เลือดสีเขียวของกิ้งก่า
สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ไม่ได้มีแต่เลือดที่เป็นสีแดงเท่านั้น ยังมีสัตว์มากมายที่มีสีเลือดต่างกันไป เช่น กลุ่มสัตว์ที่อาศัยอยู่บนเกาะนิวกินี โดยเฉพาะกิ้งก่าเลือดสีเขียวสายพันธุ์ Prasinohaema prehensicauda ที่นักชีววิทยาวิวัฒนาการจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยหลุยเซียนา ในสหรัฐอเมริกา ให้ความสนใจและพยายามอย่างมากที่จะค้นหาประโยชน์ของเลือดสีเขียวของกิ้งก่า
จากการศึกษาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) และวิเคราะห์โครงสร้างทางพันธุกรรมของกิ้งก่า Prasinohaema prehensicauda ชี้ให้เห็นว่ามันมีวิวัฒนาการที่แตกต่างกันถึง 4 ครั้งของสายพันธุ์จิ้งเหลน แต่สิ่งสำคัญคือพบว่ากิ้งก่าเลือดสีเขียวไม่ได้เป็นเครือญาติใกล้ชิดกับสายพันธุ์อื่นๆ และมันอาจมีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษที่มีเลือดสีแดง เนื่องจากพบว่าในเลือดของกิ้งก่ามีความเข้มข้นสูงของสารบิลิเวอร์ดิน (biliverdin) ซึ่งเป็นรงควัตถุหรือสารเม็ดสีในน้ำดีที่เป็นสีเขียว ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเลือด กล้ามเนื้อ กระดูก และเมือกบางๆ
ปกติแล้วระดับบิลิเวอร์ดินที่สูงจะทำให้เกิดโรคดีซ่านในสัตว์ส่วนใหญ่ แต่กิ้งก่าเลือดสีเขียวเหล่านี้เจริญเติบโตได้แม้จะมีระดับบิลิเวอร์ดินเข้มข้น นักชีววิทยาวิวัฒนาการเผยว่าการค้นพบนี้อาจนำไปสู่หนทางรักษาโรคดีซ่านก็เป็นได้ ซึ่งในปัจจุบันมีสมมติฐานถึงความเป็นไปได้ที่สารสีเขียวเป็นพิษนี้จะเป็นพัฒนาการทางสรีรวิทยาของสัตว์ เพื่อลดหรือป้องกันการติดเชื้อปรสิตในเลือด เช่น โรคมาลาเรีย นั่นเอง.
Cr.
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1289461
เลือดสีฟ้าของเจ้าหมึกทะเล
600 ล้านปีก่อนซึ่งมนุษย์ยังไม่เกิดเลย มีสัตว์ดึกดำบรรพตระกูลหมึกและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายประเภทได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก โดยมันมีเลือดสีฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยโปรตีน ชื่อว่า “ฮีโมไซยานิน” (hemocyanin)
ฮีโมไซยานินก็ทำหน้าที่เหมือนๆ ฮีโมโกลบินก็คือลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย แต่ธาตุที่ใช้มาจับกับออกซิเจนนั้นต่างกันไป โดยธาตุสำคัญในฮีโมไซยานินก็คือ “ธาตุคอปเปอร์” หรือธาตุทองแดง
โดยเจ้าธาตุคอปเปอร์นี่แหละเมื่อทำการจำกับออกซิเจนจะได้ “สีฟ้า” (blue blood) ซึ่งเป็นที่มาของสีเลือดของสัตว์จำพวกหมึก และที่อุณหภูมิห้องนั้นเลือดสีฟ้านั้นจับตัวกับออกซิเจนได้ไม่ดีเท่าเลือดสีแดงเลย เรียกได้ว่าประสิทธิภาพต่ำก็ว่าได้
แต่ในอุณภูมิติดลบ 34 องศาเซลเซียสในทะเลอาร์กติก ซึ่งเป็นเขตที่สุดขั้วแห่งความเย็นยะเยือก ออกซิเจนจะจับตัวกับฮีโมโกลบิน (เลือดแดง) แน่นมาก จนกระทั่งไม่สามารถแยกตัวออกจากกันได้ ก็ทำให้ไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ ร่างกายของคนเราจึงไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
แต่กับฮีโมไซยานิน (เลือดสีฟ้า) นั้นไม่มีปัญหาเลย ทำให้เจ้าหมึกสามารถมีชีวิตรอดในเขตน้ำลึกที่หนาวเหน็บสุดขั้วได้ เพราะวิวัฒนาการของเลือดของมันนั้นเหมาะจะใช้กับเขตน้ำที่ลึกและเย็นนั่นเอง โดยเจ้าหมึกเป็นสัตว์ที่ชอบหากินตามพื้นทรายในมหาสมุทรด้วย จึงเป็นการปรับตัวอย่างชาญฉลาดในเอาตัวรอดได้ในสภาวะอุณภูมิที่โหดร้าย
ดังนั้นเลือดสีฟ้าของมันถูกสร้างมาให้ปรับตัวได้กับสถานการณ์ทั้งร้อนและเย็นสุดขั้ว อีกทั้งในเขตน้ำลึก ยังมีธาตุคอปเปอร์ในน้ำมากกว่าธาตุเหล็ก ซึ่งหาได้ยากในแถบนี้ด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม หมึกจึงต้องมีเลือดสีฟ้า
Cr.
