สวัสดีค่ะ ต้องขอบคุณเพื่อนที่ให้ยืมแอคเคาท์นะคะ
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าเรากับแฟนคบกันมาประมาณ 1 ปีกว่าๆ เริ่มต้นมาจากการเป็นพี่น้องที่รู้จักกันสมัยเรียนมหาลัย
เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เพราะว่าและเค้าเองต่างเลิกกับแฟน เลยค่อยๆ คุย ค่อยๆ เรียนรู้และตกลงคบกัน
ในช่วงแรกที่คบกันเค้าทำงานอยู่ ตจว. แต่ว่าเค้าเป็นคน กทม. เราก็ไปหาเค้าตลอด แบบเลิกงานก็นั่งเครื่องไป
จนมีวันนึง เค้าอยากกลับมาทำงานที่ กทม. แต่ว่าจะให้บินไปกลับเพื่อสัมภาษณ์มันก็ไม่ค่อยคุ้ม
เราเลยฝากเค้าให้ทำงานที่บริษัทเดียวกับเรา แต่คนละแผนก เค้าเลยได้ย้ายกลับมาอยู่ กทม.
พ่อเค้าเลยให้เค้ากลับไปอยู่บ้านอีกหลังนึงที่ไม่มีคนอยู่และจะได้ดูแลบ้านให้เค้า เพื่อรอขายทอดตลาด
เค้าก็ให้เราไปอยู่ด้วย เราก็ว่าดี ประหยัดค่าหอ เสียแต่ค่ารถงี้จะได้มีเงินเก็บประมาณนี้ค่ะ
ก่อนหน้านี้เรามีคุยกันไปบ้างเรื่องอนาคต จะทำยังไง จะไปอยู่ไหน จะสร้างบ้านยังไง แต่งงานตอนไหน คือเราคุยกันหมด
แบบค่อนข้างวางแผนอีก 5 ปีข้างหน้า ว่าจะเอายังไง
ตอนนั้นเราเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นมากค่ะ เนื่องจากเราทำงานได้เงินเดือนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น
ซึ่งถ้าหากใช้แบบที่ไม่ต้องคิดอะไร อยู่กับเพื่อนไปวันๆ ไม่ต้องเก็บอะไรงี้เราก็อยู่ได้สบาย ข้าวออฟฟิตก็ฟรี มันเลยทำให้เราพอใช้
แต่ว่าเรากับแฟนเราคุยกันเรื่องอนาคตแล้ว เราก็คิดว่า เห้ย!! จะใช้ชีวิตกินแล้วเที่ยวไม่ได้ละนะ ต้องเริ่มเก็บเงินละ
เราเลยตัดสินใจขายของออนไลน์ จนพอเวลาผ่านไป เราก็เริ่มมีเงินเก็บ ธุรกิจก็ไปได้สวย อีกทั้งงานประจำของเราก็ยังไปได้ดีอีก
ไม่มีอะไรที่ทำให้เราดีใจไปมากกว่านี้แล้ว
"เรารักเค้าเพราะว่าเค้าทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น"
แต่ในทางกลับกันพอเราเป็นคนที่ดีขึ้น มันส่งผลให้เค้าแย่ลง...
และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเค้าก็ย้ายออกจากบริษัทเรา เนื่องจากเค้าหางานที่ตรงกับที่เค้าอยากทำได้แล้ว
แต่ก็ต้องยอมรับตรงที่ เราจะมีเวลาให้กันน้อยลงนะ เค้าเดินทางไปทำงานตอนตี 5 และกลับมาช่วง 2 ทุ่ม
ส่วนเราเลิกงานดึก เวลาทำงานก็เกือบๆ เที่ยง เลยทำให้ไม่ค่อยเจอกันแม้จะอยู่บ้านหลังเดียวกัน
และหลังจากนั้นเค้าก็ตัดสินใจเรียน ป.โท ในวันที่เค้าว่างที่เหลืออยู่ ซึ่งกลายเป็นว่าเราจะไม่มีเวลาให้กันแล้ว
เราก็เข้าใจนะ ทุกคนอยากมีแสงสว่างในอนาคตเสมอ เราทำงานประซึ่งเป็นงานที่หนัก เราขายของ กลับมาบ้านก็ยังต้องดูแลบ้าน
ถามว่าตอนนั้นเหนื่อยไหม บอกเลยว่าเหนื่อยมากค่ะ แต่ก็มีความสุขเหมือนกัน เรามีความสุขที่เราสามารถ support คนที่เรารักได้
อันไหนที่เราสามารถทำให้เค้าได้เราก็จะทำ เพราะ
เราคิดว่าเราสามารถใช้เรายิ้มของเค้า มาทำให้เรามีความสุขแบบนั้นก็พอแล้ว
