไม่ก็เอาโต๊ะพับมาวางตั้งในช่วงเย็น
          ผมใช้เวลาหลายวันเพื่อทดลองเข้าไปนั่งชิมอาหารในร้านตามสั่งของทั้งซอยจนในที่สุดก็ได้ร้านที่รู้สึกว่าถูกปากและตัดสินใจให้เป็นร้านประจำนับตั้งแต่ตอนนั้น
          ผมแวะเวียนไปกินข้าวที่นั่นแทบทุกวัน บางวันก็นั่งกิน บางวันก็ห่อกลับ สลับกันไปแล้วแต่ความสะดวก แต่อย่างนึงที่สังเกตเห็นทุกครั้งที่มาซื้อข้าวที่นี่คือเจ้าของร้านจะวางถาดข้าวเล็กๆไว้ที่หน้าร้านตรงพื้นปูน จริงๆแล้วมันอาจดูไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะร้านขายอาหารที่ไหนๆ ก็มักจะทำอย่างนี้ให้เห็นกันทั่วไป แต่มันต่างกันตรงที่ปริมาณอาหารมันดูเยอะผิดปกติไปหน่อย
          หลังจากที่ผมคิดได้อย่างนั้นก็กลายเป็นติดนิสัยว่าทุกครั้งที่มาผมจะแอบมองถาดข้าวนั้นแล้วคิดว่าวันนี้ ‘มีเมนูอะไร’
          คิดไปคิดมาผมว่ามันก็แปลกเหมือนกันที่เราจะไปสนใจของอะไรอย่างนี้ แต่มันก็ติดเป็นนิสัยไปจนได้ มีครั้งหนึ่งผมยอมรับเลยว่าเคยมองอาหารในถาดนั้นแล้วรู้สึกว่า มันคือเมนูอะไรเนี่ย น่ากินจัง เพราะปกติผมสั่งแต่ผัดกะเพรา กับ หมูทอดกระเทียม
          ผมเก็บเมนูนั้นไว้ในใจทิ้งช่วงไปสองสามวันแล้วลองสั่งตาม ปรากฏว่ามันก็อร่อยจริงๆ อร่อยมาก สุดท้ายก็ต้องสั่งซ้ำไปอีกหลายวันกับเมนูเดิมๆ ‘เห็ดเข็มทองผัดน้ำมันหอยใส่กะหล่ำกับเต้าหู้ทอด’
          หลังจากนั้นจำไม่ได้แน่ชัดว่าห่างไปกี่วันแต่ผมผิดสังเกตไปเพราะอาหารในถาดถูกลดปริมาณลงจนเหลือเพียงข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยวางด้วยไข่ดาวเท่านั้น
          ผมเห็นเมนูน้ำซ้ำกันอยู่หลายวันนจนเกิดคำถามในใจ แต่ผมก็ไม่ได้สนิทกับเจ้าของร้านมากพอที่จะไปถามเรื่องแบบนี้ อีกอย่างต่อให้สนิทก็คงไม่ใช่เรื่องที่ควรถามสักเท่าไหร่ แต่แล้วมันก็เหมือนกับคำตอบของคำคถามนี้มันวนกลับมาที่เราอย่างไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว
          เย็นวันนั้นผมมีเวลาว่างช่วงเย็นมากกว่าปกตินิดหน่อย จึงสั่งอาหารนั่งกินที่ร้านไม่ได้ห่อกลับมากินที่ห้องเพราะขี้เกียจล้างจานและไม่อยากเพิ่มขยะที่ต้องเก็บกวาดในช่วงสุดสัปดาห์
          อาหารในจานเซรามิกถูกนำมาวางตรงหน้าด้วยตัวเจ้าของร้านเอง นั่นทำให้ผมสังเกตว่า เด็กเสิร์ฟในร้านได้หายไปแล้ว ส่วนคนที่น่าจะเป็นสามีของเจ้าของร้านก็นั่งล้างจานอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปบ้างเว้นก็เพียงแต่ปริมาณอาหารและความอร่อยที่ไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย
          เมื่อจัดการข้าวในจานเสร็จก่อนกลับผมแอบมองที่หน้าร้านอีกครั้ง บนถาดนั้นยังคงมีข้าวไข่ดาวเหมือนช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่แปลกตาจนผมเผลออุทานออกมาคือ ‘รถของเล่นคันเล็กๆ’
          ผมหรี่ตามองของในถาดอีกครั้งและมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด ในนั้นมันมีของเล่นเด็กวางอยู่จริงๆ ข้างๆ กับข้าวไข่ดาว ซึ่งปกติการไหว้เจ้าที่ หรือเลี้ยงสัมภเวสีหน้าร้านตามความเชื่อของคนไทยนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงของเล่นเด็กเลยสักนิด หรือบางทีอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของคนบ้านนี้ก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ มันก็แปลกๆ อยู่ดี
          วันถัดมาด้วยความคาใจผมจึงกินข้าวที่ร้านนั้นอีกครั้งเพื่อไปดู วันนี้ของเล่นหายไปแล้ว มีเพียงข้าวไข่ดาวเท่านั้น และวันนั้นคือวันที่เกิดเรื่องขึ้นจนทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวายไปอีกหลายวันนับจากนั้น
          ผมนั่งกินข้าวในจานอย่างช้าๆ ด้วยความกดดันแปลกๆ เพราะทั้งร้านไม่มีใครเลยนอกจากผม ด้วยความอึดอัดจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดนั่นนี่ดูเลี่ยงการสบตากับเจ้าของร้านที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่โต๊ะข้างๆ (ไม่มีคนมากินข้าว เจ้าของร้านเลยว่างไม่ต้องทำอาหาร)
           ผมเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยสลับกับตักข้าวเข้าปาก ช่วงนั้นคงเป็นช่วงที่เผลอๆ จนสติมันไม่ได้คิดอะไรวุ่นวายมากนัก หางตาผมเหลือบไปเห็นเงาร่างของเด็กคนหนึ่งยืนเกาะโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งไม้บรรทัด
“เฮ้ย!”
          ผมเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว และตรงนั้นมันก็ใกล้มาก ผมตกใจจนเผลอลุกจากเก้าอี้พลาสติกที่นั่งอยู่อย่างลืมตัว
           พอตั้งสติได้เงาร่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาคือผมลืมไปว่า ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นคนเดียว เจ้าของร้านกับสามีหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ผมอายมากทำตัวไม่ถูก จึงตัดสินใจทิ้งข้าวที่เหลืออีกเกือบครึ่งจานแล้วเดินไปจ่ายเงินทันที
          ผมไม่กล้ามองหน้าเจ้าของร้านได้แต่ก้มหน้ารอเงินทอน แต่มันก็นานแปลกๆ จนผมถูกเรียกด้วยเสียงที่คุ้นหู เสียงที่ถามผมทุกวันว่าวันนี้จะกินอะไรดี
          “ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ น้องตกใจอะไรเหรอคะ” เจ้าของร้านถามผม
          “เอ่อ แมลงสาปครับ” ผมคิดอะไรไม่ออกพูดไปอย่างนั้น แต่ก็ดันมาคิดได้หลังจากพูดไปแล้วว่าคำตอบนั้นอาจทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจ หรือไม่ก็รู้สึกไม่ดีที่มีลูกค้ามาพูดอย่างนี้
          “เหรอคะ…” นั่นไง ผมคิดไว้แล้ว เพราะเจ้าของร้านดูหน้าเสียไปนิดๆ 
          ผมรับเงินทอนมาแล้วก้มหน้าให้หนึ่งครั้ง คิดว่าสักวันคงจะต้องกลับมาหาทางขอโทษเขาสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้ ผมคิดอย่างนั้น
          วันรุ่งขึ้นผมกลับมาที่ร้านอีกครั้ง วันนี้เป็นวันหยุดผมเลยตัดสินใจว่าจะมากินข้าวที่ร้านนี้ทั้ง เช้า กลางวัน และเย็น แทนคำขอโทษไปเลยแล้วกัน
          สิ่งที่ผมทำและอาหารที่สั่งนั้นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมาแต่สิ่งที่ต่างไปวันนี้คือไม่มีถาดอาหารวางอยู่ที่หน้าร้านเหมือนในทุกๆ วัน ผมมองแล้วคงเผลอแสดงสีหน้าแปลกใจออกมากระมัง เจ้าของร้านจึงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติเหล่านั้น
          วันนี้ก็ไม่มีใครมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนผมอีกแล้ว ผมเป็นโต๊ะเดียวในร้าน มองไปรอบๆ ร้านที่ว่างเปล่าก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมไม่มากินกันนะ ออกจะอร่อยขนาดนี้
          “กะเพราไก่ค่ะ” พี่เจ้าของร้านเอาอาหารมาหารมาวางบนโต๊ะ ผมพยักหน้ารับแล้วกำลังจะเริ่มกินอาหารในจาน
          “น้องคะ น้องเห็นอะไรในร้านพี่รึเปล่าคะ” เจ้าของร้านถามผมขึ้นมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ผมที่ไม่ทันตั้งตัวก็เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดูดเข้าปาก
           ผมยังคงพยายามปฏิเสธถึงสิ่งที่พี่เจ้าของร้านถามเพราะส่วนตัวผมการพูดหรือยอมรับเรื่องพวกนี้ออกมาตรงๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากใจเสมอมา แต่สุดท้ายก็จนมุมจนไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะผมไม่ใช่คนเดียวที่ช่างสังเกต
          “พี่เห็นน้องชอบมองของไหว้พี่ที่หน้าร้านบ่อยๆ มองเหมือนคิดอะไร บางทีก็ยิ้มๆ วันนี้เลยลองไม่วางดูแล้วน้องก็ทำหน้าแปลกๆ แล้วเวลาน้องมากินพี่ก็ได้กลิ่นธูปติดตัวน้องมาตลอด บางทีพี่ก็เห็นน้องใส่แหวนใส่สร้อย อย่างน้อยถ้าน้องไม่เห็นอะไรก็น่าจะต้องมีความเชื่อพวกนี้อยู่บ้าง”
          ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินไม่คิดว่าแม่ค้าร้านขายอาหารตามสั่งคนหนึ่งจะสนใจลูกค้าอีกคนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้ ส่วนเรื่องกลิ่นธูปกลิ่นกำยานนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่พักของผมเป็นหอพักเวลาผมไหว้พระก็มักจะจุดในห้องเลยเสื้อผ้าของใช้ส่วนใหญ่ก็จะมีกลิ่นติดมาเป็นเรื่องปกติ (ผมโดนเพื่อนที่เรียน คนที่ทำงานทักประจำ)
          เมื่อไม่สามารถปฏิเสธต่อไปได้ผมจึงได้แต่เงียบไม่พูดอะไรต่อ ให้เขารู้เท่าที่เขาคิดพอแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องไปสาธยายอะไรต่อ เว้นแต่เพียงว่าเธอมีเรื่องที่อัดอั้นคาใจอยู่เต็มไปหมด เธอถามผมออกมาตรงๆ อีกครั้ง และคำตอบของผมก็คือเงียบ แต่ก็ไม่ได้แสดงกริยาไม่พอใจออกไป ถึงคงเข้าใจเอาเองว่าผม โอเค เธอจึงเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาให้ผมฟัง
          เรื่องจากตรงนี้ไปจะเป็นคำบอกเล่าของเจ้าของร้านที่ผมจะขอเรียกเธอและสามีว่า “พี่ตี” กับ “พี่แป๊ะ” โดยผมจะขอเล่าในคำพูดของผมเท่าที่ผมจำมาได้ ไม่ใช่คำพูดของคนทั้งสองแบบคำต่อคำ
          ในครั้งแรกพี่ตีไม่ได้เล่าถึงภูมิหลังของตัวเองมากมายนักแค่บอกผมว่าเธอย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักหนึ่งปีซึ่งก็ถือว่าไม่นานเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเพื่อนร้านค้ารอบๆ ช่วงมาใหม่ๆ ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็เกิดขายไม่ดีขึ้นมาเสียเฉยๆ
          “น้องก็คิดดู ร้านอื่นคนแน่นไปหมด ร้านพี่มีแต่น้องคนเดียว” ผมมองตามมือของพี่ตีที่ชี้ไปยังร้านรอบๆ ก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างเช่นร้านฝั่งตรงข้ามมีเพียงถนนเส้นเล็กๆ ในซอยกั้น คนมานั่งรอคิวซื้ออาหารยาวจนล้นออกมานอกร้าน (ร้านนั้นผมก็เคยกิน ก็อร่อยดี แต่ถ้าพูดถึงแค่เรื่องรสชาติร้านพี่ตีก็ถือว่าไม่ห่างกันเลย)
          ผมนั่งฟังเงียบๆ พร้อมกับกินข้าวในจานไปเรื่อยๆ ตอนนี้พี่แป๊ะที่ผมมักจะเห็นเขาล้างจานหั่นผักอยู่หลังร้านย้ายมานั่งข้างๆ แฟนของเขาแล้ว สายตาที่มองมาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ เขาไม่ได้มองมาที่ผมอย่างหวังประโยชน์ มันคล้ายกับสายตาของคนที่แค่อยากจะคุยกับใครสักคนเท่านั้น
          “เฮ้ย!” อีกครั้งที่ผมไม่ทันตั้งตัวจนต้องอุทานออกมาเสียงดังหลังจากเห็นเงาร่างของเด็กคนหนึ่งวิ่งตัดหน้าโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ไปทางหลังร้าน เรียกว่าวิ่งผ่านหน้าพี่ตีไปอย่างเฉียดฉิว และคำอุทานนั้นเองที่ทำให้ทั้งสองคนเริ่มมั่นใจว่าผมต้องเห็นอะไรบางอย่างในบ้านหลังนี้เป็นแน่
          แปลก ผมคิดอย่างนั้นในตอนนั้น อะไรๆ มันจะดูเหมาะเจาะไปรึเปล่า จะมาป่วนมากวนกันอะไรตอนที่กำลังมีคนนั่งมองอยู่ แล้วก็เลือกเวลาได้ถูกต้องเอาเสียด้วย ปกติถ้าเจอถ้าเห็นมันก็ตกใจอยู่หรอก แต่มันก็ไม่เท่าตอนเผลอๆ 
          ผมหันไปมองพี่ตีที่ทำหน้าหนักใจอยู่ไม่ไกลนัก เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าส่วนที่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่