[CR] ผ่าตัดริซซี่ (ริดสีดวง)…ประสบการณ์ การผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต

กระทู้รีวิว
ปกติเขียนรีวิวแต่เรื่องเที่ยว ๆ รอบนี้เปลี่ยนแนว มาแชร์ประสบการณ์ การผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต แบบละเอียดยิบ จะรอดหรือจะล่วง มาดูกันค่ะ อมยิ้ม16
กระทู้นี้คงไม่ได้มีรูปสวย ๆ ให้ดูนะคะ เพราะถ้าขืนลงรูปด้วย เดี๋ยวหลายคนอาจจะกินข้าวไม่ลง 5555

พูดถึง “ริซซี่” (ขอเรียกให้น่ารักหน่อยนะคะ) หรือ “ริดสีดวง” คิดว่า หลายคนคงจะเคยเป็นหรือตอนนี้อาจกำลังเป็นอยู่ และเชื่อว่ามีหลายคนที่อาย ไม่กล้าบอกใครว่าเป็นโรคนี้ รวมถึงไม่กล้าที่จะไปหาหมอ เพราะความอายนี่แหละ อายที่จะต้องให้หมอดูรูทวาร อันเป็นของลับ เราเองก็เหมือนกัน 

เรื่องมันเกิดมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน อาการมันเริ่มตอนที่เรา “ท้อง” หลายคนคงพอจะรู้ว่าผู้หญิงท้องมีโอกาสที่จะเป็นริดสีดวงได้มากกว่าคนปกติ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะพฤติกรรมที่ชอบอั้น ไม่ยอมถ่าย จนเริ่มท้องผูก นาน ๆ เข้า ก็เริ่มถ่ายออกมาพร้อมกับเลือดสด ๆ แล้วหลังจากนั้นมันก็อยู่กับเรามาตลอด เป็น ๆ หาย ๆ ช่วงไหนไม่ถ่ายหลาย ๆ วันหรือท้องผูกอาการมันก็จะ “ปะทุ” ขึ้นมา (อ่อ บางทีท้องเสีย หรือถ่ายเหลวหลาย ๆ ครั้ง มันก็ปะทุได้เหมือนกันนะ)

จนคลอดลูกแล้ว ก็ไม่หาย ยังเป็นอยู่ และเป็นมากจน ถ้าวันไหนถ่ายแข็งติดต่อกันหลาย ๆ วัน ก็จะรู้สึกเหมือนมีติ่งเนื้อยื่นออกมา เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ขึ้นอยู่กับว่า “เบ่ง” เยอะแค่ไหน บางวันถ้าอักเสบมาก ๆ ถึงกับคลานออกจากห้องน้ำกันเลยทีเดียว  
เพี้ยนสะอื้น
และหลังจากทนมาหลายเดือน จนสุดท้าย ความอดทนก็หมดลง ยอมลดความอาย ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล และต้องยอมให้หมอตรวจ ครั้งแรกบอกเลย “อาย” จนอยากจะแทรกแผ่นดิน แต่ด้วยความกลัวว่ามันจะเป็นมากกว่าริดสีดวง ก็ต้องยอมปิดตาให้หมอดู และด้วยความที่ครั้งแรกที่ไปหาเป็นโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ขอร้องคุณหมอเลยค่ะ อย่าเอาเราเป็น case study นะ 555555 ไม่อยากให้สายตาหลายคู่ของหมอหนุ่ม ๆ มาจับจ้องที่ก้นของเรา 55555 

หลังจากนั้นเราก็อยู่กับมันแบบนี้ เป็น ๆ หาย ๆ แต่ไม่ไปหาหมอแล้วนะ พยายามไม่ให้ท้องผูก แต่ช่วงไหนเครียด ๆ มันก็จะกลับมา 

