ชื่อหัวกระทู้อาจจะฟังแล้วดูเอียน หรือออกแนวลิเกไปบ้าง อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าเรื่องที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้นั้นก็คือ
หนังฮีโร่หนึ่งเดียว ที่เล่นเรื่องราวของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ บนพื้นหลังของหนังรักโรแมนติก เพราะในปีนี้ WW84 กำลังจะเข้าฉาย
แต่กระนั้น ผมขอเขียนกระทู้นี้ แสดงถึงทัศนตคิ และการตีความของตัวผมเอง ที่ทำให้ผม สามารถหยิบ หนังเรื่องนี้กลับมาดูโดยไม่มีเบื่อง่ายๆ
คงจะกล่าวว่า ผมเขียนกระทู้นี้ ช้าไปหลายปี หลังจากที่ WW ภาคแรกได้เข้าฉายในโรงไปที่เรียบร้อยแล้วเมื่อหลายปีก่อน
แต่กระนั้น ตัวผมเอง ก็อยากกลับมาเขียน อยากอธิบายผ่านมุมมอง ของหนึ่งคนที่หลงรัก หนังที่ทำฉีกออกจาก ขนบและธรรมเนียมเดิมๆ
ที่เคยมีมา ทำไมผมถึงบอกว่า หนังทำฉีกจากหนังฮีโร่ทั่วไปอย่างนั้นหรอครับ เรามาลองดูกัน
1.ตัวหนังเล่าถึงความไร้เดียงสา ความอ่อนต่อโลกของเจ้าหญิงไดอาน่า ที่ถูกปลูกฝัง และดูแล ให้อยู่ภายใต้การดูแล จากแม่ของเธอ
การที่เธอได้ออกมาเผชิญกับโลกภายนอก เธอจึงพกพาความไร้เดียงสา ความไม่ทันคน บุคลิกที่ตรงไปตรงมา ติดออกมาด้วย
ไม่ได้รู้สึกถึงพิษภัยต่างๆในตัวละครนี้เลย สำหรับผมจุดนี้เอง โดยส่วนตัวที่ผมไม่รู้จัก WW มาก่อนในตอนนั้น ก็ทำให้รู้สึก เซอร์ไพร้เล็กๆ
และยิ่งดูก็ยิ่งรักและเอ็นดูในความไร้เดียงสา การทำตัวอะไร ที่ดูตรงๆ จนถึงกับโง่ ไปเลยจนต้องหัวเราะ
2.หนังเอง กลับมอบสิ่งเติมเต็ม ที่คู่ควรกับ การดูมาให้เราได้พอดิบพอดี คำตอบนั้นคือ พ่อหนุ่ม สตีฟ เทรเวอร์ นายทหารหนุ่ม
มนุษย์คนแรกที่เป็นเสมือนโลกทั้งใบของไดอาน่าก็ว่าได้ ซึ่งจุดนี้แหละที่เป็นเสมือน สะพานเชื่อมของตัวละครอื่นๆ
ที่เข้ามาทำให้หนังมีรสชาติและสีสันที่ต่างออกไปจากหนังฮีโร่โดยทั่วไป ที่เอาแต่ ยึดติดกับตัวละครหลัก ทั้งการฝึกฝน
การพัฒนาตัวเอง การใช้ชีวิต ของฮีโร่ ก่อนจะปูไปสู่บทสรุป ซึ่งจะกี่เรื่อง มันก็อีหรอบเดิม ทุกที
3.นี่แหละจุดสำคัญ คือเราจะไม่พบบ่อยนัก กับหนังฮีโร่ที่ปูบทมาให้ พระเอก กับ นางเอก บทมัน 50/50 กันทั้งคู่
เพราะส่วนใหญ่ สิ่งที่เราเห็นจากหนังฮีโร่ทั่วไป คือ ถ้าใครเป็นฮีโร่ การโฟกัส สายตาต่างๆจะรวมไปจุดเดียวที่ตัวฮีโร่เลย
ทำให้ผมรู้สึได้ว่า จะกี่เรื่อง หนังฮีโร่ส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนรักของฮีโร่คนนั้นเท่าที่ควร
ซึ่งแตกต่างจากของ WW ที่หนังมีพื้นฐานของหนังรัก ที่บทของทั้งพระเอกนางเอก จะถูกแบ่ง ให้รู้สึกว่า คุณดูหนังเรื่องนี้
ถึงแม้มันจะเป็นหนังของ WW แต่ความสำคัญ และการตัดสินใจต่างๆ มีพระเอกของเราคือจุดหักเห ของเหตุการณ์ต่างๆ ไม่น้อย
สำหรับผมแล้ว ผมกลับรู้สึกได้ว่า หนังทำออกมาได้ดี ที่ทำให้ผมไม่รู้สึกถึงการเป็นหนังฉายเดี่ยว ของขุ่นแม่เลย