https://www.blockdit.com/posts/5cded989901c28672bc8e247
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Reference / อ้างอิง
1. https://animals.howstuffworks.com/marine-life/why-is-octopus-blood-blue.htm
2. https://www.scienceabc.com/nature/animals/why-do-squids-and-octopuses-have-blue-blood.html
3. https://www.fisheries.noaa.gov
4. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Octopus
5. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Hemocyanin
6. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Climate_of_the_Arctic
เนื้อหาโดย : โลกสีฟ้าป.ปลาตัวจิ๋ว
"แมงดาทะเล" สัตว์เลือดสีน้ำเงินชนิดเดียวบนโลก
แมงดาทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ได้ขึ้นจากน้ำมาเพื่อวางไข่บนบกซึ่งได้วิวัฒนาการมาเป็นแมลงจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นฟอสซิลมีชีวิตอีกจำพวกหนึ่งในโลก แมงดาทะเลในยุคก่อนประวัติศาสตร์มีรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างจากแมงดาทะเลในยุคปัจจุบันเท่าไหร่นัก
จริงๆ แล้วแมงดาทะเลในตัวมันเองไม่มีพิษ แต่พิษที่เราได้รับนั้นเกิดจากการสะสมพิษของอาหารที่แมงดาทะเลกินเข้าไป ทั้งแพลงตอนและสาหร่ายทะเลชนิดมีพิษ ประโยชน์ของหางแมงดาทะเลมีไว้เพื่อเวลาพลิกตัว โดยมันจะใช้หางแทงไปที่ทรายเพื่อช่วยพยุงสำหรับพลิกตัว
นอกจากนี้แล้ว เลือดของแมงดาทะเลยังมีสีฟ้า เนื่องจากมีทองแดงผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปสกลัดเป็นสารที่เรียกว่า Limulus amoebocyte lysate (LAL) ได้ ซึ่งช่วยในการจับแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีการนำไปผสมลงในวัคซีนในการฉีดยาต่าง ๆ ด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรียบเรียงโดย พรชัย สังเวียนวงศ์ (mata)
ขอบคุณภาพจาก
http://peopleawesome.com/read-854.html
http://moohin.com/trips/phuket/phuketseafood/
https://scontent-fbkk5-7.us-fbcdn.net/v1/t.1-48/1426l78O9684I4108ZPH0J4S8_842023153_K1DlXQOI5DHP/dskvvc.qpjhg.xmwo/w/data/680/680459-topic-ix-3.jpg
http://www.ctpost.com/local/article/Study-tracks-how-horseshoe-crabs-have-endured-for-2133901.php#photo-1544351
http://travel.thaiza.com
ขอบคุณข้อมูลจาก
ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/แมงดาทะเล
Cr.
