เอาหมาตัวนี้ไปปล่อยวัด-ส่วนหนึ่งของประวัติชีวิตมิชชันนารีในสยาม

ในพระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวถึงผู้รับใช้พระเจ้าที่สัตย์ซื่อไว้ว่า “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข จงชื่นชมยินดีเพราะว่าบําเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน” สิ่งนี้ ได้เกิดขึ้นกับพระอาจวิทยาคมหรือ ดร.จอร์จ ปี แม็คฟาร์แลนด์ ที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าในสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ “ชีวิตอุทิศเพื่อสยาม” ซึ่งแปลโดยศิษย์เก่ากุลสตรีวังหลัง และคําเทศนาแบ่งปันวันนี้ จะได้อ้างอิงจากหนังสือเล่มนี้เป็นหลัก

วิกฤติ ร.ศ.112 (ค.ศ.1891-1892) ฝรั่งเศสได้ยึดดินแดนในคาบสมุทรอินโดจีนไปแล้ว 2 แห่ง และกําลังรุกคืบจะเข้ามายึดสยาม หลวงพระบาง และนครวัด หลังจากเกิด “กรณีพิพาท” กันขึ้น ในปี ค.ศ. 1893 สยามได้ประกาศตัดความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส และฝรั่งเศสจึงส่งเรือปืนเข้ามายังปากน้ำ ครั้งนั้นเป็นเรื่องเศร้าสลดที่แสดงถึงความอ่อนแอของสยาม เรือปืนฝรั่งเศสสามารถแล่นฝ่าป้อมผีเสื้อสมุทรเข้ามา หันกระบอกปืนใส่พระบรมมหาราชวังได้อย่างง่ายดาย ต่อมาไม่นาน อังกฤษก็ส่งเรือปืนเข้ามาบ้าง โดยอ้างว่าเพื่อคุ้มกันสถานทูตอังกฤษในกรุงเทพ

เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ของสยามระดมกองทัพเพื่อเตรียมรับมือกับข้าศึก แต่ไม่ประสบความสําเร็จ ฝรั่งเศสเรียกร้องเงินค่าปรับเป็นจํานวนถึงสามล้านฟรังก์ ซึ่งต้องชําระภายในสามวัน รวมทั้งสิทธิในดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงด้วย ฝรั่งเศสได้ยึดเมืองจันทบูรทางตะวันออกของสยามเอาไว้เป็นประกัน แต่แม้สยามจะทําตามข้อเรียกร้องจนครบถ้วนแล้ว ฝรั่งเศสก็ไม่ยอมถอนกองทัพออกไปอยู่ดี จนกระทั่ง ค.ศ. 1906 สยามไม่เข้มแข็งพอที่จะต้านทานประเทศมหาอํานาจได้ และจําต้องยอมทําตามข้อเรียกร้อง หลังจากที่คิงจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่ 5) สวรรคตแล้ว มีผู้พบบทพระราชนิพนธ์แสดงถึงความเจ็บช้ำพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ที่จําต้องยอมตกเป็นเบี้ยล่างของประเทศมหาอํานาจ 

ความเกลียดชัง 
คุณหมอจอร์จ (ดร.จอร์จ บี แม็คฟาร์แลนด์) เองก็ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากชาวสยามเกลียดชังฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าหน้าตาของคุณหมอจะไม่เหมือนคนฝรั่งเศสเลยสักนิด วันหนึ่งคุณหมอนั่งเรือข้ามแม่น้ำไปยังโรงพยาบาล คนแจวเรือสําปั้นไม่รู้จักคุณหมอ เมื่อสวนกับเรือสําปั้นอีกลําหนึ่งที่กลางแม่น้ำ คนในเรือนั้นตะโกนทักมาว่า “จะไปไหน” คนเรือได้ตะโกนตอบไปว่า “เอาหมาตัวนี้ไปปล่อยวัด” ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชาวสยามที่มักจะนําสุนัขขี้เรื้อนไปปล่อยทิ้งที่วัด สําหรับชาวสยามการเรียกใครสักคนว่าหมา ถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามกันอย่างที่สุดที่เดียว คุณหมอผู้เกิดที่เมืองไทย รู้และเรียนหนังสือไทยได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าเข้าใจถ้อยคําเหล่านั้น ในขณะที่ผู้โดยสารอื่นๆ พากันหัวเราะชอบใจ ทําให้คนแจวเรือกระหยิ่มยิ้มย่องในไหวพริบของตนขึ้นไปอีก เมื่อถึงท่าน้ำโรงพยาบาล คุณหมอจอร์จเดินอาดๆ ขึ้นฝั่งไปโดยไม่จ่ายเงินค่าโดยสารแม้แต่แดงเดียว คนแจวเรือต้องร้องตามเสียงหลงว่า “นาย..นาย ขออัฐ” คุณหมอหันกลับมาแล้วตอบบอกไปว่า “จะเอาอะไรจากหมา?” นับว่าคุณหมอได้ตอบโต้อย่างสาสม โดยไม่ได้แสดงอาการโกรธขึ้งใดๆ เลย 

