Weathering With You : ลำนำท้าโชคชะตาแห่งท้องนภา ท่ามกลางสังคมสีเทา

"ผมเดินทางมาจากบ้านเกิดของผมบนเกาะแห่งหนึ่ง ผมทนมาพอแล้วกับปัญหาครอบครัวที่ลงแต่ผม และสาบานว่าจะไม่ขอกลับไปที่นั่นอีก ผมจะขอใช้ชีวิต ทำงานที่ผมอยากจะไปมากที่สุด นั่นก็คือ โตเกียว ก่อนหน้านั้นผมได้เก็บเงินจากการทำงานพิเศษที่บ้านเกิด โดยตั้งใจเลยว่าจะหนีออกไปจากเกาะให้ได้ การเก็บเงินใช้เวลาไม่กี่ปี ในที่สุด ผมก็จบการศึกษาภาคบังคับเสียที! แล้วผมก็จะได้ใช้เงินเพื่อเดินทางไปโตเกียว อยู่ที่นั่น แล้วหางานเรื่อยๆเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าคนอย่างผมก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพ่อแม่หรือผู้ปกครองเสมอไป!
   ทว่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่กวนใจผมในตอนนี้ นั่นก็คือ ในโตเกียวนั้น แม้จะมีงานพิเศษให้ทำมากมาย แต่เท่าที่ผมรู้มา งานพิเศษส่วนใหญ่ต้องใช้บัตรนักศึกษาในการยืนยันตนว่าเรานั้นสำเร็จการศึกษาภาคบังคับแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมหนักใจ แต่ยังมีอีกขั้นตอนนึง คือเมื่อยื่นไปแล้วต้องได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครองถ้าเด็กคนนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ(20 ปีบริบูรณ์) ซึ่งก็คือพ่อแม่นั่นแหละง่ายที่สุด แต่ผมไม่อยากให้ครอบครัวของผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าเกิดติดต่อกับครอบครัว แล้วบอกว่าผมเองหนีออกจากบ้านมา ผมคงโดนลากกลับบ้านแน่ สิ่งที่ผมจะทำได้ก็คือการหางานที่ไม่เกี่ยงกับการใช้บัตรนักศึกษาหรือการสร้างสิ่งของค้าขายเอง ซึ่งอย่างแรกผมก็หวั่นเหมือนกันว่าหลายงานนั้นอาจเป็นงานผิดกฏหมาย เพราะโตเกียวก็มีด้านมืดเหมือนกัน ตรงนี้ผมรู้ดี อย่างที่สองนี่ ถึงผมจะมีทุนในการซื้อของอยู่ แต่ผมไม่ได้มีความสามารถเรื่องงานประดิดประดอยพอที่จะทำสิ่งของเหล่านั้นได้ ผมคงต้องเลือกอย่างแรกแล้วล่ะ
  ระหว่างทางที่ผมเดินทางโดยเรือโดยสารยิงยาวจากเกาะของผมไปยังโตเกียว ตอนนั้นเองฝนก็ได้ตกลงมา ผมเป็นคนชอบฝนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นชาวเกาะ ฝนก็คือน้ำจืด ที่เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากๆสำหรับทุกคนที่อยู่ท่ามกลางเกาะที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลน้ำเค็มอันกว้างใหญ่ไพศาล ในขณะนั้นเอง ตอนที่ผมกำลังโอบรับสายฝนเหล่านั้น ก็มีคลื่นซัดเข้ามาที่เรือจนทำให้ผมเกือบจะตกทะเลเลย ถ้าไม่ได้ชายคนนึงที่อุส่าฝ่าสายฝนมาช่วยชีวิตผมไว้ ชายคนนั้นดูรุ่นคราวเดียวกับชายฉกรรจ์ และดูไม่ค่อยจะเข้าสังคมเท่าไหร่ แต่ในฐานะที่เขาช่วยชีวิตผม ผมก็เลยต้องตอบแทนสิ่งที่เขาต้องการ ด้วยการกดตู้ซื้อเบียร์ให้เขาเป็นการตอบแทน เหอๆ แต่เขาก็ไม่ได้บอกขอบคุณเฉยๆ เขายังถามผมว่า "เข้าโตเกียวนี่จะทำงานพิเศษใช่มั้ยล่ะ" ผมก็ตอบตามตรง เขาก็เสนองานของเขาให้ เป็นงานของบริษัทเล็กๆของเขาที่ชื่อว่า K ผมก็รับไว้ เผื่อถ้าเข้าตาจนจริงๆ ผมคงได้ทำงานกับเขาแน่ แต่ก็นะ ดูท่าทางเขาจะไม่น่าใช่เจ้านายที่ดีสักเท่าไหร่ 
และนั่น คือจุดเริ่มต้นของชีวิตในโตเกียวของผม ที่ยิ่งกว่านิยาย Catcher in the Rye ที่ผมเอามาอ่านเวลาว่างด้วยเสียอีก!"