คือตอนนั้นเราเปลี่ยนไปมาก เป็นคนละคนกับตอนที่ก่อนจะคบกัน เลิกเหล้า เลิกเที่ยว เก็บเงิน แต่พยายามทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด
เราเชื่อเสมอว่า ถ้าทำทำอะไรซักอย่างให้มันเต็มที่ ไม่วันใดก็วันนึง สิ่งที่เราทำมันจะตอบแทนเรา
จริงๆ นิสัยของเราก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ใช่คนใจเย็นหรือมีความอดทนมากนัก
แถมยังออกไปในทางสีหม่นๆ ด้วย แต่ว่าเราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่ออนาคตครอบครัวของเรา
พยายามไม่หาเรื่องใส่ตัว ไม่อยากรู้อะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ มีเหตุผล เลือกมองแต่สิ่งที่น่ามองเท่านั้น
แต่ก็นะ ... อะไรที่ไม่เป็นตัวเรา มันอยู่ได้ไม่นานหรอก
เรากับแฟนค่อยๆ ห่างกัน เราทำงานหนักเนื่องจากใกล้เข้าสู่ประเมินปลายปี เค้าก็เริ่มไม่สนใจเรา ไม่คุย ไม่แชร์อะไรให้ฟังเหมือนแต่ก่อน
ช่วงนั้นเราเริ่มเข้าสู่สภาวะโรคซึมเศร้า พอเราดิ่งๆ เค้าก็จะเริ่มแยกตัวออกไป ตอนนั้นคือแบบ... นี่แบบไม่เป็นห่วงเราบ้างหรอ ?
ไม่ถามเราบ้างหรอว่าเราไปเจออะไรมา ตอนนั้นเราเป็นยังไง โอเคไหม มีเรื่องอะไรให้เค้าช่วยหรือเปล่า ?
เค้าเดินหนีเราทั้งที่เรานั่งร้องไห้ และเค้าก็ทำแบบนั้นมาเรื่อยๆ ส่วนเราเคยทำอะไรให้เค้ายังไง เราก็ยังทำแบบนั้นเสมอ แต่เราไม่มีความสุขแล้ว
เวลาเราทำอะไรให้ใคร เราก็หวังว่ามันจะตอบแทนเราหรือเปล่า ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก
จนมาถึงจุดที่เราทนไม่ได้แล้ว คือทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมกันหมด เรื่องครอบครัว เงิน งาน ธุรกิจ และเค้า เราเลยคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่าง ไม่งั้นมันจะพังกันหมด บทสรุปที่เราเลือกคือ เรื่องความรัก ถ้าอยากจะรักกันต่อเราต้องเปลี่ยน เพราะเรื่องอื่นเราตัดไม่ได้ไง ครอบครัวงี้ เงินไม่มีก็ไม่ได้ ตัดงานออกก็ขาดเงิน เราเลยเลือกจะตัดเค้าทั้งที่ยังรัก...
รู้ไหม ? เค้าตอบเรามาว่าอะไร
“พี่ว่าเราพอแค่นี้กันดีกว่า พี่ไม่ได้รักเราแล้ว...
ตอนนี้พี่รู้สึกเฉยๆ กับเรามาก พี่รู้ว่าเราพยายามมาตลอด
แต่ความดีกับความรักมันคนละเรื่อง
ไม่ใช่ไม่รู้สึกดี แต่มันไม่ได้ทำให้รู้สึกรัก แค่นั้นเอง”
พอรู้ว่าเหตุผลเค้าเป็นแบบนี้ เราเข้าใจ เข้าใจทุกอย่างเลย ไม่รักก็คือไม่รักป่ะ
เราไม่ยื้อ อยากเลิก เราก็จะเลิกให้ ในเมื่อมันไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เราก็จะพอกันแค่นี้ ดีกว่าทนอยู่ไปแล้ววันนึงต้องเกลียดกัน
แต่ด้วยความเรายังอยู่บ้านเดียวกัน แพลนจะไปดูคอนเสิร์ตก็มี เพื่อนจะมาค้างที่บ้านเอย
เราไม่อยากให้ใครต้องกังวล ซึ่งเราเลิกกันได้ 3 วันเอง เราพยายามทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น
วันที่เพื่อนเค้ามา เราก็พาเพื่อนและแฟนเพื่อนเค้าเที่ยวกรุงเทพ วันที่ไปคอนเสิร์ตคือเพลงเศร้ามาก
เค้าก็ยืนอยู่ข้างหลังเรา เราร้องไห้ แต่เค้าก็ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ไม่ปลอบ ไม่ถามว่าเราเป็นไงบ้างโอเคไหม...