https://board.postjung.com/680459
เลือดสีเขียวในหนอนทะเล
เลือดสีเขียวพบได้ในในหนอนทะเล (sea annelid worms) ซึ่งจัดเป็นหนอนท่อ (Tubeworm) จำพวกหนึ่งซึ่งมีสีสันสวยงาม มันมีลำตัวเป็นหลอดๆ ยาวๆ ฝังตัวอยู่ในดิน อาศัยอยู่ในหลอดซึ่งสร้างมาจากหินปูน โดยหลั่งแคลเซียมคาร์บอนเนต (calcium carbonate) ออกมาจากตัวมันนั่นเอง
โดยพู่ของมันโพล่ออกมาจากปล้องตามลำตัว ซึ่งช่วยในการหาอาหารซึ่งพัดพามากับน้ำเช่น ซากพืชซากสัตว์นั่นเอง โดยมันจะอยู่นิ่งๆ เพื่อรออาหาร หากพบศัตรูพู่ของมันจะหุบเข้าไปในหลอดหินปูนเพื่อป้องกันตัว
บางชนิดในออร์เดอร์ ชื่อว่า Serpulimorpha ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แฟมิลี่ ได้แก่ serpulids และ sabellidsโดยแฟมิลี่เซอร์พูลิต (Serpulids) มีสปีชีส์ที่พบอาศัยอยู่ในท้องทะเลคือชนิดหนึ่งคือหนอนพู่ฉัตร (Spirobranchus giganteus หรือ christmas tree worm) ซึ่งมีเลือดสีเขียว
โดยโปรตีนที่มีส่วนสำคัญในการช่วยลำเลี้ยงออกซิเจนคือ คลอโรครูโอรีน (chlorocruorin) โดยมีความสามารถในการลำเลียงออกซิเจนต่ำที่สุดในบรรดาเลือดทุกสี
คลอโรครูโอรีนชอบคาร์บอนมอนอกไซด์ (carbon monoxide) และมันมีคาร์บอนมอนอกไซด์เกาะกับมันมากถึง 570 เท่า เมื่อเทียบกับฮีโมโกลบิน (โปรตีนลำเลียงออกซิเจน) ในเลือดของมนุษย์
และเจ้าคลอโรครูโอรีนนี่เองที่ทำให้เลือดของสัตว์เป็นสีเขียวและสีแดง เลือดของสัตว์จำพวกหนอนชนิดที่กล่าวมานี้ มีระบบเลือดสองสี (dichroic red-green respiratory protein) โดยมีโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับฮีโมโกลบินมากๆ
เมื่อคลอโรครูโอรีนจับกับออกซิเจนจะมีสีเขียวเข้ม และเมื่อไม่ได้จับกับออกซิเจนจะมีสีเขียวอ่อน แต่ถ้าหากมีในปริมาณที่เข้มข้นมากจะมีสีแดงอ่อนๆ เป็นที่มาของเลือดสองสี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อ้างอิง
1. https://www.britannica.com/animal/annelid/Form-and-function#ref405375
2. https://royalsocietypublishing.org/doi/abs/10.1098/rspb.1949.0031
3. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Serpulidae
4. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Chlorocruorin
5. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Hemoglobin
6. https://www.dmcr.go.th/detailAll/24211/nws/141
ขอบคุณเนื้อหาโดย : โลกสีฟ้าป.ปลาตัวจิ๋ว
Cr.
https://www.blockdit.com/articles/5ce165cadeaee1102dad701b?series=5d42ecd6fc1cbe13c7bc1fe9/#
เลือดสีม่วงของเจ้าหนอนพีนิส
หนอนพีนิส หรือ Penis Worm ซึ่ง Penis ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Priapulus caudatus
เป็นสัตว์ทะเลในไฟลัม Priapulida หมายถึง เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ของกรีก ซึ่งชื่อไฟลัมก็มีที่มาตามรูปร่างหน้าตาของหนอนตัวนี้เช่นกัน
มันอาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้นที่มีความลึกไม่เกิน 90 m. รวมทั้งอาศัยอยู่ในโคลนตมด้วย โดยมันเป็นสัตว์ที่มีความอดทนต่อสภาวะที่มีออกซิเจนต่ำ จนไปถึงไม่มีออกซิเจนเลย (anoxia) อีกทั้งยังต้านทานต่อแก๊สพิษอย่างแก๊สไข่เน่า (Hydrogen sulfide) ได้อีกด้วย
นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์ในกลุ่มเอคไดโซซัว (Ecdysozoa) หรือแปลว่าสัตว์ที่ต้องลอกคราบในการเจริญเติบโตนั่นเอง โดยส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่ล้วนแล้วแต่พัฒนาปากขึ้นเป็นส่วนแรกในขณะที่เป็นตัวอ่อน โดยสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ สัตว์ขาปล้อง (Arthropods) อาทิ แมลง กุ้ง ปู แมงดา แมลงป่อง และอื่นๆ อีกมากมากมาย
จากการศึกษาพบว่าฟอสซิลของพวกมัน มีลักษณะปากที่มาจากบรรพบุรุษเดียวกันกับสัตว์ขาปล้อง ถึงแม้ว่าสัตว์ขาปล้องในปัจจุบันจะไม่มีปากลักษณะนี้แล้วก็ตาม โดยเจ้าหนอนพีนิสเป็นเพียง 1 ใน 3 ชนิด ของสัตว์เลือดสีม่วงทั้งหมด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ อ้างอิง
1. http://www.geologypage.com/2016/09/ancestor-arthropods-mouth-penis-worm.html
2. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Hemerythrin
3. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Priapulida
4. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Hydrogen_sulfide
5. https://kingdomanimalia62.wordpress.com/ลักษณะที่ใช้ในการจัดหม/การเจริญในระยะตัวอ่อน/
6. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Ecdysozoa
7. https://en.m.wikipedia.org/wiki/Protostome
8. http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/2193/crustacean-ครัสเตเชียน
9. https://th.m.wikipedia.org/wiki/เชลิเซอราตา
10. http://sciencenordic.com/‘penis-worm’-ancestor-almost-all-living-animals
11. https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-3069412/Ancient-fossils-shed-light-life-shaped-Cambrian-explosion.html
ขอบคุณเนื้อหาโดย : โลกสีฟ้าป.ปลาตัวจิ๋ว
Cr.