โฮดากะ หลังจากที่เดินทางเข้าสู่โตเกียว

"ตั้งแต่เข้าตัวเมืองโตเกียวมา ผมอาศัยอยู่ในห้องพักชั่วคราว หมดเวลาไปกับการหางานพิเศษที่ไม่ต้องใช้บัตรนักศีกษาตั้งแต่สายๆยันดึก สอบถามกับพวกงานขายของชำบ้าง เด็กส่งของบ้าง ผู้เผ้าร้านบ้าง แต่ทุกงานตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รับคนที่ไม่มีบัตรนักศึกษา บางทีนะ ผมรู้สึกหมั่นไส้อยากจะยื่นบัตรให้ดูเลยว่าผมจบการศึกษาภาคบังคับแล้วนะ แต่มาคิดอีกทีผมกลัวการโดนแจ้งกับครอบครัวผม แล้วพวกเขาก็จะลากผมกลับบ้านอีก ผมก็เลยต้องยอมรับสภาพไป ผมคงหวั่นว่าสุดท้ายแล้วผมคงต้องไปทำงานด้านมืด แล้วผมก็จะเสี่ยงที่จะโดนจับกุมได้ ผมคิดแล้วคิดอีกมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินที่ผมมีอยู่นี่เยอะก็จริง ผมควรจะมีความสุขกับการได้กินร้านอาหารดีๆในโตเกียวที่ผมไม่สามารถหาจากเกาะที่ผมจากมาได้ ได้เล่นเกมอาเขตที่ผมเคยได้แต่ฝัน ผมก็ได้เล่นมาแล้วช่วงนึง แต่พอผมเหลียวมองอนาคตตัวเอง ที่ยังไม่ได้งานซักที ผมก็เริ่มคิดได้ว่า ชีวิตวัยรุ่นที่ผมอยากคว้าในโตเกียวสักครั้งนั้นมันก็ดีสั้นเหลือเกิน แล้วก็ต้องมาพบความจริงว่าเราต้องหางานให้ได้สักที! คิดมาตลอดนี่ชวนนึกถึง โฮลเด้น คลอฟิลด์ ตัวเอกของนิยาย Catcher in the Rye ที่ผมอ่านมาตลอดเลย อยากเป็นวัยรุ่น แต่ก็ต้องพบกับความจริงที่จะพิสูจน์ว่าต้องโตได้แล้ว แล้วผมนึกถึง ฟีบี น้องสาวพระเอกที่ถึงจะอายุน้อย แต่ก็มีความคิดที่จะเป็นู้ใหญ่ให้ได้ พวกวัยรุ่นในโตเกียวนี่คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันสินะ"