เราเริ่มหาอพาตเม้นไว้แล้วตั้งแต่เลิกกัน เราตัดสินใจออกมาเอง เราจะไม่เอาอะไรเลย
อะไรที่ผ่อนที่ซื้อด้วยกัน ให้เค้าหมดเลย เรายกให้... เราจะไปใช้ชีวิตของเราและเริ่มต้นใหม่ของเราเอง
แต่ช่วงที่เรารอย้าย เค้าก็เริ่มไม่กลับบ้าน ถุงยางอนามัยที่เคยซื้อไว้มันก็ค่อยๆ หายไป แต่เราไม่มีสิทธิ์อะไรไปถามหรือซักไซร้เค้าแล้วไง
เราเลิกกันแล้ว เสียใจแล้วยังไง มันเป็นสิทธิ์ของเค้า เราเลยเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
จนมาถึงวันที่ทำให้เราเสียใจและเจ็บใจที่สุดคือ ที่ออฟฟิตเรามีงาน เราเลยตัดสินใจเช่าโรงแรมที่ใกล้ๆ ที่ทำงาน ประมาณ 1-2 วันและกลับไปนอนบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ โรงแรมที่เราเช่าอยู่เป็นแบบ Hostel คือนอนรวม ผญ ผช นอนรวมกันหมด ถามว่าอันตรายไหม ก็อันตราย แต่ดีที่ Hostel ที่เรานอนคือทั้งเพื่อนร่วมห้องและเจ้าของน่ารักมาก เราเลยไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้
พอเริ่มเข้าวันที่ 2 ที่เราไปนอน hostel อยู่เฉยๆ เค้าก็ทักและโทรมา ถามว่าเราจะกลับวันไหนอีก 4-5 วันค่อยกลับได้ไหม ให้นอน hostel ไปก่อน แล้วค่อยกลับมาบ้าน เราก็งงว่าอะไร ทำไมต้องให้ทำแบบนี้ พอถามไปถามมา คือเค้าจะพา ผญที่เค้าคุยด้วยมาอยู่ที่บ้าน ให้เราไปนอนที่อื่นก่อน
คำถามแรกคือ.. นี่เราโดนไล่ออกจากบ้านใช่ไหมวะ ?
คำถามถัดมาคือ.. ทำไมเค้า move on เร็วจัง ไม่เสียใจบ้างหรอ
คำถามสุดท้าย.. ทำไมเค้าไม่แคร์ ไม่สนใจเราเลย อย่างน้อยก็ขอแค่ให้เกียรติเรา ให้เราออกมาจากที่บ้านก่อนก็ได้ อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว หลังจากนั้นคุณอยากไปทำอะไร พาใครมาคุณทำเลย แต่ระหว่างรอเราย้าย ถ้าจะมีใครก็ช่วยไปที่อื่นก่อน เราไม่อยากรู้ว่าคุณมีใคร เรายังรักคุณอยู่ แค่นี้ทำให้เราไม่ได้หรอ ครั้งสุดท้ายแล้วไง ช่วยรอเราออกไปก่อน..
เค้ารอไม่ได้..
ยังไงเราต้องไปนอนที่ hostel
ระหว่าง 1-2 วันนี้เราก็คิดว่า เราไม่อยากกลับไปบ้านหลังนั้นแล้ว ไม่อยากเจอ ไม่อยากจะมีอะไรข้องเกี่ยวกับเค้าแล้ว นอนโรงแรมก่อนจะย้ายเข้าอพาตเม้นใหม่ก็ได้ เสียเงินช่างมัน แต่ดีกว่าต้องกลับไปเจอคนที่ทำให้เราเสียใจขนาดนี้ และวันนั้นเราเลยลางานตอนบ่ายพร้อมกับเพื่อนสนิทอีก 1 คนกลับไปเก็บของ ถ้ารีบเก็บตั้งแต่กลางวัน ก็จะได้ไม่ต้องเจอเค้า...
