อีกหลักฐานที่บ่งชี้ว่าภาพด้านล่างที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับพระราชสาส์นพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ คือกรุงศรีอยุธยาไม่ใช่ลพบุรี

อ้างอิงจากจดหมายเหตุ
ลา ลูแบร์
ราชอาณาจักรสยาม

The Kingdom of Siam
 Simon de La Loude're

เขียนโดย : มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์
แปลโดย : สันต์  ท.  โกมลบุตร
สำนักพิมพ์ศรีปัญญาจัดจำหน่าย
      


      
บทที่สิบห้า 
ว่าด้วยแบบทูตานุทูตในประเทศสยาม

๑. ทูตานุทูตในประเทศภาคตะวันออกมิได้เป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ เจ้านายของตน และได้รับเกียรติน้อยกว่าในทวีปยุโรป
      ราชทูตในประเทศทางซีกโลกภาคบุรพทิศนั้น ก็คือผู้จําทูลพระราชสาร ของพระมหากษัตริย์เท่านั้นแล้ว หาได้เป็นผู้แทนพระองค์ไม่. เขาจึงได้รับการ นับถือน้อย เทียบตามส่วนสําคัญของพระราชสารตราตั้งที่ตนถือมา, มร. เดอ โชมองต์นั้น มาตรว่าจะเป็นอัครราชทูตวิสามัญ ก็หาได้รับพระราชทานเรือกูบกัญญาของหลวงให้เป็นพาหนะไม่ ในวันที่เข้าพระนครก็เช่นเดียวกัน ส่วนเรือกูบกัญญานั้น เป็นที่ประดิษฐานพระราชสารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ฝรั่งเศส) เรือลํานี้มีฉัตร ๔ คันอยู่ที่มุมบุษบกทั้ง ๔ ด้าน ตามด้วยเรือยาวแห่คู่ชักอีก ๔ ลํา ล้วนประดับด้วยฉัตรทุกลํา แต่ว่างเปล่าอยู่ไม่มีผู้นั่งไปด้วย ทํานองเดียว กับที่สมเด็จพระเจ้ากรุงสเปญเมื่อทรงรถม้าพระที่นั่งเสด็จพระราชดําเนิน, เพื่อ ให้คนเห็นและจําได้จึงมีรถม้าว่างคันหนึ่งตามเสด็จไปด้วย เรียกกันว่า เดอะ เรส เปโต (de respeto) อันเป็นศัพท์และธรรมเนียมที่ได้มาจากประเทศอิตาลี, แม้ แต่เครื่องราชบรรณาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ฝรั่งเศส) ก็เชิญไปในเรือกัญญา มีกูบด้วย และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ดําเนินไปดังนี้จนกระทั่งคณะผู้แทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าถึงพระนคร ด้วยประการฉะนี้แลชาวตะวันออกจึงไม่รู้สึกความแตกต่างระหว่างราชทูตกับผู้แทนพระองค์แต่ประการใด และ เขาก็ไม่รู้จักว่าราชทูต ผู้แทนพระองค์สามัญ กับราชทูตประจําราชสํานักนั้น แตกต่างกันอย่างไร เพราะเขาไม่เคยส่งราชทูตไปประจํายังราชสํานักต่างประเทศ นอกจากใช้ไปราชการจําทูลพระราชสารเป็นครั้งคราวแล้วก็กลับมาเท่านั้น

๒. คณะทูตานุทูตสยามนั้นประกอบด้วยทูตสามคน
     ชาวสยามนั้นส่งราชทูตไม่มากไม่น้อยไปกว่า ๓ คนด้วยกัน คนแรกเรียกว่า ราชทูต (Rajja Tout) คือผู้จําทูลพระราชสาร คนที่สองเรียว่า อุปทูต (Oubba Tout) และคนที่สาม ตรีทูต (Tri Tout) (อันเป็นคําศัพท์ที่ข้าพเจ้าไม่ทราบ ความหมายว่ากระไร) แต่ทูตสองคนหลังนั้นจะต้องปฏิบัติตามบัญชาของทูต คนที่หนึ่งเท่านั้น. 

๓. ถือว่าทูตานุทูตนี้เป็นเพียงผู้ถือสารเท่านั้น
      คนใดก็ตามที่เป็นผู้เชิญพระราชสาร ก็ถือกันในประเทศทางภาคบุรพทิศ ว่าเป็นราชทูตทั้งสิ้น เพราะเหตุนี้เมื่อราชทูตเปอร์เซี่ยน (อันมาในคราวเดียวกัน) ซึ่ง มร. เดอะ โชมองต์ได้จากกรุงสยามไปก่อน ได้ถึงแก่กรรมลงที่เมืองตะนาวศรี พวกเปอร์เซียนที่ติดตามมาในขบวนจึงเลือกพวกกันเองคนหนึ่ง ให้เป็นผู้ เชิญพระราชสารพระเจ้ากรุงเปอร์เซียนมาถวายสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามแทน คนที่เลือกกันขึ้นใหม่นั้นก็ได้รับการรับรองเสมอว่าเป็นราชทูตตัวจริงโดยไม่มี พิธีรีตองโยกโย้อะไรทั้งสิ้น และได้รับเกียรติเสมอกับที่พระเจ้ากรุงเปอร์เซี่ยน ได้พระราชทานแก่ราชทูตสยามฉะนั้น 

๔. ไม่พระราชทานพระราชสารตอบ นอกจากออกใบรับให้เท่านั้น
      อันการที่ปฏิบัติต่อราชทูตเสมอว่า เป็นผู้ถือสารธรรมดาๆ คนหนึ่งนั้น อยู่ที่เพลาทูตานุทูตเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมลานั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามจะพระราชทานใบรับ (recepisse) ให้ แสดงว่าทรงได้รับสารจากเขาแล้วเท่านั้น และ มาตรว่าจะทรงมีพระราชสารตอบ ก็หาทรงมอบแก่ราชทูตไม่ แต่พระองค์จะจัด แต่งคณะทูตานุทูตของพระองค์เองอีกชุดหนึ่ง ให้เชิญพระราชสารไปกับราชทูต นั้นด้วย 

๕. สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามทรงได้รับกราบทูลล่วงหน้าว่าจะมีราชทูตมาถึงอย่างไร
      ราชทูตต่างประเทศที่มาสู่กรุงสยาม จะต้องหยุดอยู่ก่อนที่ชายแดนทางเข้าราชอาณาจักร จนกว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามจะทรงได้รับคํากราบบังคมทูลแล้ว และถ้ามีคณะทูตานุทูตสยามร่วมมาในขบวนด้วยเช่นคณะทูตของเรา ก็เป็นหน้าที่ของคณะทูตานุทูตสยามเดินทางล่วงหน้าเข้ามาก่อน เพื่อเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมทูลพระกรุณาว่าตนได้กลับมาถึงแล้ว พร้อมด้วยการมาถึงของราชทูตต่างประเทศซึ่งพวกตนเป็นผู้นํามาด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่