▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เที่ยวพม่า
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวต่างประเทศ
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
ประเทศพม่า
[CR] ตะลุยเที่ยวพม่า 7วัน เที่ยวไหนดี
ทริปตะลุยพม่าในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้นะ ที่ได้ไปเที่ยวประเทศพม่าแบบจริงๆจังๆไม่ใช่แค่ไปแอ่วแม่สาย ซื้อถั่วแปยีแล้วก็กลับ(ฮ่าๆ)
การเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางโดยรถตู้ เริ่มต้นจากการผ่านเข้าไปยังด่านชายแดนแม่สอด จ.ตาก ต้องบอกก่อนนะคะว่า หากจะเดินทางเข้ายังประเทศพม่าโดยรถยนต์แล้วหล่ะก็ต้องขอวีซ่าเท่านั้นค่ะ ถึงจะสามารถเข้าไปยังเมืองต่างๆด้านในได้ แต่หากเดินทางโดยเครื่องบิน(ลงยังเมืองใหญ่ๆที่สายการบินพาไป ไม่ต้องทำวีซ่าค่ะ)
เข้ามายังด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็ต้องลงจากรถเพื่อมากรอกเอกสาร ซึ่งการกรอกเอกสาร ก็ต้องดูดีๆด้วยนะคะ เพราะจะมีผลอีกทีตอนเราจะกลับเข้าประเทศค่ะ (เพราะเอกสารของเรา เจ้าหน้าที่ปั้มวันผิด เกือบโดนเข้าห้องเย็นซะแล้ว) เลยอยากจะฝากเตือนว่ากรอกเสร็จต้องเช็คกันแบบละเอียดอีกทีนะคะ
สำหรับการเดินทางเข้ามาเที่ยวยังประเทศพม่า ต้องมีไกด์นำทางด้วยนะคะ เพราะการผ่านเข้าไปยังเมืองต่างๆ จะต้องเสียค่าผ่านทางแล้วยังต้องโชว์เอกสารให้กับทางเจ้าหน้าที่ดูอีกด้วย เราไม่สามารถเที่ยวลำพังได้ เพราะบางเมืองก็ยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวแบบ 100% ไม่สามารถห้อยกล้องถ่ายรูป แล้วเดินถ่ายภาพไปทั่วเมืองได้ ยิ่งเป็นสถานที่ราชการยิ่งห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด แม้แต่จะเดินไปใกล้แล้วยกกล้องขึ้นมา ก็น่าหวาดเสียวค่ะว่าจะโดนขังลืม(อันนี้โดนมากับตัว เพราะว่าเดินใกล้กับสถานที่ราชการ แล้วไกด์รีบวิ่งมาตาม เพราะกลัวเราถ่ายรูป)
สำหรับเส้นทางเมืองเมียววดี รัฐกะเหรี่ยง เข้ายังรัฐมอญ เมืองมะละแหม่ง(ตามหามะเมี๊ยะ) ห่างจากชายแดนแม่สอดประมาณ 170 กม.จะเป็นถนนลาดยางบางช่วงเป็นดินลูกรัง ฝุ่นโขมง รถนั่งกระเด้งกระดอน แต่ก็นะ...อรรถรส!!!