ไปครั้งแรก เราเห็นว่ามีเสื้อผ้า พวกแปรงสีฟันหรือของใช้ส่วนตัวเค้าหายไปนิดหน่อย เราจึงคิดว่า เอ้อ เค้าคงไปนอนที่อื่น งั้นเราก็จะได้ไม่ต้องรีบเก็บของ ค่อยๆ เก็บ มันจึงทำให้มีของอีกบางส่วนที่ต้องกลับไปเอารอบที่สอง
ระหว่างขับรถไปเอาของรอบสอง ทั้งเค้าและเพื่อนเค้าก็โทรหาเรา แต่เราไม่ได้รับ เนื่องจากขนของไปไว้ของเพื่อนอยู่และตอนนี้ก็ขับรถ เลยไม่ได้รับ มารู้ตัวว่าเค้าโทรมาก็ทางเข้าหน้าหมู่บ้านแล้ว เลยตัดสินใจว่าถึงหน้าบ้านแล้วเดี๋ยวจะโทรกลับ แต่ในใจเราตะหงิดๆ แล้วว่ามันจะต้องเกิดไรขึ้นแน่ๆ ปกติเค้าไม่เป็นแบบนี้ แล้วมันก็มีจริงๆ
พอขับรถไปจอดหน้าบ้าน เราเห็นเค้ากับผู้หญิงอีกคนกินข้าวและนั่งดูทีวี พอเค้าเห็นเรา เค้ารีบวิ่งมาล็อคประตูหน้าบ้าน เพื่อไม่ให้เราเข้าบ้าน และบอกให้ผู้หญิงขึ้นไปหลบชั้น 2 ตอนนั้นต่อมเป็นคนดีแตกดังเปรี๊ยะ คือคิดละว่ายังไงเราจะต้องเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นให้ได้ อย่างน้อยๆ
ถ้าจะต้องเสียใจขนาดนี้เราควรรู้ว่าเพราะอะไร ไม่ใช่แค่เพราะไม่รักคำเดียว...
เราเลยทำเหมือนว่าเราไม่เป็นไร เราแค่มาเอาของที่เหลือ เพราะเราจะไม่กลับมาแล้ว ขอเราเข้าไปเอาของได้ไหม เค้าเลยยอมให้เราเข้าบ้าน อาจจะเพราะความเชื่อว่าเราเป็นคนใจเย็น มีเหตุผล เพราะอยู่กับเค้าเราทำแบบนั้นมาโดยตลอด เค้าเลยไว้ใจมั้งคะ...
แต่...ผู้หญิงที่ขึ้นไปหลบชั้น 2 ดันไปยืนหลบที่หน้าตู้เสื้อผ้าของเราเอง เราเห็นเราก็เปิดไฟ พอได้เห็นหน้าของผู้หญิงแล้วมันทำให้เรายืนแทบไม่ได้เลย ผญ คนนั้นเป็นแฟนเก่าของเค้าและพึ่งกลับมาจากอเมริกาเพื่อต่อวีซ่า เค้าเลิกกันเป็นปีๆ แล้วนี่นา กลับมาได้ยังไง ตอนนั้นเราไม่ไหว น้ำตาความรู้สึกเราแย่ไปหมด ความโมโห ความเก็บกดทุกอย่างมันระเบิดออกมาจนเราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เพื่อนก็เข้ามาห้าม เค้าก็พยายามลากเราลงจากชั้น 2 เพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นหลบต่อ พอถึงข้างล่าง เราก็ถาม ถามทุกอย่างที่อยากรู้ พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง ถามไปก็ร้องไห้ไป ทำไมวะ!!! ทำไมต้องทำกับเราขนาดนี้ ตลอดเวลาที่คบกันไม่เคยรักเราเลยหรอ สิ่งที่เราทำให้ไม่ส่งผลถึงความรู้สึกเค้าบ้างเลยหรอ แค่เพียงแค่ให้เค้าให้เกียรติและรักษาน้ำใจเราบ้าง เราไม่ได้ขอร้องให้คุณกลับมา เราแค่ของให้รอเราไปจากที่นี่ก่อน จนเราร้องไห้ไปได้ซักพักนึง เค้าก็พูดในสิ่งที่ทำให้เราคิดได้ ทำให้เรารู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อจากนี้คือ...
