Star Wars : The Rise of Skywalker 7/10 สมดุลแห่งพลัง


ชะตากรรมของฝ่ายต่อต้านถูกเดิมพันด้วยการตามหาตัว พัลพาทีน (เอียน แมกเดียมิด) จักรวรรดิชั่วร้าย เป็นภารกิจที่ต้องร่วมมือกันของเรย์ (เดซี ริดลีย์) ฟิน (จอห์น โบเยกา) โพ (ออสการ์ ไอแซก)และ C3PO กับ BB8 คู่หูแอนดรอยด์สายซับ ก่อนกาแล็กซีจะต้องเผชิญหน้ากับการล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่อีกครั้ง ในขณะที่เรย์เองก็เริ่มสับสนกับทางเลือกบนวิถีแห่งเจได และการผสานพลังระหว่างเธอกับไคโล เรน (อดัม ไดร์ฟเวอร์) ที่อาจจะดึงเธอเข้าสู่ด้านมืดได้อย่างง่ายดายรวมถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของเธอที่อาจพลิกชะตากรรมของทั้งกาแล็กซีไปตลอดกาล

จากกระแสต่างๆที่มีมาก่อนหนังฉายจากทั้งเว็บไซต์เกี่ยวกับหนังยอดนิยมอย่าง และหนังชฉายเหล่าคนดูรวมถึงนักวิจารณ์ต่างเสียงแตกเป็นสองฝ่าย คล้ายกับเหตุการณ์ของภาคที่แล้วอย่าง The last jedi ซึ่งของภาคนี้คะแนนของนักวิจารณ์กลับน้อยมากสวนทางกับฝั่งคนดูธรรมดาที่ให้คะแนนค่อนข้างสูง ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ตามธรรมดาผมต้องรีบไปพิสูจน์ด้วยตัวเองอยู่แล้วถึงไม่เกิดสถานการณ์แบบนี้ ขึ้นชื่อว่า Star wars แฟรนไชส์สุดโปรดของผมยังไงก็ต้องรีบไปอยู่แล้ว(สารภาพว่าช่วงดูแฟรนไชส์นี้แรกๆคลั่งไคล้มากๆ หลังๆเริ่มรู้สึกธรรมดาแล้ว) แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกเฉยๆไม่รีบร้อนซะงั้นแต่ก็ยังตั้งเป้าหมายจะไปดูช่วงที่หนังยังอยู่ในโรง จนแล้วจนรอดกว่าจะได้ดูก็ช่วงกระแสมันซาๆไปแล้ว 
พอได้ดูจริงๆรู้สึกว่าหนังมันโอเคเลยนะ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แม้ว่าเปิดเรื่องมามันก็อาจจะเร็วไปหน่อยก็เถอะ อย่างน้อยเกริ่นอะไรสักหน่อยก็ได้ว่ากบฎหลบหนีไปที่ไหนวางแผนอย่างไรหรือฝั่งปฐมภาคีเตรียมอะไรรับมือไว้บ้าง หลังจากนั้นก็ได้รับมิชชั่นทำภารกิจตามแบบขนบหนังตระกูลนี้เขาแหละครับ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้รู้สึกว่าช่วงปฏิบัติการตามภารกิจมันจะเรื่อยๆเอื่อยๆยังไงก็ไม่รู้อ่ะ ดูไม่ค่อยตื่นเต้นเลย คงเพราะผมกำลังให้ความสสนใจในฝั่งของ lass boss ภาคนี้มากกว่ากระมัง แต่ไม่ถึงขั้นเบื่อหรือรำคาญหรอกครับแค่รู้สึกว่ายังเร้าใจไม่พอ 555 อย่างน้อยฉากไล่ล่าก็ดูลุ้นตามสเต๊ป โดยความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกับช่วงครึ่งแรกเท่านั้น พอครึ่งหลังเครื่องเริ่มติดความลุ้นความมันส์ก็ถาโถมเข้ามา แทบเดาไม่ได้เหมือนกันนะครับว่าหนังมันจะพาเราไปทิศทางไหน ถ้าภาคที่แล้วไรอันแหกขนบหนังชุดนี้โดยการหาเรื่องราวใหม่ๆใส่เข้ามา ภาคนี้ก็ไม่ต่างกันหรอกผมว่าถึงไม่แหกขนบแต่ก็มีอะไรใหม่ๆให้เราเห็นเหมือนกัน ส่วนตัวว่าแปลกใหม่กว่า last jedi ด้วยซ้ำ 555
ผมมองว่าหนังภาคนี้มันครบรสเลยนะ ทั้งบู๊ ผจญภัย ตลก ซึ่งเหมือนภาคนี้จะใส่ฉากใส่มุกขบขันเยอะอยู่มีทั้งขำอมยิ้มแป๊กปนกันไป โรแมนติกหน่อยๆเอออันนี้ชอบความพ่อแง่ยิ้มอนเล็กๆของคาเมรอน โพกับตัวละครใหม่ (ใส่หน้ากากชุดแดง) เคยเห็นโพในมุมนักสู้ นักวางแผน ห่ามๆ ลุยๆ พอเห็นมุมแบบอ้อนสาวก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ แต่รู้สึกว่าฉากแอ็กชั่นของภาคนี้จะดูดรอปไปหน่อยเหมือนจะขยี้ไม่สุดเท่าไหร่ ยิ่งฉากดวลกระบี่แสงภาคนี้จะเยอะมากกว่าภาคที่แล้วแต่คิวบู๊ดูแบบฝืนๆอ่ะ แบบเหนื่อยๆยั้งๆมือ คือฝ่ายเรย์ก็แบบโมโหอารมณ์ไม่ดี สมาธิก็ไม่ค่อยดี ความเครียดเข้าครอบงำเลยฟาดฟันพอระงับความรำคาญ ไคโร เลน ก็ยั้งมือเพราะมั่นใจซะเหลือเกินว่าจะต้องกล่อมให้เรย์เข้าด้านมืดให้ได้ พอดวลกันก็เลยดูเหนื่อยๆกันแต่รายเรย์กะเอาให้ตายจริงๆนะ ซึ่งภาคที่แล้วตอนดวลกับองครักษ์สโนคฉากนั้นสวยและทรงพลังมากแม้ว่าจะไม่ยาว เสียดายที่ภาคนี้ไม่ทำงั้น หรือไม่ก็ทำแบบกับตอน "The Force Awakens"  นี่ก็ยังได้นะ 