4.ด้วยความที่พระเอกเป็นอีกหนึ่ง ตัวชูโรงสำคัญของหนัง ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้นางเอก จุดนี้และที่หนังก็ยังคงทำได้ดี
กล่าวคือ หนังก็พยายามทำให้พระเอก หาหนทาง ที่พระเอกสามารถทำได้ ไม่ใช่เอาแค่ว่า ไอนั่นโผล่มา ไอนี่โผล่มา
แล้วเอะอะๆ ก็ให้ฮีโร่ไปสู้เหมือนหนังเรื่องอื่น ที่บทคู่รักของฮีโร่ ดูเลื่อนลอยไป แต่หนังกลับสร้างการกระทำ
ที่ทำให้ผมดูแล้วไม่รู้สึกว่า พระเอกมันทำอะไรเกินตัวไปเลย สิ่งที่ทำ ก็ทำเท่าที่ทำได้
ไม่ใช่ว่าเหมือนบางเรื่อง ที่ทำอะไรแบบ ”เกินตัว” ไปอีก
5.หนังก็แสดงออกได้ดีในการที่พระเอก กับนางเอกผ่านร้อนผ่านหนาวกันมา เจอเหตุการณ์ต่างๆ และพระเอกเป็นเสมือนดวงไฟ
ที่คอยส่องชี้ทาง ให้นางเอก ว่าง่ายๆ สำหรับผม ไดอาน่าเปรียบเสมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง มีสตีฟเปรียบเสมือนโลกทั้งใบ
ที่คอยแต่งเติมความรู้สึกต่างๆ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การดูแลเอาใจใส่ การที่ยอมรับคำขอต่างๆ แม้จะดูบ้าแค่ใหน
เราจึงไม่รู้สึกว่า ความรักของสตีฟกับไดอาน่า ดูจะรวดเร็วไป หรือดูยัดเยียดไป เพราะเราเคารพ ในการเลือกคนรักของไดอาน่า
6.เราเคยสังเกตุไหม ตลอดมา หนังฮีโร่ทั่วไป คนรักของฮีโร่ให้ความรู้สึก ที่ ไม่ได้มีอิมแพค ต่อภารกิจ ตลอดจน เหตุกาณ์ต่างๆ
มากนัก คือ มักจะโผล่มาเหตุการณ์สำคัญจริงๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่องควบคู่กับฮีโร่หลัก
แต่มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเดียวกัน กับ ที่ ไดอาน่า มี สตีฟ อยู่ข้างกาย
WW ทำได้ดีมากตรงที่ ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมศรัธาในการ ตัดสินใจของ สตีฟ เทรเวอร์มาก ว่านี่คือตัวละครหลัก ที่แม้ไม่ได้เป็นฮีโร่อะไร
แต่ทุกการกระทำมีผลต่อการแบกเรื่องทั้งเรื่องให้เดินต่อไป และต้องยอมรับ ว่าผู้กำกับเอง เลือก คริส ไพร์มาเป็นพระเอกได้อย่างถูกบท
ยังกับ มาเวลเลือก ดาวนี่ มาเล่นไอร่อนมนอะไรแบบนั้น “ถ้าเทียบ เรดเจอร์ หรือ วาคีน ดูจะฝีมือสูงเกินไป -*- ”
คือ คริส ไพร์ ส่งต่ออารมณ์ ของนายทหาร ที่มีความรัก และพร้อมจะยอมสระตัวเอง เพื่อส่วนรวมได้ดีมากๆ
สิ่งที่ ผมซึ้งที่สุด จนทำผมน้ำตาไหล ไม่ใช่ ฉาก No Man Land
แต่มันคือ ฉาก ที่ สตีฟ มา บอกลา ไดอาน่า
ไดอาน่า กำลังหูอื้อ ไม่ได้ยินอะไร
สตีฟ : คุณเป็นอะไรรึปล่าว .. ผมต้องไปแล้ว
ไดอาน่า : อะไร คุณจะพูดอะไร.. สตีฟไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ฉันทำได้ ให้ฉันเป็นคนทำ
สตีฟ : ไม่ ไม่ มันจะต้องเป็นผม มันต้องเป็นผม ผมช่วยได้แค่วันนี้ แต่คุณช่วยโลกนี้ได้
สตีฟ : อยากให้เรามีเวลามากกว่านี้
ไดอาน่า : อะไร คุณจะพูดอะไร
สตีฟ : ผมรักคุณ....