“เมื่อไหร่จะไป จะพักผ่อน”
หืออ.. เค้าไล่เราขนาดนี้แล้วจะอยู่ไปเพื่อไรอีกวะ กลับดิ!! น้ำตาก็หยุดไหลเลยดื้อๆ
แต่ก่อนกลับ เราบอกเพื่อว่า
อันไหนที่เป็นของเราเอามาให้หมด ทีวี ลำโพง ยกขึ้นรถให้หมด ถ้าเอาเข้าไม่ได้ให้เอาไปไว้ที่บ้านข้างๆ เผื่อบ้านข้างๆ จะเอาไปใช้ เราไม่ได้ใช้คุณก็อย่าหวังว่าคุณจะได้ใช้เหมือนกัน จากเสียใจกลายเป็นเจ็บใจ และโมโห ตะโกนด่าเค้าต่างๆ นานาๆ ก่อนที่จะขึ้นรถขับกลับออกจากนรกขุมนี้ซักที
เราถูกไล่ออกจากบ้าน เพราะแฟนเราจะเอาผู้หญิงที่เป็นแฟนเก่าของเค้ามานอนที่บ้าน ! พร้อมกับแจ้งความจับเราข้อหาบุกรุก
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าเรากับแฟนคบกันมาประมาณ 1 ปีกว่าๆ เริ่มต้นมาจากการเป็นพี่น้องที่รู้จักกันสมัยเรียนมหาลัย
เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เพราะว่าและเค้าเองต่างเลิกกับแฟน เลยค่อยๆ คุย ค่อยๆ เรียนรู้และตกลงคบกัน
ในช่วงแรกที่คบกันเค้าทำงานอยู่ ตจว. แต่ว่าเค้าเป็นคน กทม. เราก็ไปหาเค้าตลอด แบบเลิกงานก็นั่งเครื่องไป
จนมีวันนึง เค้าอยากกลับมาทำงานที่ กทม. แต่ว่าจะให้บินไปกลับเพื่อสัมภาษณ์มันก็ไม่ค่อยคุ้ม
เราเลยฝากเค้าให้ทำงานที่บริษัทเดียวกับเรา แต่คนละแผนก เค้าเลยได้ย้ายกลับมาอยู่ กทม.
พ่อเค้าเลยให้เค้ากลับไปอยู่บ้านอีกหลังนึงที่ไม่มีคนอยู่และจะได้ดูแลบ้านให้เค้า เพื่อรอขายทอดตลาด
เค้าก็ให้เราไปอยู่ด้วย เราก็ว่าดี ประหยัดค่าหอ เสียแต่ค่ารถงี้จะได้มีเงินเก็บประมาณนี้ค่ะ
ก่อนหน้านี้เรามีคุยกันไปบ้างเรื่องอนาคต จะทำยังไง จะไปอยู่ไหน จะสร้างบ้านยังไง แต่งงานตอนไหน คือเราคุยกันหมด
แบบค่อนข้างวางแผนอีก 5 ปีข้างหน้า ว่าจะเอายังไง
ตอนนั้นเราเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นมากค่ะ เนื่องจากเราทำงานได้เงินเดือนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น
ซึ่งถ้าหากใช้แบบที่ไม่ต้องคิดอะไร อยู่กับเพื่อนไปวันๆ ไม่ต้องเก็บอะไรงี้เราก็อยู่ได้สบาย ข้าวออฟฟิตก็ฟรี มันเลยทำให้เราพอใช้
แต่ว่าเรากับแฟนเราคุยกันเรื่องอนาคตแล้ว เราก็คิดว่า เห้ย!! จะใช้ชีวิตกินแล้วเที่ยวไม่ได้ละนะ ต้องเริ่มเก็บเงินละ
เราเลยตัดสินใจขายของออนไลน์ จนพอเวลาผ่านไป เราก็เริ่มมีเงินเก็บ ธุรกิจก็ไปได้สวย อีกทั้งงานประจำของเราก็ยังไปได้ดีอีก
ไม่มีอะไรที่ทำให้เราดีใจไปมากกว่านี้แล้ว
"เรารักเค้าเพราะว่าเค้าทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น"
แต่ในทางกลับกันพอเราเป็นคนที่ดีขึ้น มันส่งผลให้เค้าแย่ลง...
และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเค้าก็ย้ายออกจากบริษัทเรา เนื่องจากเค้าหางานที่ตรงกับที่เค้าอยากทำได้แล้ว
แต่ก็ต้องยอมรับตรงที่ เราจะมีเวลาให้กันน้อยลงนะ เค้าเดินทางไปทำงานตอนตี 5 และกลับมาช่วง 2 ทุ่ม
ส่วนเราเลิกงานดึก เวลาทำงานก็เกือบๆ เที่ยง เลยทำให้ไม่ค่อยเจอกันแม้จะอยู่บ้านหลังเดียวกัน
และหลังจากนั้นเค้าก็ตัดสินใจเรียน ป.โท ในวันที่เค้าว่างที่เหลืออยู่ ซึ่งกลายเป็นว่าเราจะไม่มีเวลาให้กันแล้ว
เราก็เข้าใจนะ ทุกคนอยากมีแสงสว่างในอนาคตเสมอ เราทำงานประซึ่งเป็นงานที่หนัก เราขายของ กลับมาบ้านก็ยังต้องดูแลบ้าน
ถามว่าตอนนั้นเหนื่อยไหม บอกเลยว่าเหนื่อยมากค่ะ แต่ก็มีความสุขเหมือนกัน เรามีความสุขที่เราสามารถ support คนที่เรารักได้