โฮดากะ กับชีวิตในโตเกียวเมื่อเพลงประกอบแรกของหนังดังขึ้น

"วันนึง ผมต้องออกจากห้องพักเพราะเงินเริ่มหมด ผมต้องอาศัยอยู่ข้างถนน หลบฝนที่ตกไม่หยุดต่อเนื่อง ขณะที่ขว้างกระป๋องไปด้วยความว้าวุ่น นั้นเองมีชายคนนึงมาหร้อมกับสาวสวยสองคนเดินผ่านมาพอดี ชายผู้นั้นหาว่าผมหาเรื่องเขา และโดนเขาเตะอัดจนหมอบ ในขณะนั้นเองเขาก็สัมผัสถึงบางอย่างข้างถังขยะ ผมคว้ามาแกะดูว่ามีอะไรดีๆข้างในบ้าง แต่ที่ผมเจอคือ ปืนพกกระบอกนึงข้างใน ผมรู้จักปืนดี แต่ไม่นึกว่าจะเจอมันถุกทิ้งข้างถังขยะแบบนี้ แสดงว่าที่โตเกียวนี่ต้องมีมุมที่โหดร้ายแน่ๆ ผมอยากจะโยนทิ้ง แต่สัญชาตญาณของผมที่เอาตัวรอดคนเดียวมาตลอดบอกผมว่า เก็บมันไว้ซะ บวกกับอารมณ์เดือดพล่านจากการโดนอัดหมอบเพราะเรื่องกระป๋องใบเดียว ทำให้ผมคิดอย่างหาญกล้าว่า จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเขาอีกเป็นครั้งทีสอง!"

"หลายสัปดาห์ต่อมากับความพยายามที่ไร้วี่แววที่จะหางานเจอ ผมนอนซมจากอาการอดหลับอดนอนมาตลอด ที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง ร้านนี้ผมเคยเห็นในอินเตอร์เน็ตบ่อยๆ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะเสียเงินที่ร่อยหรอเต็มทีไปกับของพวกนั้นแล้ว จนกระทั่งร้านกำลังปิดทำการ ก็มีพนักงานสาวคนนึงเดินเข้ามาถามว่า "เป็นอะไรมั้ย เห็นนั่งอยู่ที่ร้านตั้งนานแต่ไม่กินอะไรเลย" ผมก็ตอบไปแบบหมดสภาพว่า"หางานไม่ได้สักที ไม่อยากทำอะไรแล้ว" เธอก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วกลับมาที่โต๊ะ ยื่นก่อกระดาษที่มีเบอร์เกอร์อยู่ข้างใน เบอร์เกอร์นั้นมีเนื้อบดชิ้นใหญ่ ซอสที่เขาไม่เคยเห็น และผักสดหลาดชนิดแบบพูนขนมปัง ผมไม่เคยเห็นอาหารที่ดูหรูหราแบบนี้มาก่อน และแน่นอน มันคงเป็นของที่ล้ำค่ามากสำหรับผมในตอนนี้ ที่น่าตกใจคือ เธอให้เบอร์เกอร์นั้นมาฟรีๆ ไม่รับเงินของผมแม้แต่เยนเดียว! เธอบอกผมว่า "การได้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากในโตเกียวนี่รู้สึกดีนะ" แล้วเธอก็กลับไป เหตุการณ์นั้นทำให้ผมตั้งใจไว้เลยว่า ถ้าเธอเดือดร้อน ผมจะต้องตอบแทนเธอให้ได้ ผมรู้สึกได้อีกอย่างนึงคือ เธออาจจะได้เป็นเพื่อนกับผมไม่ช้าก็เร็ว เธอมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่ผมคิดรู้สึกเราสองคนดูเข้าขากันเหลือเกินในโตเกียวที่หามิตรยากแบบนี้"