แล้ววิ่งไป ขับเครื่องบิน ออกไประเบิด
*
สตีฟไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ฉันทำได้ ให้ฉันเป็นคนทำ เห็นมั้ยครับว่า จุดนี้ มันเป็นจุดที่พวกเราทั่วไปรู้ว่า ถ้าเป็นเรื่องอื่น
ฮีโร่ คงไปจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องนี้มันทำไม่ได้ เพราะไดอาน่า ก็ยังติดพันกับแอริส
จะให้พระเอกไปตีกับแอริสก็คงไม่ใช่การตัดสินใจสระตัวเองของพระเอก ที่มีเวลาจำกัด จึงร้าสึกถึงอิมแพคได้อย่างสูงมากว่า
เนี่ยยังไงไม่รู้นะ แต่gu ทำได้เท่านี้แหละ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ทำได้แล้ว แม้จะไม่อยากทำเพียงใด*
***ผมซึ้งกับคำว่า " มันต้องเป็นผม ผมช่วยได้แค่วันนี้....แต่คุณช่วยโลกนี้ได้ "
รู้เลยว่า พระเอก ไม่ใช่แค่บท บทนึง ที่มาช่วยเสริมนางเอก แต่เป็นอีกเส้น ที่ทำให้ผมรู้ว่า สำคัญเท่าๆ นางเอกที่เป็นฮีโร่ด้วยซ้ำ
"แม้พระเอกเป็นแค่คนธรรมดา แม้พระเอกเป็นพียงแค่นายทหารคนหนึ่ง แม้พระเอกจะไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร
แต่จิตใจพระเอก ก็แข็งแกร่งไม่แพ้ ฮีโร่คนใหนแน่นอน"
Wonder Woman “ฮีโร่บนพื้นหลังของหนังรัก” หนังที่ฉีกขนบไปจากหนังฮีโร่แบบเดิมๆ
หนังฮีโร่หนึ่งเดียว ที่เล่นเรื่องราวของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ บนพื้นหลังของหนังรักโรแมนติก เพราะในปีนี้ WW84 กำลังจะเข้าฉาย
แต่กระนั้น ผมขอเขียนกระทู้นี้ แสดงถึงทัศนตคิ และการตีความของตัวผมเอง ที่ทำให้ผม สามารถหยิบ หนังเรื่องนี้กลับมาดูโดยไม่มีเบื่อง่ายๆ
คงจะกล่าวว่า ผมเขียนกระทู้นี้ ช้าไปหลายปี หลังจากที่ WW ภาคแรกได้เข้าฉายในโรงไปที่เรียบร้อยแล้วเมื่อหลายปีก่อน
แต่กระนั้น ตัวผมเอง ก็อยากกลับมาเขียน อยากอธิบายผ่านมุมมอง ของหนึ่งคนที่หลงรัก หนังที่ทำฉีกออกจาก ขนบและธรรมเนียมเดิมๆ
ที่เคยมีมา ทำไมผมถึงบอกว่า หนังทำฉีกจากหนังฮีโร่ทั่วไปอย่างนั้นหรอครับ เรามาลองดูกัน
1.ตัวหนังเล่าถึงความไร้เดียงสา ความอ่อนต่อโลกของเจ้าหญิงไดอาน่า ที่ถูกปลูกฝัง และดูแล ให้อยู่ภายใต้การดูแล จากแม่ของเธอ
การที่เธอได้ออกมาเผชิญกับโลกภายนอก เธอจึงพกพาความไร้เดียงสา ความไม่ทันคน บุคลิกที่ตรงไปตรงมา ติดออกมาด้วย
ไม่ได้รู้สึกถึงพิษภัยต่างๆในตัวละครนี้เลย สำหรับผมจุดนี้เอง โดยส่วนตัวที่ผมไม่รู้จัก WW มาก่อนในตอนนั้น ก็ทำให้รู้สึก เซอร์ไพร้เล็กๆ
และยิ่งดูก็ยิ่งรักและเอ็นดูในความไร้เดียงสา การทำตัวอะไร ที่ดูตรงๆ จนถึงกับโง่ ไปเลยจนต้องหัวเราะ