อันไหนที่เราสามารถทำให้เค้าได้เราก็จะทำ เพราะเราคิดว่าเราสามารถใช้เรายิ้มของเค้า มาทำให้เรามีความสุขแบบนั้นก็พอแล้ว
คือตอนนั้นเราเปลี่ยนไปมาก เป็นคนละคนกับตอนที่ก่อนจะคบกัน เลิกเหล้า เลิกเที่ยว เก็บเงิน แต่พยายามทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด
เราเชื่อเสมอว่า ถ้าทำทำอะไรซักอย่างให้มันเต็มที่ ไม่วันใดก็วันนึง สิ่งที่เราทำมันจะตอบแทนเรา
จริงๆ นิสัยของเราก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ใช่คนใจเย็นหรือมีความอดทนมากนัก
แถมยังออกไปในทางสีหม่นๆ ด้วย แต่ว่าเราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่ออนาคตครอบครัวของเรา
พยายามไม่หาเรื่องใส่ตัว ไม่อยากรู้อะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ มีเหตุผล เลือกมองแต่สิ่งที่น่ามองเท่านั้น
แต่ก็นะ ... อะไรที่ไม่เป็นตัวเรา มันอยู่ได้ไม่นานหรอก
เรากับแฟนค่อยๆ ห่างกัน เราทำงานหนักเนื่องจากใกล้เข้าสู่ประเมินปลายปี เค้าก็เริ่มไม่สนใจเรา ไม่คุย ไม่แชร์อะไรให้ฟังเหมือนแต่ก่อน
ช่วงนั้นเราเริ่มเข้าสู่สภาวะโรคซึมเศร้า พอเราดิ่งๆ เค้าก็จะเริ่มแยกตัวออกไป ตอนนั้นคือแบบ... นี่แบบไม่เป็นห่วงเราบ้างหรอ ?
ไม่ถามเราบ้างหรอว่าเราไปเจออะไรมา ตอนนั้นเราเป็นยังไง โอเคไหม มีเรื่องอะไรให้เค้าช่วยหรือเปล่า ?
เค้าเดินหนีเราทั้งที่เรานั่งร้องไห้ และเค้าก็ทำแบบนั้นมาเรื่อยๆ ส่วนเราเคยทำอะไรให้เค้ายังไง เราก็ยังทำแบบนั้นเสมอ แต่เราไม่มีความสุขแล้ว
เวลาเราทำอะไรให้ใคร เราก็หวังว่ามันจะตอบแทนเราหรือเปล่า ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก
จนมาถึงจุดที่เราทนไม่ได้แล้ว คือทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมกันหมด เรื่องครอบครัว เงิน งาน ธุรกิจ และเค้า เราเลยคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่าง ไม่งั้นมันจะพังกันหมด บทสรุปที่เราเลือกคือ เรื่องความรัก ถ้าอยากจะรักกันต่อเราต้องเปลี่ยน เพราะเรื่องอื่นเราตัดไม่ได้ไง ครอบครัวงี้ เงินไม่มีก็ไม่ได้ ตัดงานออกก็ขาดเงิน เราเลยเลือกจะตัดเค้าทั้งที่ยังรัก...
รู้ไหม ? เค้าตอบเรามาว่าอะไร
“พี่ว่าเราพอแค่นี้กันดีกว่า พี่ไม่ได้รักเราแล้ว...
ตอนนี้พี่รู้สึกเฉยๆ กับเรามาก พี่รู้ว่าเราพยายามมาตลอด
แต่ความดีกับความรักมันคนละเรื่อง
ไม่ใช่ไม่รู้สึกดี แต่มันไม่ได้ทำให้รู้สึกรัก แค่นั้นเอง”
พอรู้ว่าเหตุผลเค้าเป็นแบบนี้ เราเข้าใจ เข้าใจทุกอย่างเลย ไม่รักก็คือไม่รักป่ะ
เราไม่ยื้อ อยากเลิก เราก็จะเลิกให้ ในเมื่อมันไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เราก็จะพอกันแค่นี้ ดีกว่าทนอยู่ไปแล้ววันนึงต้องเกลียดกัน
แต่ด้วยความเรายังอยู่บ้านเดียวกัน แพลนจะไปดูคอนเสิร์ตก็มี เพื่อนจะมาค้างที่บ้านเอย
เราไม่อยากให้ใครต้องกังวล ซึ่งเราเลิกกันได้ 3 วันเอง เราพยายามทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น
วันที่เพื่อนเค้ามา เราก็พาเพื่อนและแฟนเพื่อนเค้าเที่ยวกรุงเทพ วันที่ไปคอนเสิร์ตคือเพลงเศร้ามาก
เค้าก็ยืนอยู่ข้างหลังเรา เราร้องไห้ แต่เค้าก็ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ไม่ปลอบ ไม่ถามว่าเราเป็นไงบ้างโอเคไหม...