เมืองมะละแหม่ง คนพม่าจะเรียกว่าเมือง ‘เมาะลัมไย’ ส่วนคนไทยสมัยก่อนเรียกว่า ‘เมาะลำเลิง’ ตามตำนานเล่าขานถึงพระเจ้าสามตาที่ภายหลังถูกขุนศึกและเมียรักทรยศหักหลังทำให้ตาที่สามบอด มนต์วิเศษเสื่อม จึงถูกพม่ารุกรานเสียบ้านเสียเมือง จึงได้สาปแช่งไม่ให้มอญรวมตัวกันได้สำเร็จ มะละแหม่งเป็นเมืองหลวงของรัฐมอญและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของพม่า
มะละแหม่งเป็นเมืองที่ทั้งไทยและพม่า ถือกันว่าเป็นดินแดนทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดที่เรียกกันว่า ‘สุวรรณภูมิ’ และทางใต้ของเมืองก็ติดกับเมือง ตันบูซายัด ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานีปลายทางของเส้นทางรถไฟสายมรณะที่เชื่อมต่อจากไทย ถูกสร้างขึ้นจากแรงงานและเชลยศึก ที่ถูกควบคุมโดยกองทัพญี่ปุ่น ในระหว่างปี พ.ศ. 2485 - 2486 เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งกำลังพลจากไทยไปยังพม่า
ต่อมาได้ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดทำลายลงในปี พ.ศ. 2488 เชลยศึกกว่า 13,000 คน ที่ถูกเกณฑ์ไปสร้างทางรถไฟความยาว 424 กม. ตลอดระยะเวลา 14 เดือน ต้องเสียชีวิตบ้างก็ถูกทารุณกรรม ขาดอาหาร และป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ คาดว่ายังมีพลเรือนชาวเอเชียที่ถูกบังคับใช้แรงงานอีกราว 80,000 – 100,000 คน เสียชีวิตลงในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้
KYAIK THAN LAN ว่ากันว่าเป็นวัดที่มะเมี๊ยะได้มาบวชชีและได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่และที่นี่เองยังเป็นที่สาบานรักกับเจ้าน้อยสุขเกษม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงตำนานเล่าขาน แต่ก็เป็นเรื่องราวสุดคลาสสิคที่ชวนให้ผู้คนที่ได้ฟังเรื่องราวนี้ อยากจะมาเห็นที่นี่สักครั้งหนึ่ง
"เจดีย์ไจ๊ตะหลั่น หรือ เจดีย์สยามพ่าย" เจดีย์ที่เจ้าน้อยได้สาบานรักกับมะเมี๊ยะ เจดีย์นี้ยังเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อมอญชนะสยาม วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขากลางเมืองมะละแหม่ง ล้อมรอบไปด้วยบ้านเรือนชาวมะละแหม่ง ถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามแห่งหนึ่งก็ว่าได้ สามารถชมวิวได้แบบพาโนรามา มองไกลๆยังเห็นแม่น้ำสาละวินอีกด้วย (แต่หลังจากเดินทางกลับมาได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่าที่นี่โดนพายุดินถล่ม เสียหายไปพอสมควร)
เชื่อมติดกับวัดนี้ก็มีอีกวัดหนึ่งค่ะ YADANARBON MYINT MONASTERRY วัดยาดานาบอนมินท์ หรือที่ชาวมะละแหม่งเรียกว่า วัดเส่งด่ง (Sein Don) เป็นวัดที่พระมเหสีเซนดง (Queen Sein Don) พระมเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้ามินดง กษัตริย์พม่าแห่งมัณฑะเลย์ เป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้ โดยการก่อสร้างบางส่วนจำลองมาจากพระราชวังที่มัณฑะเลย์ พระมเหสีเซนดงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากและสุดท้ายก็ได้ออกบวชอยู่ที่วัดแห่งนี้ ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้อยู่ที่ งานแกะสลักไม้ที่จำลองมาจากตำหนักเมืองมัณฑะเลย์
จะสังเกตเห็นว่าจิตรกรรมฝาผนังแบบภาพเขียนที่นี่ไม่มีเหมือนไทยเรา แต่จะเป็นการแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าแทน และยังมีการแกะสลักพระพุทธรูปในงาช้างอีกด้วย
จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังเมืองมูเดิง เพื่อกราบขอพรพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (World's largest reclining Buddha) โดยพระนอนมีความยาวประมาณ 170 เมตร ความสูงราวตึก 5 ชั้น หรือสูงประมาณ 110 ฟุต ภายในแบ่ง เป็นห้องต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยรูปปูนปั้นที่แสดงถึงพุทธประวัติคำสอนต่างๆ ของพุทธศาสนา