2.หนังเอง กลับมอบสิ่งเติมเต็ม ที่คู่ควรกับ การดูมาให้เราได้พอดิบพอดี คำตอบนั้นคือ พ่อหนุ่ม สตีฟ เทรเวอร์ นายทหารหนุ่ม
มนุษย์คนแรกที่เป็นเสมือนโลกทั้งใบของไดอาน่าก็ว่าได้ ซึ่งจุดนี้แหละที่เป็นเสมือน สะพานเชื่อมของตัวละครอื่นๆ
ที่เข้ามาทำให้หนังมีรสชาติและสีสันที่ต่างออกไปจากหนังฮีโร่โดยทั่วไป ที่เอาแต่ ยึดติดกับตัวละครหลัก ทั้งการฝึกฝน
การพัฒนาตัวเอง การใช้ชีวิต ของฮีโร่ ก่อนจะปูไปสู่บทสรุป ซึ่งจะกี่เรื่อง มันก็อีหรอบเดิม ทุกที
3.นี่แหละจุดสำคัญ คือเราจะไม่พบบ่อยนัก กับหนังฮีโร่ที่ปูบทมาให้ พระเอก กับ นางเอก บทมัน 50/50 กันทั้งคู่
เพราะส่วนใหญ่ สิ่งที่เราเห็นจากหนังฮีโร่ทั่วไป คือ ถ้าใครเป็นฮีโร่ การโฟกัส สายตาต่างๆจะรวมไปจุดเดียวที่ตัวฮีโร่เลย
ทำให้ผมรู้สึได้ว่า จะกี่เรื่อง หนังฮีโร่ส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนรักของฮีโร่คนนั้นเท่าที่ควร
ซึ่งแตกต่างจากของ WW ที่หนังมีพื้นฐานของหนังรัก ที่บทของทั้งพระเอกนางเอก จะถูกแบ่ง ให้รู้สึกว่า คุณดูหนังเรื่องนี้
ถึงแม้มันจะเป็นหนังของ WW แต่ความสำคัญ และการตัดสินใจต่างๆ มีพระเอกของเราคือจุดหักเห ของเหตุการณ์ต่างๆ ไม่น้อย
สำหรับผมแล้ว ผมกลับรู้สึกได้ว่า หนังทำออกมาได้ดี ที่ทำให้ผมไม่รู้สึกถึงการเป็นหนังฉายเดี่ยว ของขุ่นแม่เลย
4.ด้วยความที่พระเอกเป็นอีกหนึ่ง ตัวชูโรงสำคัญของหนัง ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้นางเอก จุดนี้และที่หนังก็ยังคงทำได้ดี
กล่าวคือ หนังก็พยายามทำให้พระเอก หาหนทาง ที่พระเอกสามารถทำได้ ไม่ใช่เอาแค่ว่า ไอนั่นโผล่มา ไอนี่โผล่มา
แล้วเอะอะๆ ก็ให้ฮีโร่ไปสู้เหมือนหนังเรื่องอื่น ที่บทคู่รักของฮีโร่ ดูเลื่อนลอยไป แต่หนังกลับสร้างการกระทำ
ที่ทำให้ผมดูแล้วไม่รู้สึกว่า พระเอกมันทำอะไรเกินตัวไปเลย สิ่งที่ทำ ก็ทำเท่าที่ทำได้
ไม่ใช่ว่าเหมือนบางเรื่อง ที่ทำอะไรแบบ ”เกินตัว” ไปอีก
5.หนังก็แสดงออกได้ดีในการที่พระเอก กับนางเอกผ่านร้อนผ่านหนาวกันมา เจอเหตุการณ์ต่างๆ และพระเอกเป็นเสมือนดวงไฟ
ที่คอยส่องชี้ทาง ให้นางเอก ว่าง่ายๆ สำหรับผม ไดอาน่าเปรียบเสมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง มีสตีฟเปรียบเสมือนโลกทั้งใบ
ที่คอยแต่งเติมความรู้สึกต่างๆ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การดูแลเอาใจใส่ การที่ยอมรับคำขอต่างๆ แม้จะดูบ้าแค่ใหน