หัวใจสลาย 
ขณะที่จอร์จกําลังเริ่มต้นชีวิตของตนเอง พ่อแม่ของเขา (ดร.และมิสซิส ซามูเอล แม็คฟาร์แลนด์) กลับต้องเผชิญกับความทุกข์อันใหญ่หลวงจนหัวใจแทบแตกสลาย เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของเขามากมาย ตลอดช่วงเวลานั้น

ในช่วงต้นปี ค.ศ.1892 โรงเรียนสุนันทาลัย (โรงเรียนราชินี) กําลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด จํานวนนักเรียนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา คณะครูก็เข้มแข็ง โรงเรียนเป็นที่นิยมมาก แต่กลับมีคลื่นใต้น้ำซึ่งไม่ประสงค์ดีกับโรงเรียน นั่นคือ โรเบิร์ต มอแรนต์ ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทํางานในสยาม นาย โรเบิร์ต มอแรนต์ คนนี้ไม่เคยละโอกาสแม้แต่ครั้งเดียวที่จะพูดจาใส่ความโรงเรียนเล็กๆ ของรัฐ ซึ่งบริหารโดย “นักเทศน์ชาวอเมริกันคนนั้น” ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง สิ่งนี้มีผลในหมู่พระราชวงศ์และลูกหลานขุนนาง แม้ยอดนักเรียนกําลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนต้องจ้างครูหนุ่มชาวอังกฤษมาเพิ่ม แต่จู่ๆ ในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.1892 มิชชันนารีทั้งสองท่านก็ได้รับจดหมายลงนามโดยเลขานุการกรมศึกษาธิการ แจ้งว่า เนื่องจากจะมีการปรับโครงสร้างการบริหารโรงเรียน เมื่อเปิดภาคเรียนใหม่ในวันที่ 25 กรกฎาคม ดร.แม็คฟาร์แลนค์ จะพ้นจากหน้าที่ทั้งหมดในโรงเรียนสุนันทาลัย และจะให้ เกลน คุลเบิร์ตชัน ครูหนุ่มอังกฤษผู้มาใหม่เข้ามารับตําแหน่งแทน
 
หนึ่งปีต่อมา ในค.ศ.1893 โรงเรียนสุนันทาลัย สําหรับเด็กชายก็ปิดตัวลงอย่างถาวร เกลน คัลเบิร์ตชัน และครอบครัวก็เดินทางกลับประเทศ ในที่สุดโครงการนําร่องการศึกษาซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่สวนอนันต์ เมื่อปี ค.ศ.1878 มาถึงจุดจบ ทําให้ ดร.และ มิสซิส แซมมูเอล แม็คฟาร์แลนค์ อยู่ในสภาพหัวใจแตกสลายเกินจะรับไหว ก่อนหน้านี้ งานประกาศศาสนาคริสต์ที่เพชรบุรี ซึ่งทั้งสองจากมาด้วยความเสียดายเมื่อ 14 ปีก่อน ก็ไม่เจริญก้าวหน้าอย่างที่หวังไว้ เพราะผู้ที่มารับช่วงต่อเป็นคนหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ซึ่งก็เป็นเหตุที่ทําให้พวกเขาเศร้าใจอยู่แล้ว มาบัดนี้ไม่เพียงแต่ ดรแม็คฟาร์แลนค์ จะถูกปลด แต่โรงเรียนที่ทั้งคู่ได้อุทิศแรงกายแรงใจสร้างมา ยังต้องมาปิดตัวลงอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทุ่มเททํามาเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินสยาม ถูกกลบหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งคู่รู้สึกมืดมนและตั้งคำถามถึงงานรับใช้พระเจ้าในดินแดนสยาม

