คิดว่าในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คงจะดีถ้าพวกเรามีความรู้เรื่องเศรษฐกิจกันมากขึ้น เผื่อจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย ก็เลยจะมาขอเล่าเรื่องแบบง่ายๆให้ฟังตามประสาและความรู้ที่พอจะมี
เศรษฐกิจก็คืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการผลิต, อุปโภคบริโภค, การบริการ ในสังคม โดยจะมีเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน คือความต้องการในการใช้บริการหรือบริโภค และถูกตอบสนองด้วยอุปทานก็คือภาคการผลิตและการบริการ โดยมีอาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนของกันเองหรือมีตัวกลาง เช่น เงิน ในการขับเคลื่อน
แล้วเงินคืออะไร? เงินก็คือตัวกลางที่มีมูลค่าในตัว ใช้สำหรับเก็บมูลค่าเพื่อเอาไปไว้ใช้บริโภค เช่น ถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าแบบไม่มีตัวกลาง เราอาจจะใช้ผักแลกกับเนื้อก็ได้ แต่คำถามคือเราจะใช้ปริมาณขนาดไหนในการแลกเปลี่ยนกัน ผักกี่กิโลกรัมจะแลกเนื้อได้กี่กิโลกรัม และบางทีถ้าเรามีเนื้ออยู่ชิ้นเดียว 2 กิโลกรัม แต่เราอยากได้ผักแต่ไม่มาก เช่นอาจจะผักแค่ 1 กิโลกรัม ถ้าเราแลกของโดยไม่มีเงินก็อาจจะทำให้เราเสียเปรียบด้านมูลค่า ดังนั้นเงินก็มีหน้าที่ในการเก็บมูลค่า เช่น เงิน 100 บาท + ผัก 1 กิโลกรัม จะมีมูลค่าเท่ากับเนื้อ 2 กิโลกรัม เป็นต้น เงินทำให้เราไม่เสียเปรียบในด้านมูลค่า และมีตัวกลางที่เป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยน รวมถึงเก็บมูลค่าได้อีกด้วย
-------
ทีนี้เงินมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร?
ลองนึกตามตัวอย่างง่ายๆ สมมุติในหมู่บ้านมีคนอยู่ทั้งหมด 3 คน คือ คนขายข้าว, คนขายเนื้อ และคนขายเสื้อผ้า
สมมุติเริ่มต้นที่คนขายเนื้อมีเงิน 100 บาท
คนขายเนื้อต้องการข้าวมารับประทาน จึงซื้อข้าวกับคนขายข้าวเป็นจำนวน 100 บาท คนขายเนื้อได้ข้าวมาและเงิน 100 บาท ไปอยู่กับคนขายข้าว
คนขายข้าวเสื้อผ้าเก่าและขาด ไม่สามารถใช้ได้ จึงเอาเงิน 100 บาทที่ได้มาไปซื้อเสื้อจากคนขายเสื้อผ้า คนขายข้าวก็ได้เสื้อผ้าตัวใหม่มา และเงิน 100 บาทนั้นก็ไปอยู่กับคนขายเสื้อ
คนขายเสื้ออยากกินสเต๊ก จึงเอาเงิน 100 บาทที่ได้จากคนขายข้าว ไปซื้อเนื้อจากคนขายเนื้อ ทำให้คนขายเสื้อผ้าได้เนื้อมารับประทาน และเงิน 100 บาท กลับไปอยู่กับคนขายเนื้อ
และมันก็จะหมุนไปแบบนี้เรื่อยๆ
จะเห็นได้ว่าว่าเงินมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน เปรียบเสมือนน้ำมันที่หล่อลื่นเครื่องจักรให้ทำงานต่อไปได้ ผู้คนทำงานเพื่อผลิตและจับจ่ายใช้สอย ทำให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นในสังคม และเกิดการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ เพราะทุกคนจะเน้นไปที่ส่วนของตัวเองในการผลิต ไม่จำเป็นที่คนขายข้าวจะไปเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อ หรือไปผลิตเสื้อผ้ามาใช้เอง
------
แล้วเงินหายไปจากระบบได้อย่างไร? ถ้าจะเรียกหายไปเลยก็คงไม่ถูก แต่อาจจะเรียกได้ว่ามันไม่ถูกนำมาใช้เสียมากกว่า
จากกรณีข้างต้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเริ่มเก็บเงินมากกว่าใช้เงิน?