https://www.blockdit.com/articles/5ce51d58c816b9103fe7f117?series=5d42ecd6fc1cbe13c7bc1fe9/#
ขออนุญาตและขอบคุณข้อมูลทั้งหมด
อัศจรรย์สัตว์เลือดสีต่าง
สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ไม่ได้มีแต่เลือดที่เป็นสีแดงเท่านั้น ยังมีสัตว์มากมายที่มีสีเลือดต่างกันไป เช่น กลุ่มสัตว์ที่อาศัยอยู่บนเกาะนิวกินี โดยเฉพาะกิ้งก่าเลือดสีเขียวสายพันธุ์ Prasinohaema prehensicauda ที่นักชีววิทยาวิวัฒนาการจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยหลุยเซียนา ในสหรัฐอเมริกา ให้ความสนใจและพยายามอย่างมากที่จะค้นหาประโยชน์ของเลือดสีเขียวของกิ้งก่า
จากการศึกษาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) และวิเคราะห์โครงสร้างทางพันธุกรรมของกิ้งก่า Prasinohaema prehensicauda ชี้ให้เห็นว่ามันมีวิวัฒนาการที่แตกต่างกันถึง 4 ครั้งของสายพันธุ์จิ้งเหลน แต่สิ่งสำคัญคือพบว่ากิ้งก่าเลือดสีเขียวไม่ได้เป็นเครือญาติใกล้ชิดกับสายพันธุ์อื่นๆ และมันอาจมีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษที่มีเลือดสีแดง เนื่องจากพบว่าในเลือดของกิ้งก่ามีความเข้มข้นสูงของสารบิลิเวอร์ดิน (biliverdin) ซึ่งเป็นรงควัตถุหรือสารเม็ดสีในน้ำดีที่เป็นสีเขียว ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเลือด กล้ามเนื้อ กระดูก และเมือกบางๆ
ปกติแล้วระดับบิลิเวอร์ดินที่สูงจะทำให้เกิดโรคดีซ่านในสัตว์ส่วนใหญ่ แต่กิ้งก่าเลือดสีเขียวเหล่านี้เจริญเติบโตได้แม้จะมีระดับบิลิเวอร์ดินเข้มข้น นักชีววิทยาวิวัฒนาการเผยว่าการค้นพบนี้อาจนำไปสู่หนทางรักษาโรคดีซ่านก็เป็นได้ ซึ่งในปัจจุบันมีสมมติฐานถึงความเป็นไปได้ที่สารสีเขียวเป็นพิษนี้จะเป็นพัฒนาการทางสรีรวิทยาของสัตว์ เพื่อลดหรือป้องกันการติดเชื้อปรสิตในเลือด เช่น โรคมาลาเรีย นั่นเอง.
Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1289461
เลือดสีฟ้าของเจ้าหมึกทะเล
600 ล้านปีก่อนซึ่งมนุษย์ยังไม่เกิดเลย มีสัตว์ดึกดำบรรพตระกูลหมึกและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายประเภทได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก โดยมันมีเลือดสีฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยโปรตีน ชื่อว่า “ฮีโมไซยานิน” (hemocyanin)
ฮีโมไซยานินก็ทำหน้าที่เหมือนๆ ฮีโมโกลบินก็คือลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย แต่ธาตุที่ใช้มาจับกับออกซิเจนนั้นต่างกันไป โดยธาตุสำคัญในฮีโมไซยานินก็คือ “ธาตุคอปเปอร์” หรือธาตุทองแดง
โดยเจ้าธาตุคอปเปอร์นี่แหละเมื่อทำการจำกับออกซิเจนจะได้ “สีฟ้า” (blue blood) ซึ่งเป็นที่มาของสีเลือดของสัตว์จำพวกหมึก และที่อุณหภูมิห้องนั้นเลือดสีฟ้านั้นจับตัวกับออกซิเจนได้ไม่ดีเท่าเลือดสีแดงเลย เรียกได้ว่าประสิทธิภาพต่ำก็ว่าได้
แต่ในอุณภูมิติดลบ 34 องศาเซลเซียสในทะเลอาร์กติก ซึ่งเป็นเขตที่สุดขั้วแห่งความเย็นยะเยือก ออกซิเจนจะจับตัวกับฮีโมโกลบิน (เลือดแดง) แน่นมาก จนกระทั่งไม่สามารถแยกตัวออกจากกันได้ ก็ทำให้ไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ ร่างกายของคนเราจึงไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
แต่กับฮีโมไซยานิน (เลือดสีฟ้า) นั้นไม่มีปัญหาเลย ทำให้เจ้าหมึกสามารถมีชีวิตรอดในเขตน้ำลึกที่หนาวเหน็บสุดขั้วได้ เพราะวิวัฒนาการของเลือดของมันนั้นเหมาะจะใช้กับเขตน้ำที่ลึกและเย็นนั่นเอง โดยเจ้าหมึกเป็นสัตว์ที่ชอบหากินตามพื้นทรายในมหาสมุทรด้วย จึงเป็นการปรับตัวอย่างชาญฉลาดในเอาตัวรอดได้ในสภาวะอุณภูมิที่โหดร้าย
ดังนั้นเลือดสีฟ้าของมันถูกสร้างมาให้ปรับตัวได้กับสถานการณ์ทั้งร้อนและเย็นสุดขั้ว อีกทั้งในเขตน้ำลึก ยังมีธาตุคอปเปอร์ในน้ำมากกว่าธาตุเหล็ก ซึ่งหาได้ยากในแถบนี้ด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม หมึกจึงต้องมีเลือดสีฟ้า
Cr.https://www.blockdit.com/posts/5cded989901c28672bc8e247
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"แมงดาทะเล" สัตว์เลือดสีน้ำเงินชนิดเดียวบนโลก
แมงดาทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ได้ขึ้นจากน้ำมาเพื่อวางไข่บนบกซึ่งได้วิวัฒนาการมาเป็นแมลงจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นฟอสซิลมีชีวิตอีกจำพวกหนึ่งในโลก แมงดาทะเลในยุคก่อนประวัติศาสตร์มีรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างจากแมงดาทะเลในยุคปัจจุบันเท่าไหร่นัก
จริงๆ แล้วแมงดาทะเลในตัวมันเองไม่มีพิษ แต่พิษที่เราได้รับนั้นเกิดจากการสะสมพิษของอาหารที่แมงดาทะเลกินเข้าไป ทั้งแพลงตอนและสาหร่ายทะเลชนิดมีพิษ ประโยชน์ของหางแมงดาทะเลมีไว้เพื่อเวลาพลิกตัว โดยมันจะใช้หางแทงไปที่ทรายเพื่อช่วยพยุงสำหรับพลิกตัว
นอกจากนี้แล้ว เลือดของแมงดาทะเลยังมีสีฟ้า เนื่องจากมีทองแดงผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปสกลัดเป็นสารที่เรียกว่า Limulus amoebocyte lysate (LAL) ได้ ซึ่งช่วยในการจับแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีการนำไปผสมลงในวัคซีนในการฉีดยาต่าง ๆ ด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Cr.https://board.postjung.com/680459
เลือดสีเขียวในหนอนทะเล