ผ่านมา 5-6 ปีได้มั้ง เราก็ต้องยอมไปหาหมออีกครั้ง เพราะมันกำเริบหนักอีกแล้ว “ลุกก็โอย นั่งก็โอย” ครั้งนี้เป็นรพ.เอกชน หาอยู่หลายรอบ เล่าอาการ ขอแต่ยา ไม่ยอมให้หมอตรวจ เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 ปี จนหมอคงจะทนไม่ไหว ยื่นคำขาดว่า…. ครั้งนี้ไม่ยอมแล้ว ดูจะอักเสบเยอะ ขอดูเถอะนะ หมอขอร้อง ขอให้เห็นกับตาว่าเป็นริดสีดวงแบบไหน จะได้รักษาให้ถูก เพราะมันเรื้อรังมานาน….  เมื่อหมอขอร้องขนาดนี้ ก็เลยต้องตัดใจยอม  
หมอยังบอกว่า…. ไม่ต้องอาย หมอจำไม่ได้หรอก เพราะวัน ๆ ดูหลายเคส….  จ้ะ คุณหมอ ที่พูดให้รู้สึกสบายใจ ก็ตลกกันไป จะได้ไม่อาย 555555

รักษากับคุณหมอคนที่สอง อยู่ 2-3- ปี มีอันต้องเปลี่ยนหมออีกครั้ง เพราะคุณหมอเลื่อนขั้นไปเป็นผู้บริหาร ทิ้งคนไข้อย่างเราไปซะแล้ว 
เซ็ง
มาถึงคุณหมอคนที่สาม…… คุณหมอหนุ่ม หน้าตาดี ใจดี โห แบบนี้ ยิ่งอายหนัก 55555 แรก ๆ ก็ใช้วิธีเดิมที่ใช้กับคุณหมอคนที่ 2 คือ เล่าอาการ ขอยา จนวันหนึ่งประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย……อาการกำเริบหนัก ปวดมาก ถึงขนาดขับรถไปประชุมไม่ไหวต้องเข้ามาขอยาจากคุณหมอก่อน คุณหมอเลยยื่นคำขาด (อีกแล้ว) วันนี้ยังไงหมอก็ต้องดูให้ได้นะป้า (คุณหมอเรียกเราป้า ด้วยความสนิทกัน) ด้วยน้ำเสียงดุ ๆ หน้าตาขึงขัง แล้วก็สั่งให้เราขึ้นไปนอนบนเตียง ใส่ถุงมือพร้อม ไม่ถามเราซักคำว่าเต็มใจมั้ย
หมอบอกว่า… ป้าไม่ต้องกลัว ไม่เจ็บ นอนตะแคง งอตัว ใช้เวลาดูไม่ถึงนาที เป็นอันเสร็จ

แล้วคุณหมอก็สรุปว่า….. เราเป็นริดสีดวงที่มีติ่งเนื้อยื่นออกมาข้างนอก ถ้ามันอักเสบ เนื้อเยื่อรอบ ๆ มันก็จะบวม พอบวมมาก ๆ ก็เลยปวด วันนั้นก็เลยได้ยาแก้อักเสบและยาลดบวม ถึงได้รอดไปประชุมต่อได้ และด้วยความที่ต้องทรมานแบบนี้ในที่สุด วันหนึ่งก็ตัดสินใจบอกกับหมอว่า “เบื่อ!!! ไม่อยากอยู่กับมันแล้ว ทำไงได้บ้าง เอามันออกไปที จะรัด จะยิง จะผ่าตัด ยังไงก็ได้ค่ะ” 

คุณหมอถึงกับยิ้ม แล้วก็บอกว่า “จัดให้ค่ะ” 5555 พร้อมอธิบายว่าการรักษามีวิธีไหนบ้าง บรา ๆๆๆๆๆ และก็เสนอเป็น “การผ่าตัดด้วยเลเซอร์” ให้เรา หลังจากอธิบาย เล่าให้ฟัง สาธยาย ทุกอย่างแล้ว เราก็ใจง่าย “เอาตามที่คุณหมอเห็นสมควรเลยค่ะ”เพราะเชื่อว่า คุณหมอต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุดให้แน่นอน สุดท้ายก็นัดวันผ่าตัด ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ขอเคลียร์งาน และหาวันที่ตรงวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน จะได้ไม่ต้องลางานเยอะ 
(ลืมบอกไปว่า ก่อนหน้านี้ จขกท. เคยให้คุณหมอส่องกล้องลำไส้ให้แล้วนะคะ และครั้งนั้น คุณหมอคงได้พินิจ พิจารณา “ริซซี่” ของ จขกท. อย่างละเอียด ชัดเจนแล้ว 55555)

miniheart

เล่าซะยาวววววววว มาถึงวัน ผ่าตัดกันดีกว่าค่ะ

ก่อนวันนัดผ่าตัด 2  วัน จะมีคุณพยาบาลโทรมาบอกว่าต้องทำอะไร งดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน ถามถึงรถทะเบียนอะไร มากับใคร กระเป๋ากี่ใบ มาถึงโรงพยาบาลแล้วให้ติดต่อตรงไหน นัดแนะทุกอย่างเรียบร้อย