ถ้าลองนึกภาพว่าคนขายเสื้อผ้าเก็บเงินบางส่วน ประมาณ 20 บาท ทุกครั้งที่ได้เงิน จากเงินที่ได้มาจากคนขายข้าว
เมื่อมีการหมุนเวียนรอบแรก เงินที่คนขายเนื้อจ่าย 100 ให้คนขายข้าวไป วนกลับมาหาคนขายเนื้อแค่ 80 บาท เพราะคนขายเสื้อเก็บไว้ 20 บาท
เมื่อมีการหมุนรอบที่สอง เงินเหลือกลับมาที่คนขายเนื้อ 60 บาท
และรอบที่ 3 เหลือ 40 บาท
ซึ่งจะเห็นได้ว่า มูลค่าของเงินหมุนเวียนน้อยลงเพราะมีคนเก็บมากกว่าใช้
บางคนอาจจะบอกว่า ก็เดี๋ยวมีเงินจากหมู่บ้านอื่น(ต่างประเทศ)เข้ามาหมุนอยู่ดี ใช่ครับ มันมีเรื่องเงินรายได้จากต่างประเทศเข้ามาด้วย แต่สุดท้ายมันก็จะวนกลับเหมือนเดิมคือมูลค่าเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจจะน้อยลงอยู่ดี
เมื่อมันหมุนไปแบบนี้ มีเงินเติมจากที่อื่นเข้ามา คนขายเสื้อจะมีเงินเก็บสะสมขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นมีน้อยกว่าหรือไม่มี
--------
แล้วมันส่งผลกับคนอื่นๆยังไง?
ลองนึกภาพตามว่าตอนที่มีเงินทั้งหมด 100 บาทในระบบ สมมุติมีข้าวอยู่ 10 กิโลกรัมในหมู่บ้าน ก็คือข้าวจะตกกิโลละ 10 บาทใช่มั้ยครับ? ในตอนนั้นคนที่มีเงิน 10 บาทก็จะสามารถซื้อข้าวได้ 1 กิโลกรัม
ทีนี้ถ้าเกิดเงินหมุนไปเรื่อยๆ รวมถึงมีเงินจากที่อื่นเข้ามา เงินในหมู่บ้านตอนแรกที่เคยมี 100 บาท กลายเป็น 1000 บาท แต่ผสมกับว่าคนขายเสื้อเก็บเงินมากกว่าใช้จ่าย ซึ่งสุดท้ายสมมุติคนขายเสื้อมีเงินทั้งหมด 700 บาท คนขายเนื้อมีเงิน 200 บาท และคนขายข้าวมีเงิน 100 บาท ในขณะที่ตอนนั้นในหมู่บ้านมีข้าว 10 กิโลกรัมเหมือนเดิม ตอนนี้จะเห็นได้ว่าเงินเยอะขึ้น ทำให้ข้าวตกกิโลกรัมละ 100 บาท ขึ้นมาจาก 10 บาทต่อกิโลกรัมมาเป็น 100 บาทเลยทีเดียว
นั่นคือค่าของเงินมันน้อยลง จากที่ 10 บาทเคยซื้อข้าวได้ 1 กิโล แต่ตอนนี้ต้องใช้เงินถึง 100 บาทเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินเฟ้ออย่างหนึ่ง
และสถานการณ์แบบนี้มันยิ่งตอกย้ำคนที่อยู่ล่างสุดของระบบเศรษฐกิจไปเรื่อยๆ ในเมื่อเงินที่เค้าได้มาเท่าเดิม แต่ค่าของเงินน้อยลงไปเรื่อยๆ ทำให้อยู่เฉยๆก็จนลงได้
-------
แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง
ถ้าใครได้ตามข้อมูลจะเห็นว่าในช่วงปีหลังๆมานี้ เจ้าสัวมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นเกือบเท่าตัว นั่นหมายความว่าเจ้าสัวต่างๆเก็บเงินได้มากขึ้น และมากกว่าคนอื่น โดยการได้เปรียบต่างๆในการทำธุรกิจ ซึ่งดัชนีความเหลื่อมล้ำต่างๆก็บ่งบอกได้เป็นอย่างนี่ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจฝืด เพราะเงินที่จะใช้ในการหมุนเศรษฐกิจ ส่งต่อกันและเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลับไปกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งและคนกลุ่มนั้นเก็บเงินไม่เอามาใช้หรือใช้น้อยกว่าได้