เลือดสีเขียวพบได้ในในหนอนทะเล (sea annelid worms) ซึ่งจัดเป็นหนอนท่อ (Tubeworm) จำพวกหนึ่งซึ่งมีสีสันสวยงาม มันมีลำตัวเป็นหลอดๆ ยาวๆ ฝังตัวอยู่ในดิน อาศัยอยู่ในหลอดซึ่งสร้างมาจากหินปูน โดยหลั่งแคลเซียมคาร์บอนเนต (calcium carbonate) ออกมาจากตัวมันนั่นเอง
โดยพู่ของมันโพล่ออกมาจากปล้องตามลำตัว ซึ่งช่วยในการหาอาหารซึ่งพัดพามากับน้ำเช่น ซากพืชซากสัตว์นั่นเอง โดยมันจะอยู่นิ่งๆ เพื่อรออาหาร หากพบศัตรูพู่ของมันจะหุบเข้าไปในหลอดหินปูนเพื่อป้องกันตัว
บางชนิดในออร์เดอร์ ชื่อว่า Serpulimorpha ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แฟมิลี่ ได้แก่ serpulids และ sabellidsโดยแฟมิลี่เซอร์พูลิต (Serpulids) มีสปีชีส์ที่พบอาศัยอยู่ในท้องทะเลคือชนิดหนึ่งคือหนอนพู่ฉัตร (Spirobranchus giganteus หรือ christmas tree worm) ซึ่งมีเลือดสีเขียว
โดยโปรตีนที่มีส่วนสำคัญในการช่วยลำเลี้ยงออกซิเจนคือ คลอโรครูโอรีน (chlorocruorin) โดยมีความสามารถในการลำเลียงออกซิเจนต่ำที่สุดในบรรดาเลือดทุกสี
คลอโรครูโอรีนชอบคาร์บอนมอนอกไซด์ (carbon monoxide) และมันมีคาร์บอนมอนอกไซด์เกาะกับมันมากถึง 570 เท่า เมื่อเทียบกับฮีโมโกลบิน (โปรตีนลำเลียงออกซิเจน) ในเลือดของมนุษย์
และเจ้าคลอโรครูโอรีนนี่เองที่ทำให้เลือดของสัตว์เป็นสีเขียวและสีแดง เลือดของสัตว์จำพวกหนอนชนิดที่กล่าวมานี้ มีระบบเลือดสองสี (dichroic red-green respiratory protein) โดยมีโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับฮีโมโกลบินมากๆ
เมื่อคลอโรครูโอรีนจับกับออกซิเจนจะมีสีเขียวเข้ม และเมื่อไม่ได้จับกับออกซิเจนจะมีสีเขียวอ่อน แต่ถ้าหากมีในปริมาณที่เข้มข้นมากจะมีสีแดงอ่อนๆ เป็นที่มาของเลือดสองสี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Cr.https://www.blockdit.com/articles/5ce165cadeaee1102dad701b?series=5d42ecd6fc1cbe13c7bc1fe9/#
เลือดสีม่วงของเจ้าหนอนพีนิส
หนอนพีนิส หรือ Penis Worm ซึ่ง Penis ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Priapulus caudatus
เป็นสัตว์ทะเลในไฟลัม Priapulida หมายถึง เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ของกรีก ซึ่งชื่อไฟลัมก็มีที่มาตามรูปร่างหน้าตาของหนอนตัวนี้เช่นกัน
มันอาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้นที่มีความลึกไม่เกิน 90 m. รวมทั้งอาศัยอยู่ในโคลนตมด้วย โดยมันเป็นสัตว์ที่มีความอดทนต่อสภาวะที่มีออกซิเจนต่ำ จนไปถึงไม่มีออกซิเจนเลย (anoxia) อีกทั้งยังต้านทานต่อแก๊สพิษอย่างแก๊สไข่เน่า (Hydrogen sulfide) ได้อีกด้วย
นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์ในกลุ่มเอคไดโซซัว (Ecdysozoa) หรือแปลว่าสัตว์ที่ต้องลอกคราบในการเจริญเติบโตนั่นเอง โดยส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่ล้วนแล้วแต่พัฒนาปากขึ้นเป็นส่วนแรกในขณะที่เป็นตัวอ่อน โดยสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ สัตว์ขาปล้อง (Arthropods) อาทิ แมลง กุ้ง ปู แมงดา แมลงป่อง และอื่นๆ อีกมากมากมาย
จากการศึกษาพบว่าฟอสซิลของพวกมัน มีลักษณะปากที่มาจากบรรพบุรุษเดียวกันกับสัตว์ขาปล้อง ถึงแม้ว่าสัตว์ขาปล้องในปัจจุบันจะไม่มีปากลักษณะนี้แล้วก็ตาม โดยเจ้าหนอนพีนิสเป็นเพียง 1 ใน 3 ชนิด ของสัตว์เลือดสีม่วงทั้งหมด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Cr.https://www.blockdit.com/articles/5ce51d58c816b9103fe7f117?series=5d42ecd6fc1cbe13c7bc1fe9/#
ขออนุญาตและขอบคุณข้อมูลทั้งหมด