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในช่วงปีแรกๆ ที่จอร์จกําลังปรับตัวเข้ากับการงาน และมีผลต่อความรู้สึกอันอ่อนไหวของเขาไปอีกยาวไกลในอนาคต ยิ่งกว่านั้น มันยังทําให้เขาต้องหันมาถามตัวเองด้วยว่า เขาควรจะทํางานกับรัฐบาลต่อไปหรือไม่? จอร์จเองก็อาจจะถูกปลดเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเขาไม่มีอะไรดีไปกว่าพ่อและแม่ซึ่งอุทิศทั้งชีวิตให้กับแผ่นดินสยามเลย แต่แล้ว แม้จะรู้สึกหดหู่ใจอยู่ลึกๆ เขาก็ตัดสินใจที่จะทํางานต่อไป เพราะเขารู้สึกว่า เขาเกิดมาเพื่อรับใช้พระเจ้าในการทํางานนี้ เขาจะต้องยึดมั่นกับปณิธานที่ตั้งเอาไว้ ตลอดสามสิบห้าปีต่อมา ความเศร้าโศกของครอบครัวในครั้งนั้น ก็ไม่เคยจางหายไปจากเขาเลย

การปิดโรงเรียนสุนันทาลัย เป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้สุขภาพของแซมมูเอล แม็คฟาร์แลนค์ ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะเป็นนักวิชาการผู้มีความรู้สูง และมีความสามารถที่จะทํางานตามหน้าที่ได้อย่างสบาย แต่เขาก็หมดใจที่จะทํางานแล้ว ในที่สุด จอร์จ ต้องพาพ่อแม่กลับอเมริกาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) และพ่อของเขาได้เสียชีวิตลงในปีถัดมา ส่วนเจนผู้แม่มีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสิบเอ็ดปี 
แซมมูเอลและเจนได้พักผ่อนร่วมกันอย่างสงบ ณ สุสานของตระกูลที่เมืองวอชิงตัน มลรัฐเพนซิลเวเนียน แต่สําหรับจอร์จ เขาได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เขาก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสยามต่อไป 

วันที่มืดมน 
มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสยามในการดําเนินโครงการความร่วมมือระยะสิบปี เพื่อจะปฏิรูปโรงเรียนราชแพทยาลัย (เรียกชื่อใหม่ว่า คณะแพทยศาสตร์) ให้เป็นโรงเรียนแพทย์ที่ทันสมัยอย่างสมบูรณ์ ปริ้นซ์มหิดล ทรงเจรจาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิด้วยความกระตือรือร้นและจริงจัง พร้อมกับทรงให้สัญญาว่า สยามจะให้ความร่วมมือเต็มที่ 

การปฏิรูปองค์กรเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1923 (พ.ศ.2466) ที่ดินผืนติดกับโรงเรียนแพทย์ ซึ่งเดิมคือโรงเรียนกุลสตรีวังหลังนั้น ปริ้นซ์มหิดลทรงขอซื้อจากคณะเพรสไบทีเรียนมิชชั่นด้วยพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อสร้างอาคารหลังใหญ่ขึ้น สําหรับเป็นโรงเรียนพยาบาล ในขณะที่แผนการปฏิรูปโรงเรียนแพทย์ให้ทันสมัยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นนั้น จอร์จ แม็คฟาร์แลนด์ รู้สึกหดหูและท้อแท้ขึ้นในหัวใจ เขาจะไปอยู่ตรงส่วนไหนของโครงการนี้ เขายังอายุไม่มาก และเขาก็ยังมีไฟในการทํางานและมีความใฝ่ฝัน เขารู้สึกตัวว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้ว

นอกจากพระเจ้าแล้ว เป็นเวลาถึง 27 ปี ที่จอร์จมีมารีผู้ภรรยาเป็นแรงบันดาลใจและเป็นความสุขในชีวิต ทุกอย่างที่เขาทําจะต้องมีเธอเข้ามาช่วยเสมอ เมื่อใดที่เขาอ่อนแอ เธอจะเข้มแข็ง มารีเป็นมากกว่าภรรยา เธอเป็นทั้งเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้าง เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้จัดการธุรกิจ และเป็นผู้ที่คอยดึงเขากลับคืนมาสู่จุดสมดุลเสมอ เธอเป็นทุกอย่างสําหรับเขาจริงๆ ช่วงสัปดาห์หลังๆ ที่มารีเจ็บหนัก จอร์จรู้สึกร้าวรานใจเป็นที่สุด ที่ต้องเห็นเธอทรมานกับความเจ็บป่วย และรู้แก่ใจว่าเธอกําลังจะจากเขาไป ความทุกข์ระทมนี้ยิ่งหนักหนาสาหัสเป็นทวีคูณ ในที่สุด จอร์จก็ต้องทําใจยอมรับว่าเขาไม่เหมาะกับผังองค์กรใหม่ของโรงเรียนแพทย์นี้เลย