ถัดจากพระนอน ก็เดินทางต่อไปยังเมืองตันบูซายัด เพื่อไปชมวัดเจดีย์กลางน้ำ "Kyaikkami Yele Pagoda" วัดไจท์คามิ เหย่แลพญา ถือเป็นเจดีย์ในน้ำแห่งที่สองของพม่า ซึ่งแห่งแรกนั้นอยู่ที่เมืองสิเรียม มีตำนานเกี่ยวพันกับวัดเจดีย์ชินโมทิพะยาที่เมืองทวาย พระประธานของเจดีย์นั้นทำจากปูนผสมกับชิ้นส่วนของไม้ศรีมหาโพธิ์ ต้นที่พระองค์ทรงประทับบำเพ็ญเพียรอยู่จนตรัสรู้ กล่าวกันว่ามี 4 องค์ ได้มีผู้นำมาประดิษฐานบนแพลอยมาจากลังกา องค์หนึ่งลอยมาที่เมืองพะสิม องค์หนึ่งลอยมาที่เมืองไจท์คามิ และองค์หนึ่งมาที่เมืองไจท์โท ส่วนอีกองค์หนึ่งลอยมาถึงเมืองทวาย
ชมเจดีย์กลางทะเลเรียบร้อยก็เดินทางตามรอยเจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน เป็นนวนิยายขนาดสั้น ของมาลา คำจันทร์ ได้รับรางวัลซีไรต์ ในปี พ.ศ. 2461 เจ้าจันท์เป็นเจ้าหญิงล้านนาคนงาม เธอต้องเดินทางไปบูชาพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดที่อยู่ในเขตพม่าใกล้เมืองเชียงใหม่ ด้วยความตั้งใจว่าจะตัดผมหอมบูชาพระธาตุ ตำนานเล่าว่าผู้ใดที่ปูผมลอดพระธาตุได้ จะสมหวังในสิ่งใดก็ตามที่ตั้งใจไว้และสำหรับเจ้าจันท์แล้ว เธอกำลังต้องการให้ความหวังที่มีอยู่เป็นความจริง
การเดินทางไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนนั้น ก็ต้องใช้เงินและบริวารในการเดินทางซึ่งเดินทางกันเป็นแรมปี โดยพ่อเลี้ยงได้ให้สัจจะว่าหากเจ้าจันท์ปูผมหอมลอดพระธาตุได้ เขายินดีจะให้เจ้าจันท์แต่งงานกับชายคนรัก แต่ถ้าหากว่าเส้นผมเจ้าจันท์ลอดพระธาตุไม่ได้ ก็ต้องแต่งานกับเขา
เจ้าจันท์เดินทางไปกับบริวารและพ่อเลี้ยง ผู้ที่พ่อและแม่ของเจ้าจันท์เห็นว่าเจ้าจันท์ควรแต่งงานด้วย แต่เจ้าจันท์มีเจ้าพี่อินทะเป็นคนรักอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าอินทะเป็นคนจน รูปหล่อและแต่งโคลงกลอนได้หวานจับใจ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างพ่อเลี้ยงกับเจ้าพี่อินทะ พ่อเลี้ยงเป็นแค่คนรวย แต่ประมาณว่ารูปชั่วตัวดำ ซึ่งไม่เป็นที่ต้องใจของเจ้าจันท์นัก
การเดินทางไปไหว้พระธาตุพระธาตุในครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องตัดสินชีวิตและหัวใจของเจ้าจันท์ ที่จะได้พิสูจน์หัวใจตนเองและได้รู้จักน้ำใจพ่อเลี้ยงที่แม้จะรักเธอเพียงใด
พระธาตุอินแขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย หมายถึง หินรูปหัวฤๅษี เป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง 5.5 เมตร ตั้งอยู่ที่เมืองสะเทิมบนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ คล้ายว่าจะหล่นลงมา แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมาแต่อย่างใด ถือเป็นความอัศจรรย์ที่เชื่อกันว่า เป็นหินที่พระอินทร์นำมาแขวนเอาไว้ และยังมีเจดีย์ที่สร้างไว้บนก้อนหิน ที่จำลองให้เป็นพระเกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีจอ ที่ใครเกิดปีนี้ต้องหาโอกาสไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต
การเดินทางไปยังด้านบนก็ต้องนั่งรถ 6 ล้อ ซึ่งเค้าจะมีเก้าอี้ยาวให้นั่งเรียงกันค่ะ ใช้เวลาเดินทางไปยังด้านบนประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ผ่านโค้งนับสิบผ่านการเบียดเสียดเอนซ้ายทีขวาทีก็ถึง สำหรับคนที่ไม่อยากเดิน ไม่อยากแบก ลาก กระเป๋า ที่นี่เค้าก็มีลูกหาบและเสลี่ยงที่จะพาเราแปลงกายเป็นเจ้านางแบกหาบไปอย่างชิลๆ แต่สนนราคาก็แพงพอสมควร สำหรับค่าเข้าวัดราคาประมาณ 10,000 จ๊าด
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้