เมื่อมีเงินหมุนน้อยลง เศรษฐกิจก็ฝืด คนก็อดอยาก ทุกอย่างถดถอย รายได้น้อยลง
บางคนเงินไม่พอก็ต้องไปกู้มาใช้จ่ายส่วนตัว และทุกเงินกู้นั้นก็คือผลประโยชน์ของบริษัทใหญ่ๆที่จะได้ไปครอบครองในอนาคต ยิ่งเป็นการตอกย้ำเรื่องความเหลื่อมล้ำไปเรื่อยๆ
ดังนั้นจะดีกว่ามั้ย ถ้าวันนี้เราจะเริ่มซื้อของกับร้านข้างทาง เปลี่ยนมาอุดหนุนสินค้าจากการผลิตระดับล่างเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถหมุนไปได้มากขึ้น ให้คนระดับล่างมีเงินใช้มากขึ้น ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำลง
เชื่อเถอะว่าขนมครกในตลาดก็อร่อยไม่แพ้กันกับขนมในร้านสะดวกซื้อ
---------------
อันนี้เป็นมุมมองส่วนนึงเท่านั้น จริงๆระบบเศรษฐกิจยังมีอะไรอีกมากกว่านี้เยอะ ทั้งเรื่องของ Demand, Supple, ความเชื่อมั่น, การลงทุน, รัฐบาล, ต่างประเทศและอื่นๆ แต่จะไม่ขอพูดถึงเพราะนี่คือกระทู้ที่จะมาอธิบายแบบง่ายๆ อะไรที่ซับซ้อนพูดไปเดี๋ยวจะยิ่งยาว
ผิดถูกอย่างไรแนะนำหลายๆมุมมองได้ครับ
มาเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจแบบง่ายๆกันเถอะ
เศรษฐกิจก็คืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการผลิต, อุปโภคบริโภค, การบริการ ในสังคม โดยจะมีเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน คือความต้องการในการใช้บริการหรือบริโภค และถูกตอบสนองด้วยอุปทานก็คือภาคการผลิตและการบริการ โดยมีอาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนของกันเองหรือมีตัวกลาง เช่น เงิน ในการขับเคลื่อน
แล้วเงินคืออะไร? เงินก็คือตัวกลางที่มีมูลค่าในตัว ใช้สำหรับเก็บมูลค่าเพื่อเอาไปไว้ใช้บริโภค เช่น ถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าแบบไม่มีตัวกลาง เราอาจจะใช้ผักแลกกับเนื้อก็ได้ แต่คำถามคือเราจะใช้ปริมาณขนาดไหนในการแลกเปลี่ยนกัน ผักกี่กิโลกรัมจะแลกเนื้อได้กี่กิโลกรัม และบางทีถ้าเรามีเนื้ออยู่ชิ้นเดียว 2 กิโลกรัม แต่เราอยากได้ผักแต่ไม่มาก เช่นอาจจะผักแค่ 1 กิโลกรัม ถ้าเราแลกของโดยไม่มีเงินก็อาจจะทำให้เราเสียเปรียบด้านมูลค่า ดังนั้นเงินก็มีหน้าที่ในการเก็บมูลค่า เช่น เงิน 100 บาท + ผัก 1 กิโลกรัม จะมีมูลค่าเท่ากับเนื้อ 2 กิโลกรัม เป็นต้น เงินทำให้เราไม่เสียเปรียบในด้านมูลค่า และมีตัวกลางที่เป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยน รวมถึงเก็บมูลค่าได้อีกด้วย
-------
ทีนี้เงินมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร?