มารีรู้ดีว่า อนาคตสําหรับจอร์จนั้นมืดมนเพียงใด สิ่งเดียวที่เธอยังสามารถช่วยเขาได้ ก็คือรวบรวมเรี่ยวแรงทําตัวให้ดูสดชื่นและดูดีที่สุด เพื่อรอรับเขากลับมาจากที่ทํางาน ทุกเย็น ทั้งคู่ต่างเข้าใจดีว่า เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ทุกชั่วโมงที่ได้อยู่ด้วยกัน จึงมีค่ายิ่งกว่าคําพูดใด ทั้งสองตั้งมั่นอยู่บนความเชื่อที่ว่าจะได้อยู่ร่วมกันอีกในชีวิตหลังความตาย หากปราศจากความเชื่อ และความหวังตามแบบของชาวคริสเตียนแล้ว ความทุกข์ที่ไม่มีทางออกเสมือนความมืดมิดในหุบเขาเงามัจจุราชเช่นนี้ ใครก็คงไม่อาจยิ้มสู้อย่างสงบได้ และหลังจากที่น้องสาวของมารีได้มาเยี่ยมเธอแล้วเดินทางกลับอเมริกาได้สามเดือน มารีก็สิ้นลมหายใจ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระอาจวิทยาคม คุณพ่อคุณแม่ของท่านเดินทางกลับบ้านไปที่อเมริกา ไม่นานทั้งสองก็เสียชีวิต ตัวเองทํางานต่อที่เมืองไทย ไม่นานก็ถูกปรับองค์กรการทํางาน ทําให้รู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป ต่อมาไม่นาน ต้องเสียภรรยาคู่ชีวิตไป 

พระอาจวิทยาคมผู้ที่เรือนร่างท่านถูกฝังไว้ที่สุสานโปแตสแตนท์ เจริญกรุง เราไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเป็นอนุสรณ์ถึงท่าน นอกเสียจากอาคารพระอาจวิทยาคม(อาคารในคริสตจักรวัฒนา) และสง่าราศรีของพระผู้เป็นเจ้า ในโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย

ชีวิตของผู้ที่มีส่วนในการก่อตั้งโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย และคริสตจักรวัฒนา ผ่านความทุกข์ยากลําบาก ผ่านอุปสรรค ขวากหนามมากมายในการทํางาน  ดังเช่นในพระคัมภีร์ 2 โครินทร์ 12 “แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดช ของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า” สิ่งนี้ก็เพื่อบอกกับพี่น้องคริสเตียนที่จะปวารณาตัวเพื่อรับใช้พระเจ้า เราจะต้องไม่ยกตัวเองจนเกินไป อาจจะมีปัญหาต่างๆ มาหาเราที่บางครั้งก็แก้ไขได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

พี่น้องทั้งหลาย เมื่อใดที่เรารู้สึกอ่อนแอ เมื่อใดที่เราถูกประทุษร้าย เมื่อใดที่เราอยู่ในความทุกข์ยาก ถูกข่มเหง อับจน ขอให้เราอย่าหมดหวังแต่จงยึดมั่นในความเชื่อ เพราะว่า พระคุณของพระเจ้ามีเพียงพอ และฤทธิ์เดชของพระเจ้าทวีขึ้นจนเต็มขนาดได้ ขอให้เรามั่นใจ กล้าเผชิญต่อไปด้วยความเชื่อและสันติสุขในพระคริสต์ ขอพระเจ้าอวยพระพร

คําเทศนาวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 คริสตจักรวัฒนา โดย ศจ.ดร.ศึกษา เทพอารีย์
สนใจอยากรู้จักพระเจ้าและหลักข้อเชื่อของคริสเตียนให้มากขึ้น กรุณาติดต่อคริสตจักร (โบสถ์คริสเตียน) ใกล้บ้านท่าน 
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

หนังสือประวัติชีวิตพระอาจวิทยาคม-ชีวิตอุทิศเพื่อสยาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่