เราเริ่มหาอพาตเม้นไว้แล้วตั้งแต่เลิกกัน เราตัดสินใจออกมาเอง เราจะไม่เอาอะไรเลย
อะไรที่ผ่อนที่ซื้อด้วยกัน ให้เค้าหมดเลย เรายกให้... เราจะไปใช้ชีวิตของเราและเริ่มต้นใหม่ของเราเอง
แต่ช่วงที่เรารอย้าย เค้าก็เริ่มไม่กลับบ้าน ถุงยางอนามัยที่เคยซื้อไว้มันก็ค่อยๆ หายไป แต่เราไม่มีสิทธิ์อะไรไปถามหรือซักไซร้เค้าแล้วไง
เราเลิกกันแล้ว เสียใจแล้วยังไง มันเป็นสิทธิ์ของเค้า เราเลยเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
จนมาถึงวันที่ทำให้เราเสียใจและเจ็บใจที่สุดคือ ที่ออฟฟิตเรามีงาน เราเลยตัดสินใจเช่าโรงแรมที่ใกล้ๆ ที่ทำงาน ประมาณ 1-2 วันและกลับไปนอนบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ โรงแรมที่เราเช่าอยู่เป็นแบบ Hostel คือนอนรวม ผญ ผช นอนรวมกันหมด ถามว่าอันตรายไหม ก็อันตราย แต่ดีที่ Hostel ที่เรานอนคือทั้งเพื่อนร่วมห้องและเจ้าของน่ารักมาก เราเลยไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้
พอเริ่มเข้าวันที่ 2 ที่เราไปนอน hostel อยู่เฉยๆ เค้าก็ทักและโทรมา ถามว่าเราจะกลับวันไหนอีก 4-5 วันค่อยกลับได้ไหม ให้นอน hostel ไปก่อน แล้วค่อยกลับมาบ้าน เราก็งงว่าอะไร ทำไมต้องให้ทำแบบนี้ พอถามไปถามมา คือเค้าจะพา ผญที่เค้าคุยด้วยมาอยู่ที่บ้าน ให้เราไปนอนที่อื่นก่อน
คำถามแรกคือ.. นี่เราโดนไล่ออกจากบ้านใช่ไหมวะ ?
คำถามถัดมาคือ.. ทำไมเค้า move on เร็วจัง ไม่เสียใจบ้างหรอ
คำถามสุดท้าย.. ทำไมเค้าไม่แคร์ ไม่สนใจเราเลย อย่างน้อยก็ขอแค่ให้เกียรติเรา ให้เราออกมาจากที่บ้านก่อนก็ได้ อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว หลังจากนั้นคุณอยากไปทำอะไร พาใครมาคุณทำเลย แต่ระหว่างรอเราย้าย ถ้าจะมีใครก็ช่วยไปที่อื่นก่อน เราไม่อยากรู้ว่าคุณมีใคร เรายังรักคุณอยู่ แค่นี้ทำให้เราไม่ได้หรอ ครั้งสุดท้ายแล้วไง ช่วยรอเราออกไปก่อน..
เค้ารอไม่ได้..
ยังไงเราต้องไปนอนที่ hostel
ระหว่าง 1-2 วันนี้เราก็คิดว่า เราไม่อยากกลับไปบ้านหลังนั้นแล้ว ไม่อยากเจอ ไม่อยากจะมีอะไรข้องเกี่ยวกับเค้าแล้ว นอนโรงแรมก่อนจะย้ายเข้าอพาตเม้นใหม่ก็ได้ เสียเงินช่างมัน แต่ดีกว่าต้องกลับไปเจอคนที่ทำให้เราเสียใจขนาดนี้ และวันนั้นเราเลยลางานตอนบ่ายพร้อมกับเพื่อนสนิทอีก 1 คนกลับไปเก็บของ ถ้ารีบเก็บตั้งแต่กลางวัน ก็จะได้ไม่ต้องเจอเค้า...