ลองนึกตามตัวอย่างง่ายๆ สมมุติในหมู่บ้านมีคนอยู่ทั้งหมด 3 คน คือ คนขายข้าว, คนขายเนื้อ และคนขายเสื้อผ้า
สมมุติเริ่มต้นที่คนขายเนื้อมีเงิน 100 บาท
คนขายเนื้อต้องการข้าวมารับประทาน จึงซื้อข้าวกับคนขายข้าวเป็นจำนวน 100 บาท คนขายเนื้อได้ข้าวมาและเงิน 100 บาท ไปอยู่กับคนขายข้าว
คนขายข้าวเสื้อผ้าเก่าและขาด ไม่สามารถใช้ได้ จึงเอาเงิน 100 บาทที่ได้มาไปซื้อเสื้อจากคนขายเสื้อผ้า คนขายข้าวก็ได้เสื้อผ้าตัวใหม่มา และเงิน 100 บาทนั้นก็ไปอยู่กับคนขายเสื้อ
คนขายเสื้ออยากกินสเต๊ก จึงเอาเงิน 100 บาทที่ได้จากคนขายข้าว ไปซื้อเนื้อจากคนขายเนื้อ ทำให้คนขายเสื้อผ้าได้เนื้อมารับประทาน และเงิน 100 บาท กลับไปอยู่กับคนขายเนื้อ
และมันก็จะหมุนไปแบบนี้เรื่อยๆ
จะเห็นได้ว่าว่าเงินมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน เปรียบเสมือนน้ำมันที่หล่อลื่นเครื่องจักรให้ทำงานต่อไปได้ ผู้คนทำงานเพื่อผลิตและจับจ่ายใช้สอย ทำให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นในสังคม และเกิดการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ เพราะทุกคนจะเน้นไปที่ส่วนของตัวเองในการผลิต ไม่จำเป็นที่คนขายข้าวจะไปเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อ หรือไปผลิตเสื้อผ้ามาใช้เอง
------
แล้วเงินหายไปจากระบบได้อย่างไร? ถ้าจะเรียกหายไปเลยก็คงไม่ถูก แต่อาจจะเรียกได้ว่ามันไม่ถูกนำมาใช้เสียมากกว่า
จากกรณีข้างต้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเริ่มเก็บเงินมากกว่าใช้เงิน?
ถ้าลองนึกภาพว่าคนขายเสื้อผ้าเก็บเงินบางส่วน ประมาณ 20 บาท ทุกครั้งที่ได้เงิน จากเงินที่ได้มาจากคนขายข้าว
เมื่อมีการหมุนเวียนรอบแรก เงินที่คนขายเนื้อจ่าย 100 ให้คนขายข้าวไป วนกลับมาหาคนขายเนื้อแค่ 80 บาท เพราะคนขายเสื้อเก็บไว้ 20 บาท
เมื่อมีการหมุนรอบที่สอง เงินเหลือกลับมาที่คนขายเนื้อ 60 บาท
และรอบที่ 3 เหลือ 40 บาท
ซึ่งจะเห็นได้ว่า มูลค่าของเงินหมุนเวียนน้อยลงเพราะมีคนเก็บมากกว่าใช้
บางคนอาจจะบอกว่า ก็เดี๋ยวมีเงินจากหมู่บ้านอื่น(ต่างประเทศ)เข้ามาหมุนอยู่ดี ใช่ครับ มันมีเรื่องเงินรายได้จากต่างประเทศเข้ามาด้วย แต่สุดท้ายมันก็จะวนกลับเหมือนเดิมคือมูลค่าเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจจะน้อยลงอยู่ดี
เมื่อมันหมุนไปแบบนี้ มีเงินเติมจากที่อื่นเข้ามา คนขายเสื้อจะมีเงินเก็บสะสมขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นมีน้อยกว่าหรือไม่มี
--------
แล้วมันส่งผลกับคนอื่นๆยังไง?