เราจึงไม่รู้สึกว่า ความรักของสตีฟกับไดอาน่า ดูจะรวดเร็วไป หรือดูยัดเยียดไป เพราะเราเคารพ ในการเลือกคนรักของไดอาน่า
6.เราเคยสังเกตุไหม ตลอดมา หนังฮีโร่ทั่วไป คนรักของฮีโร่ให้ความรู้สึก ที่ ไม่ได้มีอิมแพค ต่อภารกิจ ตลอดจน เหตุกาณ์ต่างๆ
มากนัก คือ มักจะโผล่มาเหตุการณ์สำคัญจริงๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่องควบคู่กับฮีโร่หลัก
แต่มันไม่ได้ให้ความรู้สึกเดียวกัน กับ ที่ ไดอาน่า มี สตีฟ อยู่ข้างกาย
WW ทำได้ดีมากตรงที่ ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมศรัธาในการ ตัดสินใจของ สตีฟ เทรเวอร์มาก ว่านี่คือตัวละครหลัก ที่แม้ไม่ได้เป็นฮีโร่อะไร
แต่ทุกการกระทำมีผลต่อการแบกเรื่องทั้งเรื่องให้เดินต่อไป และต้องยอมรับ ว่าผู้กำกับเอง เลือก คริส ไพร์มาเป็นพระเอกได้อย่างถูกบท
ยังกับ มาเวลเลือก ดาวนี่ มาเล่นไอร่อนมนอะไรแบบนั้น “ถ้าเทียบ เรดเจอร์ หรือ วาคีน ดูจะฝีมือสูงเกินไป -*- ”
คือ คริส ไพร์ ส่งต่ออารมณ์ ของนายทหาร ที่มีความรัก และพร้อมจะยอมสระตัวเอง เพื่อส่วนรวมได้ดีมากๆ
สิ่งที่ ผมซึ้งที่สุด จนทำผมน้ำตาไหล ไม่ใช่ ฉาก No Man Land
แต่มันคือ ฉาก ที่ สตีฟ มา บอกลา ไดอาน่า
ไดอาน่า กำลังหูอื้อ ไม่ได้ยินอะไร
สตีฟ : คุณเป็นอะไรรึปล่าว .. ผมต้องไปแล้ว
ไดอาน่า : อะไร คุณจะพูดอะไร.. สตีฟไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ฉันทำได้ ให้ฉันเป็นคนทำ
สตีฟ : ไม่ ไม่ มันจะต้องเป็นผม มันต้องเป็นผม ผมช่วยได้แค่วันนี้ แต่คุณช่วยโลกนี้ได้
สตีฟ : อยากให้เรามีเวลามากกว่านี้
ไดอาน่า : อะไร คุณจะพูดอะไร
สตีฟ : ผมรักคุณ....
แล้ววิ่งไป ขับเครื่องบิน ออกไประเบิด
*สตีฟไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ฉันทำได้ ให้ฉันเป็นคนทำ เห็นมั้ยครับว่า จุดนี้ มันเป็นจุดที่พวกเราทั่วไปรู้ว่า ถ้าเป็นเรื่องอื่น
ฮีโร่ คงไปจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องนี้มันทำไม่ได้ เพราะไดอาน่า ก็ยังติดพันกับแอริส
จะให้พระเอกไปตีกับแอริสก็คงไม่ใช่การตัดสินใจสระตัวเองของพระเอก ที่มีเวลาจำกัด จึงร้าสึกถึงอิมแพคได้อย่างสูงมากว่า
เนี่ยยังไงไม่รู้นะ แต่gu ทำได้เท่านี้แหละ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ทำได้แล้ว แม้จะไม่อยากทำเพียงใด*
***ผมซึ้งกับคำว่า " มันต้องเป็นผม ผมช่วยได้แค่วันนี้....แต่คุณช่วยโลกนี้ได้ "
รู้เลยว่า พระเอก ไม่ใช่แค่บท บทนึง ที่มาช่วยเสริมนางเอก แต่เป็นอีกเส้น ที่ทำให้ผมรู้ว่า สำคัญเท่าๆ นางเอกที่เป็นฮีโร่ด้วยซ้ำ