ก่อนผ่าตัด 1 วัน ได้รับ message จากทางโรงพยาบาลอีกครั้ง (ทางไลน์) บอกว่าเรามีนัดผ่าตัดวันที่… เวลา… พร้อมให้ link และรหัสลับ (password) เพื่อเข้าเช็ค status ว่าหลังจาก จขกท. Admit แล้ว เราอยู่ในขั้นตอนไหน เช่น มาถึงโรงพยาบาลแล้ว อยู่ที่ ward / เตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด / อยู่ในห้องผาตัด / อยู่ที่ห้องพักฟื้น หรือกลับขึ้นห้องพักผู้ป่วยแล้ว และเราสามารถส่ง link และ password ให้เพื่อน ญาติ เพื่อดู status ได้ด้วย ล้ำตรงนี้ ดีตรงนี้ ญาติไม่ต้องมานั่งรอ อยากไปไหนก็ไป ติดตามผ่านทางแอป เริ่ดดดด 
ปลื้มปริ่ม
และแล้ว “วันผ่าตัด” ก็มาถึง!!!! ขับรถมาถึงรพ. รปภ ที่ป้อมตะเบ๊ะให้ พร้อมกับทักทาย “สวัสดีครับคุณผู้หญิง วันนี้คุณผู้หญิงมีนัดผ่าตัดสามารถนำรถไปจอดได้ที่…..นะครับ”  บอกเรียบร้อยให้เราไปจอดรถตรงไหน สำรองที่จอดไว้ให้แล้ว ไปถึงที่จอดรถ รปภ. ก็เหมือนรู้ (แอบวอบอกกันแล้วล่ะสิ 5555) โบกเข้าช่องที่เตรียมไว้ พร้อมให้เราไปติดต่อที่ CS ได้เลย ไปถึง CS บอกชื่อเสียงเรียงนามเสร็จ นางก็บอกว่าเราแอดมิทชั้นไหน ห้องไหน พร้อมกับช่วยลากกระเป๋า พาไปส่งถึงห้อง 

ไปถึงก็มีคุณพยาบาลมารับช่วงต่อ “smooth as silk” จริง ๆ 55555
ถึงห้อง เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว พยาบาลก็มาเจาะเลือด ทวนสอบชื่อกันเรียบร้อย ไม่ผิดตัวแน่ๆ เปิดเส้น เพื่อเตรียมตัวไปห้องผ่าตัด เปลี่ยนชุดเป็นชุดสำหรับเข้า OR
พอใกล้ถึงเวลา ก็มีเจ้าหน้าที่เข็นเตียงมารับไปห้องผ่าตัด เข็นไปถึงหน้าห้องผ่าตัด ก็จะมีพยาบาลห้องผ่าตัดมารับช่วงต่อ ถามชื่อกันอีกรอบ และให้เราย้ายเตียงอีกรอบ เป็นเตียงของห้องผ่าตัด แล้วก็เข็นเราเข้าไป

อยากบอกว่าใครไม่เคยเข้าห้องผ่าตัด เตือนไว้ก่อนเลยว่าในห้องผ่าตัดแอร์เย็นมากกกกกกก ผ้าห่มที่พยาบาลเอามาห่มให้ อุ่นร้อนมาอย่างดี ผืนเดียวไม่พอต้อง 2 ผืนเลยทีเดียว แล้วคุณพยาบาลก็ให้เราย้ายเตียงอีกรอบคราวนี้ให้ขึ้นไปนอนบนเตียงผ่าตัดเลย นึกภาพตามนะคะ ที่เห็นในทีวี แบบนั้นแหละ เตียงเล็ก ๆ พอดีตัว ปูผ้าสีเขียว ข้างบนเป็นไฟกลม ๆ ดวงใหญ่ ๆ 

