# บทสัมภาษณ์ที่จะทำให้รู้จัก เฌอปราง BNK48 มากยิ่งขึ้น จากนิตยสาร GM Magazine

เม่าเนิร์ดเม่าเนิร์ดเม่าเนิร์ด

ใครๆ ก็รู้ว่าสมาชิก BNK48 ทำงานหนัก
เอาง่ายๆ แค่การที่เราเห็นพวกเธออยู่ตลอดเวลานี่ก็พอจะบ่งบอกได้แล้ว
.
เหมือนกับที่ปีนี้ก็เป็นอีกปีที่เราได้รับรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ ‘เฌอปราง อารีย์กุล’ มาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี กับกิจกรรมต่างๆ ของ BNK48 ตั้งแต่ General Election มาจนถึงคอนเสิร์ตแฟนมีตติ้งครั้งแรก Me and My Cats อาจจะรวมถึงการตัดผมสั้นด้วย 
.
ที่สำคัญสุดคือปีนี้เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากภาควิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 เกรดเฉลี่ย 3.46


.
เฌอปรางบอกว่าเข้า BNK ปีแรกว่าหนักแล้ว ถึงปีนี้ยิ่งหนักมากกว่าเดิม หนักขึ้นเรื่อยๆ มองย้อนกลับไปมันเป็นปีที่ทั้งวุ่นวายและสนุกสนาน ในความหนักนั้นเธอต้องผ่านสภาวะอารมณ์หลากหลาย ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และเรียนรู้ที่จะเติบโตไปด้วย 
.
“หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็รู้สึกเบาขึ้นนิดหนึ่ง เพราะว่าไม่ต้องตื่นเช้าไปเรียน แต่มันก็มีช่วงที่หนูเคว้งมากๆ เพราะว่าพอเรียนจบแล้วทำงานอย่างเดียวมันเคว้ง คือรู้สึกว่าฉันควรจะตื่นเช้าเพื่อเอาเวลามานั่งอ่านหนังสือหรือทำอย่างอื่นหรือเปล่า ฉันไม่น่าจะตื่นสายหรือเปล่า เพราะปกติก่อนหน้านี้เราตื่นเช้าเพื่อไปเรียนได้ พอช่วงเวลานั้นหายไป มันมีความรู้สึกว่าฉันทำทั้งสองอย่างมาได้โดยตลอด แต่พอไม่ได้ทำอันหนึ่งเลยรู้สึกว่ามันน่าจะได้มากกว่านี้ แต่ก็ถือว่าได้พักค่ะ โชคดีที่มีงานเรื่อยๆ ให้ออกไปทำโน่นทำนี่เลยไม่ค่อยฟุ้งมาก เรียกว่าเป็นช่วงปรับตัว”  
.
“เรื่องเรียนจบมหาวิทยาลัยสำหรับเฌอคือ เฌอทำเพื่อให้ตอบตัวเองได้ว่า ฉันอยากไปสายวิทยาศาสตร์จริงๆ แล้วก็ได้เรียนได้รู้ลึกขึ้น อีกอย่างคือเรียนจบตามสังคม คุณปู่ก็จะพูดตลอด ไม่รู้ปู่จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ หนูเลยต้องรีบเรียนจบให้ท่านสบายใจ เพราะว่าเขาเป็นคนส่งหนูเรียน 4 ปีเลย เรียนให้จบที่บ้านจะได้สบายใจ ไม่ต้องมาตอบคำถามว่าน้องเรียนจบหรือยัง แฟนคลับก็สบายใจ”
.
“สำหรับการเรียนรู้ เฌอรู้สึกว่ามันคือการใช้ชีวิต มันทำได้ตลอดชีวิต เราจะอ่านหนังสือเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะหาความรู้เพิ่มเติมในตัวเมื่อไหร่ก็ได้ แต่การเรียนมหาวิทยาลัยมันก็คือการบังคับให้เราเรียนเรื่องที่เราอยากจะไปทำอาชีพเกี่ยวกับงานวิจัยของเรา ซึ่งสายวิทยาศาสตร์มันมีแค่ในนี้ มันไม่รู้จะไปหาที่ไหน อาจารย์เราก็อยู่ในนี้ เราก็มาเรียนที่คณะวิทย์ฯ แล้วอาชีพที่เราจะทำคือนักวิจัย มันต้องใช้ใบดีกรีตรงนี้ นั่นคือเฌอทำเพื่อความฝันตัวเองด้วย อยากทำอยากรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ มันคือความชอบด้วย” 


