ซื้อน้ำหอมเป็นของขวัญปีใหม่ให้ภรรยา ตัวไหนดีครับ ระหว่าง Jo Malone (English Pear) กับ Burberry (Her) ?

กระทู้คำถาม
ภรรยาอายุ 30 กว่าๆ อยู่ต่างจังหวัด ทำธุรกิจส่วนตัว ลูก 2 คน เข้าสังคมบ้าง ส่วนใหญ่จะเจอคุณครูและเพื่อนผู้ปกครองลูก จมูกผมไม่ค่อยดี บางทีแยกกลิ่นน้ำหอมไม่ออก รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ

ขอบคุณครับ


คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
ย้อนกลับไปดูที่จุดกำเนิด
แบรนด์ของ Burberry ทำเสื้อผ้าให้กับกองทัพทหารในช่วงสงครามโลกจนร่ำรวย
ผลิตเสื้อผ้าแล้วก็ต้องมีกระเป๋าและน้ำหอมเพื่อใช้แต่งตัว คอนเซ็ปต์วนเวียนๆแถวเสื้อโค้ทเครื่องแต่งกาย
ส่วน Jo malone ก็คือ หญิงผู้หนึ่งซึ่งทำสปามาตลอด หันมาผสมกลิ่นทำเทียนโดยใช้ความเชี่ยวชาญที่สะสมมาตลอดทั้งชีวิต
เอาไปเป็นของขวัญให้เพื่อน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่ได้สัมผัสพากันติดใจบอกกันปากต่อปากฮิตมาก
จนมีคนมาช่วยออกตังค์ทำร้านขาย ผสมออกมาไม่กี่กลิ่นขายดีจนตั้งตัวได้ ขยายกิจการไปทั่วพิภพ
ปัจจุบัน จ้างผู้เชี่ยวชาญทำขายหลายกลิ่น สินค้าในร้านมีแต่เครื่องหอมนานาชนิดสบู่ แชมพู เจลอาบน้ำ
ทำมาค้าขึ้นจนร่ำรวย และเครือเอสเต้ผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงความงามก็เห็นอนาคตการเติบโตที่เตะตา
จึงได้เข้าซื้อกิจการเมื่อไม่นานมานี้ ทำการตลาดออกกลิ่นใหม่เฉพาะกาล และกลิ่นเก่าในขวดใหม่
ส่วนทางเจ้าของ หลังจากขายแบรนด์แล้วก็ไม่ได้นอนเสวยสุขเปล่าๆ ปั้นแบรนด์ใหม่สร้างกลิ่นใหม่ขึ้นมา
และนั่นคือสิ่งที่ประวัติศาสตร์บอกเรา

ส่วนเนื้อกลิ่น คงต้องฝ่าฟันในกระแสความเห็นของคนที่ใช้มาจริงๆ และคนที่ฉีดตามห้างร้าน แล้วไม่มีตังค์ซื้อ
เขาจะพูดว่ายังไงได้บ้างล่ะ "มันก็ไม่ได้หอมนะ เปรี้ยวจังองุ่น จาง ไม่คุ้มค่าเงิน"
ในฐานะผู้เริ่มเก็บสะสมมี jo malone อยู่ประมาณ 35 ขวด และ burberry 1 ขวด
สองแบรนด์นี้คุณภาพแตกต่างกันมาก ความหอมของ burberry นั้นวนเวียนอยู่ที่ระดับจมูก
ส่วน jo malone ตัวนั้นหอมซึมซ่านลึกลงไปถึงกึ๋น ราวกับผู้ปรุงกลิ่นมีความอัจฉริยะรู้จุดประสาทสัมผัสรับความหอม
ใครมีขวดที่ 1 แล้ว เข้าถึงจิตวิญญาณกลิ่นของแบรนด์จะหยุดที่ขวดเดียวได้ยาก ต้องมีขวดต่อๆไป คิดดูว่าหอมขนาดไหน
ขวดของ jo malone collection ปกติ หน้าตาเหมือนกันหมด เพราะเขาไม่ได้ขายขวด แต่เน้นกลิ่น
แต่ก็จะมี limited เฉพาะกาล ถ้าขายหมดแล้วมีเงินเท่าไรก็ไม่มีให้ซื้อ ทำออกมาอย่างสวยงาม เชิดชูตู้สะสม
สำหรับ English pear ส่วนตัวเลือกเก็บขวดนี้มา แล้วก็ไม่ได้ใช้ ตั้งใส่ตู้ไว้เฉยๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูแล้วคงสงสัย ว่าถ้าอยากจะใช้ทำยังไง คำตอบคือ เวลาเราซื้อ เขาจะแถมหลอดทดลองมาตลอด ใช้ไม่หมด
English pear ก็เป็นกลิ่นที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง มีชื่อเสียงมากที่สุดของแบรนด์
และมันก็หอมลึกมากจริงๆ กลิ่นหอมเพลินจมูกมาก และมีความรู้สึกหรูหราสง่างาม เป็นภาษากลิ่นที่สัมผัสด้วยความรู้สึก
มีความพยายามของหลายๆแบรนด์ในการก๊อปกลิ่นนี้ของ jo malone ออกขาย แย่งส่วนแบ่งการตลาด
แต่ยังไม่พบว่ามีของใครเหมือน กลิ่นขุ่นไปบ้าง มันมะพร้าวไปบ้าง ไม่ใสสดชื่น เหม็นหืนไม่รู้ตัว