ด้านนักแสดงทุกคนเล่นได้ดีเยี่ยม ตัวละครเก่าๆอย่างแลนโดก็ได้ใจแม้ว่าบทอาจจะไม่หวือหวามาก โดยตัวละครเก่าๆที่กลับมาเซอร์ไพร์สนี้สิแจ๋วมาก ขนลุกซู่เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรารู้ว่าใครที่หลังจากภาคที่แล้วโผล่มากวนตีนหลานตัวเองเล่น ภาคนี้ก็กลับมาในมาดกวนๆที่เก๋ากว่าเดิม ส่วนอีกคนบอกได้คำเดียวน้ำตาจะไหล แทบไม่อยากเชื่อว่าแกจะมากลับมา แต่มีปัญหาก็ตรงตัวละครใหม่ๆนี้สิดูไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่บทดูยัดเยียดหน่อยๆบางคนก็ไม่รู้ว่าจะมาทำไมบทบาทก็งั้นๆ ฉากเซอร์วิสต่างๆก็มีบ้างครับชวนคิดถึงภาคเก่าๆแต่ไม่รู้ว่ามากหรือน้อยเพราะผมเองก็ดันลืมเพราะไม่ได้กลับไปทบทวนเท่าไหร่จำได้นิกหน่อย 555 แต่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ "ดนตรี" ของ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ที่บิ้วทุกอย่างได้ดีเหมือนเดิมไม่ว่าจะอารมณ์สุข,เศร้า,ซึ้ง,ตื่นเต้น ดนตรีแกเอาอยู่จริงๆ
หลังจากดูจบ ผมรู้สึกว่าทำไมผมมีความสุขรู้สึกผ่อนคลายปล่อยวางแปลกๆมีความรู้สึกว่าปลงตก 555 คงอาจจะเพราะทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว สงครามต่างๆยุติ ดาวทุกดวงในจักรวาลแห่งนี้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ที่สำคัญสิ่งที่ปูมานานกว่า42ปีมาสิ้นสุดลงที่ภาคนี้ "สมดุลแห่งพลัง" ในที่สุดสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นสักที     ยิ่งดูยิ่งเข้าใจตัวละครของเรย์และเบนทั้งคู่ต่างมีอะไรที่คล้ายกัน ทั้งคู่สามารถหันเข้าสู่ด้านมืดและด้านสว่างตลอดเวลา จนกระทั่งทุกอย่างคลี่คลาย คำตอบ,ความเชื่อที่ทั้งคู่ตามหา,ยึดมั่นนับถือก็กระจ่างสักที ทุกอย่างมันนำมาสู่ฉากจบที่เป็นฉากๆเดียวที่เป็นบทสรุปของ star wars 3ไตรภาคนี้ ปมต่างๆทุกสิ่งต่างๆได้ถูกคลี่คลายลงในภาคนี้ 
ถ้าจะเปรียบเทียบมันก็เหมือนเรานั่งรถไปเที่ยวสักที่ซึ่งระหว่างทางคนขับก็ขับไม่ค่อยดีพาไปทางที่ขรุขระแต่อย่างน้อยก็ขับอยู่ในเส้นทางที่ปลอดภัยโดยบางช่วงก็แวะรับเพื่อนๆที่เราสนิทคุ้นเคยขึ้นมาการเดินทางเลยไม่น่าเบื่อ จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง สถานที่ตรงนั้นกลับสวยงามอย่างคาดไม่ถึง
ผมละชอบฉากสุดท้ายจริงๆ ไม่นะจะสปอยหรอก เรย์ในท่าทีที่สุขสงบยืนมองแสงอาทิตย์สาดแสงสีแดง จากฉากนี้มันบอกเราได้เลยนะว่า "ความสุขสงบมันเกิดขึ้นในใจเรย์แล้ว จากการที่เราดูมาทั้งหมดตั้งแต่ภาคแรกยันภาคนี้และจากฉากนี้ผมก็ได้ข้อคิดที่ว่า "ปัญหาต่างๆเมื่อคลี่คลายแล้วไม่ว่าจะหลงเหลือสิ่งใดๆให้ค้างคาใจเพียงใด สุดท้ายชีวิตก็ต้องเดินต่อไป ปลดปล่อยละทิ้งมันไปซะ ทำในสิ่งที่เราสนุกที่สุดดีที่สุด แค่นี้ความสุขในชีวิตก็เกิดขึ้นกับเราแล้ว"
ก่อนจบกระทู้นี้ก็ต้องขอบอกว่า สวัสดีปีใหม่ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่