โฮดากะ เมื่อเขาพบกับฮินะครั้งแรก

"ในที่สุดผมก็จำใจติดต่อกับบริษัท K ที่ชายผู้ช่วยเขาตอนเดินทางโดยเรือมาโตเกียว ผมเดินทางตามพิกัดที่เขาบอก จนพบกับบริษัท K ในที่สุด บริษัทดูซอมซ่อ ที่นั่นเขาได้เจอกับชายผู้นั้น ผมถามถึงเรื่องหางานทันที เขาก็บอกว่าทำงานได้ แต่ถ้าไม่มีบัตรนักศึกคงต้องรับเขาในฐานะผู้ที่ฝึกงานแบบไม่จ่ายเงินเดือนให้ แต่เขาก็เสริมอีกว่าผมสามารถอยู่ช่วยทำงานบ้านที่บริษัทนี้ได้ ผมรับแน่นอนถ้าเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แล้วในที่สุด ผมก็ได้งานมาซะที!
งานที่ผมได้รับ เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก ที่วิทยาศาสตร์ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้  ที่บริษัทนี้มีผู้ช่วยคนนึง คือ นัตสึมิ
สาวที่วัยน่าจะเพิ่งจบมหาลัยมา แถมดูลักษณะเหมาะจะเป็นสาวนั่งดริงค์เสียเหลือเกิน จนผมประหม่าว่าจะกินเด็กหนุ่มได้เลยนะนั่น แต่เพื่องาน ผมจึงต้องอยู่ด้วยกัน ทั้งการเดินทางไปสัมพาษณ์กับบุคคลที่เกียวข้องกับเรื่องลี้ลับต่างๆ ทั้งที่ดูน่าสนใจ และทั้งที่น่าเบื่อ คละกันไป ประสบการณ์ที่ผมได้ทำงานกับนัตสึมิพักนึงทำให้ผมรู้สึกว่าเธอเหมือนเป็นพี่สาวดีๆคนนึงนี่เอง "