ไปครั้งแรก เราเห็นว่ามีเสื้อผ้า พวกแปรงสีฟันหรือของใช้ส่วนตัวเค้าหายไปนิดหน่อย เราจึงคิดว่า เอ้อ เค้าคงไปนอนที่อื่น งั้นเราก็จะได้ไม่ต้องรีบเก็บของ ค่อยๆ เก็บ มันจึงทำให้มีของอีกบางส่วนที่ต้องกลับไปเอารอบที่สอง
ระหว่างขับรถไปเอาของรอบสอง ทั้งเค้าและเพื่อนเค้าก็โทรหาเรา แต่เราไม่ได้รับ เนื่องจากขนของไปไว้ของเพื่อนอยู่และตอนนี้ก็ขับรถ เลยไม่ได้รับ มารู้ตัวว่าเค้าโทรมาก็ทางเข้าหน้าหมู่บ้านแล้ว เลยตัดสินใจว่าถึงหน้าบ้านแล้วเดี๋ยวจะโทรกลับ แต่ในใจเราตะหงิดๆ แล้วว่ามันจะต้องเกิดไรขึ้นแน่ๆ ปกติเค้าไม่เป็นแบบนี้ แล้วมันก็มีจริงๆ
พอขับรถไปจอดหน้าบ้าน เราเห็นเค้ากับผู้หญิงอีกคนกินข้าวและนั่งดูทีวี พอเค้าเห็นเรา เค้ารีบวิ่งมาล็อคประตูหน้าบ้าน เพื่อไม่ให้เราเข้าบ้าน และบอกให้ผู้หญิงขึ้นไปหลบชั้น 2 ตอนนั้นต่อมเป็นคนดีแตกดังเปรี๊ยะ คือคิดละว่ายังไงเราจะต้องเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นให้ได้ อย่างน้อยๆ ถ้าจะต้องเสียใจขนาดนี้เราควรรู้ว่าเพราะอะไร ไม่ใช่แค่เพราะไม่รักคำเดียว...
เราเลยทำเหมือนว่าเราไม่เป็นไร เราแค่มาเอาของที่เหลือ เพราะเราจะไม่กลับมาแล้ว ขอเราเข้าไปเอาของได้ไหม เค้าเลยยอมให้เราเข้าบ้าน อาจจะเพราะความเชื่อว่าเราเป็นคนใจเย็น มีเหตุผล เพราะอยู่กับเค้าเราทำแบบนั้นมาโดยตลอด เค้าเลยไว้ใจมั้งคะ...
แต่...ผู้หญิงที่ขึ้นไปหลบชั้น 2 ดันไปยืนหลบที่หน้าตู้เสื้อผ้าของเราเอง เราเห็นเราก็เปิดไฟ พอได้เห็นหน้าของผู้หญิงแล้วมันทำให้เรายืนแทบไม่ได้เลย ผญ คนนั้นเป็นแฟนเก่าของเค้าและพึ่งกลับมาจากอเมริกาเพื่อต่อวีซ่า เค้าเลิกกันเป็นปีๆ แล้วนี่นา กลับมาได้ยังไง ตอนนั้นเราไม่ไหว น้ำตาความรู้สึกเราแย่ไปหมด ความโมโห ความเก็บกดทุกอย่างมันระเบิดออกมาจนเราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เพื่อนก็เข้ามาห้าม เค้าก็พยายามลากเราลงจากชั้น 2 เพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นหลบต่อ พอถึงข้างล่าง เราก็ถาม ถามทุกอย่างที่อยากรู้ พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง ถามไปก็ร้องไห้ไป ทำไมวะ!!! ทำไมต้องทำกับเราขนาดนี้ ตลอดเวลาที่คบกันไม่เคยรักเราเลยหรอ สิ่งที่เราทำให้ไม่ส่งผลถึงความรู้สึกเค้าบ้างเลยหรอ แค่เพียงแค่ให้เค้าให้เกียรติและรักษาน้ำใจเราบ้าง เราไม่ได้ขอร้องให้คุณกลับมา เราแค่ของให้รอเราไปจากที่นี่ก่อน จนเราร้องไห้ไปได้ซักพักนึง เค้าก็พูดในสิ่งที่ทำให้เราคิดได้ ทำให้เรารู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อจากนี้คือ...
“เมื่อไหร่จะไป จะพักผ่อน”
หืออ.. เค้าไล่เราขนาดนี้แล้วจะอยู่ไปเพื่อไรอีกวะ กลับดิ!! น้ำตาก็หยุดไหลเลยดื้อๆ
แต่ก่อนกลับ เราบอกเพื่อว่า อันไหนที่เป็นของเราเอามาให้หมด ทีวี ลำโพง ยกขึ้นรถให้หมด ถ้าเอาเข้าไม่ได้ให้เอาไปไว้ที่บ้านข้างๆ เผื่อบ้านข้างๆ จะเอาไปใช้ เราไม่ได้ใช้คุณก็อย่าหวังว่าคุณจะได้ใช้เหมือนกัน จากเสียใจกลายเป็นเจ็บใจ และโมโห ตะโกนด่าเค้าต่างๆ นานาๆ ก่อนที่จะขึ้นรถขับกลับออกจากนรกขุมนี้ซักที