แล้วคุณพยาบาลก็จัดการเตรียมตัวเรา เพื่อรอคุณหมอ ระหว่างนี้จะชวนเราคุย ไม่ให้เรากลัว ช่วยจับมือเราไว้ตลอด พอคุณหมอดมยามา เจอหน้ากันไม่ถึง 2 นาที คุณหมอก็เอาหน้ากากมาครอบที่จมูก บอกให้เราสูดหายใจลึก ๆ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ นาทีนั้นยังไม่เจอแม้กระมั่งหน้าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดให้เราเลย 

ตื่นมาอีกทีในห้องพักฟื้น (Recovery Room) คำแรกที่ถามหลังจากสลึมสลือ ลืมตาขึ้นมาคือ “กี่โมงแล้ว” รู้เลยว่าเสียงเราเบามาก ๆ คุณพยาบาลก็ถามกลับมาว่า “เป็นไงบ้างคะ คลื่นไส้มั้ย เวียนหัวมั้ย”  ไม่ค่ะ แต่ปวดฉี่ 5555 และก็ยังอยากหลับอยู่ ความรู้สึกตอนนั้นคือ…. ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดที่ก้นเลย ปกติมาก เหมือนตื่นนอนขึ้นมา ซักพัก คุณพยาบาลก็มาบอกว่า เดี๋ยวจะพากลับไปที่ห้องพักนะคะ แล้วก็จัดการเข็นเรา ขึ้นลิฟท์ ไปส่งที่ห้องพัก ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้น สติเริ่มมา พูดคุยได้ พอถึงห้อง ก็นอนพักซักแป๊บ ขอโทรศัพท์จากน้องที่มาเฝ้า แล้วก็ท่องโซเชียลได้เลยค่ะ น้องถามว่าเป็นไงบ้าง ไม่เจ็บเลยเหรอ ทำไมดูปกติจัง ก็บอกไปว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ปกติ ไม่เจ็บเลยซักนิด แล้วก็สบตากัน เอ๊ะ!!!! หมอได้ผ่ารึเปล่า??? 
นานางงในงง
ตอนเย็นคุณหมอขึ้นมาเยี่ยม  ถามว่าเจ็บมั้ย ปวดมั้ย  “ไม่มีเลยค่ะ” หมอพูดคำเดียวว่า “เยี่ยมมากป้า” ถ้าไม่มีอาเจียน เย็นนี้ก็ทานอาหารอ่อน ๆ ได้แล้ว หมอจะสั่งยาระบาย และ ไฟเบอร์ไว้ให้ อึจะได้ไม่แข็ง 

เราสามารถลุกเดินไปฉี่ที่ห้องน้ำได้เอง แต่ครั้งแรก ๆ จะต้องกดออดเรียกพยาบาลให้มาพาไปนะคะ เขากลัวเวียนหัวแล้วล้ม หลังจากนั้นซัก 2-3 ครั้ง ถ้าไม่มีอะไร ก็ไปเองได้ค่ะ

ตกกลางคืน พยาบาล ก็เข้ามาดูแลตลอด เปลี่ยนน้ำเกลือ วัดความดัน วัดออกซิเจน วัดไข้ ให้ยาแก้ปวดทุก 4 หรือ 6 โมง จำไม่ได้ (ได้ยาไปคืนนั้นเลยนอนหลับสบายเลย) 

เช้าวันรุ่งขึ้น คุณหมอดมยาก็ขึ้นมาเยี่ยมแต่เช้า พอสาย ๆ คุณหมอที่ผ่าตัดก็ขึ้นมา เจอหน้าคุณหมอตอนมาราวด์หลังผ่าตัด คำถามแรกที่ถามคือ “หมอได้ผ่ารึเปล่าเนี่ย ทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย 555” นอกจากจะไม่เจ็บแล้ว ยังใช้เวลาผ่าตัดแค่แป๊บเดียว หมอถึงกับขำ 55555 แล้วหมอก็ขอดูแผล ทุกอย่างดูดี แผลปกติ คุณหมอบอกว่า ถ้าวันนี้สามารถถ่ายเองได้ ตอนเย็นก็กลับบ้านได้แล้วนะ หรือถ้ายังไม่อยากกลับจะนอนเล่นอีกคืนก็ได้…. โธ่ คุณหมอ ใครจะอยากนอนเล่นในโรงพยาบาลล่ะคะ 