โฮดากะ เมื่อเขาได้งานที่บริษัท K 

"วันนึง ผมได้เบาะแสเกี่ยวกับสาวฟ้าใสจากหมอดูแก่ๆคนนึง เธอเล่าว่า สาวคนนี้จะนำพาท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งฝนมาสู่พื้นที่นั้นๆ จริงๆผมก้ไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แต่นัตสึมิสนใจเรื่องนี้เอามากๆ เธอบอกว่าตลอดเกือบปีที่ผ่านมา ที่โตเกียวไม่เคยหยุดฝนตกเลย อย่างดีที่สุดก็ตกปรอยๆ เธอจึงรบเร้าให้ผมสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสาวฟ้าใสหน่อย แล้วพอผมบอกกับเฮีย K เขาก็บอกว่าเคสนี้หายากเสียด้วย แล้วเขารุ้มาว่า มีเหตุการณ์ที่พวกหยดน้ำรูปปลาตกลงมาจากฟ้าจำนวนมาก มีคนลือเห็นวาฬตัวใหญ่ยักษ์ลอยผ่านน่านฟ้าโตเกียวด้วย ถ้าให้ผมสืบหาจนเจอผมก็จะได้เงินจากการโปรโมทอย่างงามเลย ผมก็เลยจำใจทำ 
ตอนแรกผมสอบถามเบาะแสผู้คนแถวนั้น บางคนก็บอกว่าเห็นวาฬตตัวใหญ่ลอยบนน่านฟ้าบ้าง เห็นหยดน้ำขนาดใหญ่เกาะตัวเป็นรูปปลาบ้าง แต่ส่วนใหญ่บอกผมว่าไร้สาระ พอผมสอบถามผู้คนแถวนั้นไปส่วนหนึ่ง ผมเดินผ่านตรอกที่ดูเปลี่ยวๆ ขณะนั้นเองก็มีชายที่เคยอัดเขาตอนนั้นอยู่กับชายอีกคน กำลังชักชวนเด็กสาวคนนึงให้มาทำงานของพวกเขา ผมสังเกตป้ายร้านแถวๆนั้น ผมรู้ทันทีว่านี่เป็นงานขายบริการอันเป็นหนึ่งในอาชีพสายมืดสายนึง แล้วเธอหันมาจังหวะนึง ผมก็ตกใจมาก เพราะเธอคนนั้นคือคนเดียวกับที่เขาเจอในร้านฟาสต์ฟู้ดคราวนั้นและให้เบอร์เกอร์กับเขาด้วย ผมจึงเข้าไปขวางไม่ให้เธอไปกับพวกนั้น แน่นอนว่าชายที่เคยอัดเขาไม่สบอารมณ์และจับผมอัดกับพื้น คราวนี้เขาต่อยหน้าผมซ้ำแล้วซ้ำอีก จังหวะนั้นถุงกระดาษที่เขาติดตัวมาก็หล่นข้างๆ และปืนก็กระเด็นออกมาจากถุง ในความเดือดดาลอันแรงกล้านี้เอง ผมทำสิ่งสุดท้ายที่อยากจะทำมาตลอด นั่นคือการเอาปืนนั้นชี้ไปที่ชายผู้นั้นต่อหน้า แต่เขาผู้นั้นไม่ได้กลัวแบบเหวอ เขาแค่สงสัยว่าเอาปืนของเล่นแบบนั้นมาขู่เรอะ จังหวะนั้นเองความเดือดดาลผมก็ถึงขีดสุด และปืนที่ผมถือก็ลั่นเสียงดังปั้ง!!! 
........
เกิดจังหวะที่ทำเอาหยุดหายใจชั่วจังหวะนึง แล้วผมก็รู้สึกตัวอีกทีว่าผมยิงปืนไปโดนโคมไฟตรงข้างชายที่อัดผมไปแตกกระจาย สิ่งนี้ผมรับรู้ได้แน่นอนคือ ปืนนี้เป็นปืนจริง และมันฆ่าคนได้ถ้าโดนจังๆ!!
ชายที่อัดผมตะกี้ถึงกับลุกผงะกับสิ่งที่ผมทำลงไปทันทีที่รุ้ว่าปืนนั้นเป็นปืนจริง ผมที่ได้สติก็รีบคว้าเด็กสาวคนนั้นหนีหายไปในความท่ามกลางสายฝนทันที ผมพาเธอขึ้นไปหลบซ่อนที่อาคารร้างแห่งนึงใกล้ๆ เด็กสาวคนนั้นพอได้สติก็ถึงกับเอ็ดตะโรต่อว่าการกระทำของผม ว่ามันอันตรายชนิดที่จะฆ่าคนๆนึงได้เลย เแล้วเธอก็ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ด้วย ผมได้ฟังดังนั้นก็ปวดใจอย่างยิ่ง ผมคิดมาตลอดว่าปืนนั้นอาจเป็นของจริง เพราะมันหนัก แต่ผมก็หลอกตัวเองตลอดเช่นกันว่าติดตัวไว้เป็นเครื่องราง ทั้งที่จริงมันอันตรายชนิดฆ่าคนได้ แล้วการที่คคนที่เคยช่วยผมมาต่อว่าเขาช่วยเธอแต่จะทำให้เดือดร้อนแทนนั้น ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกและคร่ำครวญกับสิ่งที่เกิดขึ้น โยนปืนมหาประลัยนั้นทิ้งไป ผ่านไปสักพัก เด้กสาวคนนั้นก็อารมณ์เย็นขึ้น และบอกเหตุผลว่าทำไมถึงต้องตัดสินใจไปขายบริการ เพราะเธอโดนไล่ออกจากงานร้านฟาสต์ฟู้ดมา ผมก็เหวอว่าผมคงทำให้เธอถุกไล่ออกเพราะของฟรีแน่ๆ แต่เธอบอกว่ามันมาจากสาเหตุอื่น และเธอไม่ได้อยากทำงานที่เป็นงานสุดท้ายที่เธอจะเลือกทำแบบนั้น เธอขอบคุณผมที่ช่วยพาเธอจากสถานการณ์อันยากลำบากนั้น
จากนั้นเธอก็ชวนผมขึนมายังดาดฟ้าตึก ข้างบนมีซุ้มศาลเจ้าอยู่ด้วย เธอบอกว่าจะมีเซอร์ไพรส์ให้ผมที่ช่วยเธอมาได้ เธอคนนั้นทำท่าเหมือนขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสักพักพลังเหมือนจะแผ่จากตัวเธอ และท้องฟ้าเบื้องบนที่ฝนเทลงมาก็เริ่มปรากฎท้องฟ้าอันสดใส และในที่สุด ท้องฟ้าเบื้องบนก็ไร้ซึ่งฝนพรำ แสงอาทิตย์เฉิดฉายในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่เข้าโตเกียวมา เธอบอกกับผมว่า
"ฉันนี่แหละ คือสาวฟ้าใส"
ครั้งนั้นผมจึงได้รู้ว่า เธอชื่อฮินะ เธออายุมากกว่าผมสองปีด้วย"
 
โฮดากะ หลังจากได้ค้นพบพลังของฮินะ

โปรดติดตาม ตอนต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่