ส่วน burberry ตัวนั้น หวาน หอมสดชื่นแค่ช่วงแรก ดมไปดมมาก็เกือบจะเลี่ยนๆ ค่อนข้างวัยรุ่น ไม่มีความอยากได้เลยแม้แต่น้อย
ไม่มีสัมผัสของความรู้สึกหรู เดินผ่านมาพร้อมกับคนที่ฉีด cc ละ 2 บาท อาจแยกไม่ออก
มาถึงตรงนี้ รู้สึกเหมือนเตรียมตัวโดนเหล่าสาวก BB ปาหินใส่.. นี่เป็นเหตุผลนึงที่ไม่ค่อยเขียนรีวิว
เพราะหวั่นเกรงโดนทำร้าย

ถ้ามีคนซื้อให้ฟรี สองอันนี้ burberry ก็ขวดสวยดี แต่ถ้า jo malone คือ เห็นกล่องก็ร้องกรี๊ด ตอนคุณไปซื้อที่ร้าน
มันจะมีอารมณ์ที่แตกต่างกันมาก ระหว่างสองกลิ่นนี้ burberry เขาก็หยิบใส่ถุงห้างให้อย่างที่ซื้อน้ำหอมทั่วๆไป
ส่วน jo malone เขาจะห่อใส่กล่องมีฝาประกบซึ่งหน้าตาเหมือนกันหมด ผูกโบว์กล่อง รองกระดาษกันกระแทก
ฉีดน้ำหอมอะไรบางอย่างใส่เข้าไป ใส่ถุงเฉพาะของแบรนด์สีนวลตาแล้วผูกโบว์อีกชั้น เรียบหรูไร้เทียมทานมาก
*ดอกจันไว้ตรงนี้เลยว่า เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา..
ถ้ามาถึงขั้นตอนนี้ พูดคุยกะคนขายดีๆ ก็จะได้ของสมนาคุณ
ลองเลือกกลิ่น Blackberry หรือ Peony หอมมากจนต้องกลับมาซื้อ บางร้านก็แถมพวกครีม สครับ เจลอาบน้ำ
ยังไม่อยากเปิดเผยสถิติสาขาที่แจกของแถมมากที่สุด กลัวคนไปถล่มจนเขาเจ๊ง

ตอนนี้มาถึงช่วงคำถามวัดใจ สิ่งที่คุณจะต้องเลือกระหว่าง กลิ่นอะไรที่ไม่หอมสักเท่าไร แต่ทนทาน 10 วัน
กับกลิ่นที่อยู่ได้วันเดียว แต่หอมประทับใจตั้งแต่แรกฉีดจนจบ พอเริ่มวันใหม่ก็ต้องฉีดใหม่
ถ้าคุณตอบคำถามนี้ได้ ขอเชิญผ่านประตูเข้าไปหยิบขวดที่ชอบได้เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่