แต่ถ้ายังไม่ถ่าย ก็จะยังไม่ได้กลับนะ และที่ลุ้นที่สุดคือการถ่ายครั้งแรกหลังผ่าตัดเนี่ยแหละ ลองนึกดู อุจจาระที่ต้องผ่านแผลสดๆ ออกมา มันจะเจ็บแค่ไหน เพราะฉะนั้น ห้ามท้องผูก ห้ามถ่ายแข็งเด็ดขาด ลุ้นค่ะลุ้น
สยอง
และในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง บอกเลยว่า เกร็งและลุ้นมา เดินเข้าห้องน้ำ นั่งชักโครกอุ่น ๆ ทำใจให้สบาย …..และสุดท้ายก็ “รอด” ค่ะ ไม่ทรมานอย่างที่คิด มีเจ็บ แต่อยู่ในระดับที่ทนได้ ถือว่า “ผ่าน” กลับบ้านได้ 

จากที่เคยได้ยินมาว่า ผ่าตัดริดสีดวงนั้นเจ็บมากกกกกก มันผิดคาด แบบหน้ามือเป็นหลังมือ 

สรุป ผ่าตัดริดสีดวง นอน admit แค่ 1 คืน และยังขับรถกลับบ้านเองสวย ๆ ด้วยจ้า 

ผ่าตัดวันเสาร์ ออกจากโรงพยาบาลวันอาทิตย์ วันจันทร์ได้หยุดอยู่บ้าน 1 วัน เพราะเป็นวันหยุดยาว วันอังคาร ขับรถไปทำงานได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น OMG!!!

ทุกคนถึงกับงง ว่ามาทำงานได้แล้วเหรอ?? ไม่เจ็บเหรอ?? 

แล้วต้องแช่ก้นในน้ำอุ่นมั้ย?? ต้องไปตัดไหมรึเปล่า?? อันนี้ตอบเลยว่า ไม่ต้องค่ะ 

นัด follow up  หลังประมาณ 7 วัน... คุณหมอขอดูแผล เราก็ทำหน้าเหมือนเจ็บปวด หมอถามว่า ยังเจ็บเหรอป้า!!! ไม่ดีขึ้นเหรอ? แผลเน่ารึเปล่าเนี่ย? เราก็บอกว่า “เปล่า แค่ไม่อยากให้หมอดู มันอายยยยย” หมอก็ขำ และยังยืนยันคำเดิมว่า “ผมจำไม่ได้หรอก” 55555

ตรวจเสร็จก็ถามคุณหมอว่า แล้วจะกลับไปวิ่ง ไปออกกำลังได้เมื่อไหร่ คุณหมอก็บอกว่า ถ้าหายเจ็บแล้วก็ไปได้เลย แต่ออกกำลังต้องไม่มีอะไรผิดปกตินะ ถ้ามีให้หยุด แล้วรีบมาหาหมอ

หลังผ่าตัด ต้องพยายามไม่ให้ท้องผูกนะ ช่วง 2 วีคแรก ยังมีเจ็บตอนถ่าย ยังเสียวและเกร็งทุกครั้ง แบบว่าระแวง แล้วก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ไม่ต้องลุ้นแล้วว่าจะเจ็บมั้ย 

พอหายเจ็บ เราก็เริ่มวิ่งเลยค่ะ แรก ๆ ก็วิ่งเบา ๆ ก่อน พอประมาณ 3 สัปดาห์หลังผ่า ลงวิ่ง 10K และจบด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 8 นาที 

ผ่าตัดไปตอนปลายเดือนกรกฎา ปี 62 ตอนนี้ผ่านไป 5 เดือนกว่าแล้ว จากที่ 3 วันดี 4 วันเจ็บ ทรมานกับการเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นเยอะ แต่หากวันไหนท้องผูกก็ต้องรีบทำให้ถ่าย พอเริ่มเจ็บก็เอายาที่คุณหมอให้มาทา ดูแลแต่เนิ่น ๆ ไม่อยากกลับมาคบกับคุณ “ริซซี่” อีกแล้ว ลาแล้วลาเลย  แต่ต้องระวัง อย่าประมาท อย่าให้ท้องผูก เพราะมันกลับมาได้เสมอ คุณหมอบอกว่า ถ้ายังไม่ปรับพฤติกรรม มันกลับมาแน่นอน!!!

ปลื้มปริ่ม
ชื่อสินค้า:   ผ่าตัดริดสีดวงโดยใช้เลเซอร์ คืนเดียวกลับบ้าน
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่