ลองนึกภาพตามว่าตอนที่มีเงินทั้งหมด 100 บาทในระบบ สมมุติมีข้าวอยู่ 10 กิโลกรัมในหมู่บ้าน ก็คือข้าวจะตกกิโลละ 10 บาทใช่มั้ยครับ? ในตอนนั้นคนที่มีเงิน 10 บาทก็จะสามารถซื้อข้าวได้ 1 กิโลกรัม
ทีนี้ถ้าเกิดเงินหมุนไปเรื่อยๆ รวมถึงมีเงินจากที่อื่นเข้ามา เงินในหมู่บ้านตอนแรกที่เคยมี 100 บาท กลายเป็น 1000 บาท แต่ผสมกับว่าคนขายเสื้อเก็บเงินมากกว่าใช้จ่าย ซึ่งสุดท้ายสมมุติคนขายเสื้อมีเงินทั้งหมด 700 บาท คนขายเนื้อมีเงิน 200 บาท และคนขายข้าวมีเงิน 100 บาท ในขณะที่ตอนนั้นในหมู่บ้านมีข้าว 10 กิโลกรัมเหมือนเดิม ตอนนี้จะเห็นได้ว่าเงินเยอะขึ้น ทำให้ข้าวตกกิโลกรัมละ 100 บาท ขึ้นมาจาก 10 บาทต่อกิโลกรัมมาเป็น 100 บาทเลยทีเดียว
นั่นคือค่าของเงินมันน้อยลง จากที่ 10 บาทเคยซื้อข้าวได้ 1 กิโล แต่ตอนนี้ต้องใช้เงินถึง 100 บาทเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินเฟ้ออย่างหนึ่ง
และสถานการณ์แบบนี้มันยิ่งตอกย้ำคนที่อยู่ล่างสุดของระบบเศรษฐกิจไปเรื่อยๆ ในเมื่อเงินที่เค้าได้มาเท่าเดิม แต่ค่าของเงินน้อยลงไปเรื่อยๆ ทำให้อยู่เฉยๆก็จนลงได้
-------
แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง
ถ้าใครได้ตามข้อมูลจะเห็นว่าในช่วงปีหลังๆมานี้ เจ้าสัวมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นเกือบเท่าตัว นั่นหมายความว่าเจ้าสัวต่างๆเก็บเงินได้มากขึ้น และมากกว่าคนอื่น โดยการได้เปรียบต่างๆในการทำธุรกิจ ซึ่งดัชนีความเหลื่อมล้ำต่างๆก็บ่งบอกได้เป็นอย่างนี่ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจฝืด เพราะเงินที่จะใช้ในการหมุนเศรษฐกิจ ส่งต่อกันและเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลับไปกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งและคนกลุ่มนั้นเก็บเงินไม่เอามาใช้หรือใช้น้อยกว่าได้
เมื่อมีเงินหมุนน้อยลง เศรษฐกิจก็ฝืด คนก็อดอยาก ทุกอย่างถดถอย รายได้น้อยลง
บางคนเงินไม่พอก็ต้องไปกู้มาใช้จ่ายส่วนตัว และทุกเงินกู้นั้นก็คือผลประโยชน์ของบริษัทใหญ่ๆที่จะได้ไปครอบครองในอนาคต ยิ่งเป็นการตอกย้ำเรื่องความเหลื่อมล้ำไปเรื่อยๆ
ดังนั้นจะดีกว่ามั้ย ถ้าวันนี้เราจะเริ่มซื้อของกับร้านข้างทาง เปลี่ยนมาอุดหนุนสินค้าจากการผลิตระดับล่างเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถหมุนไปได้มากขึ้น ให้คนระดับล่างมีเงินใช้มากขึ้น ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำลง
เชื่อเถอะว่าขนมครกในตลาดก็อร่อยไม่แพ้กันกับขนมในร้านสะดวกซื้อ
---------------
อันนี้เป็นมุมมองส่วนนึงเท่านั้น จริงๆระบบเศรษฐกิจยังมีอะไรอีกมากกว่านี้เยอะ ทั้งเรื่องของ Demand, Supple, ความเชื่อมั่น, การลงทุน, รัฐบาล, ต่างประเทศและอื่นๆ แต่จะไม่ขอพูดถึงเพราะนี่คือกระทู้ที่จะมาอธิบายแบบง่ายๆ อะไรที่ซับซ้อนพูดไปเดี๋ยวจะยิ่งยาว
ผิดถูกอย่างไรแนะนำหลายๆมุมมองได้ครับ