.
“แต่คือต้องยอมรับว่าตั้งแต่เข้า BNK มาระบบสภาวะจิตใจมักจะมีขึ้นๆ ลงๆ เพราะว่าทำงานหนัก มันสุดมาก มันเหนื่อยมาก มันจะมีจุดที่หนูนั่งเฉยๆ แล้วหนูก็ร้องไห้ แล้วมันก็เป็นเดือนละครั้งหรือสองครั้งอะไรประมาณนี้” 
.
“เพราะว่าตอนทำงานหนักๆ อารมณ์มันประมาณว่ามันตัน มันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว มันเอ๋อ มันอึดอัด รู้สึกไม่ดี รู้สึกเศร้า เป็นความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ ไม่รู้จะพูดอย่างไร แล้วก็ร้องไห้ออกไป มันข้ามตัวเองไม่ได้ ถึงขั้นหนูตั้งคำถามกับตัวเองว่า ฉันทำไปทำไม หาเงินไปทำไม เดี๋ยวเงินมันอาจจะไร้ค่าก็ได้ แล้วอยู่ๆ ก็ดาวน์ ดิ่งลงไปเลย ไม่อยากทำอะไร เออ...หายไปคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ถึงขั้นนั้น”
.
“เราก็รู้ว่าไม่ควรคิดแบบนั้น คิดลบ คิดแย่ แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้ก็ปล่อยให้ตัวเองคิดเลย แล้วดิ่งให้สุด ปล่อยให้หมด ร้องไห้ให้หมด ปวดหัวมาก รู้สึกแย่มากจนต้องนอนคุดคู้ ต้องดึงตัวเองไปอาบน้ำ เอาน้ำราดหัว พอรู้สึกเริ่มเหนื่อยแล้วก็พอ นอน แล้วอีกวันหนึ่งก็คือจะดีขึ้น เหมือนเป็นช่วงท้อของตัวเอง ช่วงเจออะไรเยอะๆ ท้อ เหนื่อย”
.
“แต่เฌอปล่อยให้ตัวเองคิดพอโอเคแล้วก็นอน แล้วค่อยดึงตัวเองกลับมาทีหลัง มันเหมือนสลับสองบุคลิกแหละเอาจริงๆ แล้ว แต่เป็นประเภท เออ…มันเหนื่อยต้องหาทางระบาย แต่วิธีระบายในแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน เพราะบางทีฟังเพลงก็ชิลไปได้ บางทีก็ไม่ไหวจริงๆ อึดอัดจนต้องร้องไห้ออกมา ถ้าทำได้หนูก็อยากทำแบบช่วงการแสดงเรื่อง Home Stay ตอนเวิร์กช็อปทำการแสดง ที่เราระเบิดเอาอารมณ์ไม่ดีออกมาให้สุด แต่อยู่ที่บ้านห้องเราไม่ได้เก็บเสียงไง”
.
“ถ้าเราทำขนาดนั้นที่บ้านเดี๋ยวคุณตาคุณยายจะเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น หนูแค่ต้องการกรีดร้องออกไป มันไม่ได้แย่นะคะ เป็นการจัดการอารมณ์ตัวเอง แค่ต้องทำให้ถูกที่ถูกทาง จริงๆ การแสดงช่วยหนูเยอะมากช่วงนั้น นอกจากนี้วิธีฮีลตัวเองอีกอย่างคือการไปนวด การนวดการไปหาหมอกายภาพมีผลกับเฌอมากๆ เพราะร่างกายมีผลกับอารมณ์” 
.
“สิ่งที่ได้เรียนรู้คือปล่อยวางบ้างก็ได้ เป็นเรื่องใหญ่มาก จริงๆ ก็เรียนรู้มานานแล้ว แต่เหมือนกับมันยิ่งชัดขึ้น พอเราเจอเรื่องหนักขึ้น เราจะยิ่งปล่อยวางเก่งขึ้น รู้สึกว่าหนูวางเก่งขึ้น วางเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น มีความสุขกับตัวเองง่ายขึ้น ไม่งั้นหนูคงจมเวลาเกิดอารมณ์ดาวน์จนคิดแบบ Nonsense แบบชีวิตนี้เกิดมาทำไม คำถามที่มันไม่น่าจะมีคำตอบ คำถามพวกนั้นมันจะขึ้นมาในช่วงที่ดาวน์มากๆ แต่หนูสามารถวางคำถามเหล่านั้น หรือช่างมันได้ไวขึ้น และไม่เป็นทุกข์กับมันมากขึ้น ไม่งั้นคงไม่สามารถตื่นมาอีกวันแล้ว เย้! ไปทำงานอย่างอื่นเถอะ รู้สึกเป็นสกิลที่ดีสำหรับตัวเอง ได้วาง ได้ปล่อย ได้สบายใจ”


.
บางส่วนจากบทสัมภาษณ์โดย ณัฐพล ศรีเมือง ภาพ พิชญุตม์ คชารักษ์ 
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในนิตยสาร GM ฉบับเดือน ธันวาคม 2562
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่