เรามีข้อสงสัยเก็บมาหลายปี ว่า แม่ย่านางในรถนั้นมีจริงไหม??? เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นกับเราหลายๆอย่างที่ทำให้อดสงสัยไม่ได้ แต่ก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
รถคันนี้อดีตแฟนได้ถอยออกมาจากโชว์รูมโดยไม่บอกกล่าวเราสักคำ คงคิดจะเซอร์ไพรส์ พอเราเห็นรถมาจอดอยู่หน้าบ้าน คิดว่ารถใครป้ายแดงสีดำสวยดี คิดว่าอาจจะเป็นรถของเพื่อนพ่อสามี หรือไม่ก็รถเพื่อนแฟน เพราะรถเราก็มีอยู่แล้วจะไปออกมาอีกคันทำไม ไม่มีเหตุจำเป็น.....
หลังจากถอยออกมาก็ไปให้หลวงพ่อเจิมที่วัด
พอเรารู้ว่าเป็นรถที่แฟนไปถอยออกมาใหม่ ก็รู้สึกเฉยๆเพราะรถคันเก่าก็ยังดีอยู่ ทำไมต้องไปถอยมาอีก ฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ เราไม่ชอบรถคันใหม่นี้เลยบอกตรงๆ แต่ก็มีชอบอยู่อย่างเดียวในรถใหม่คันนี้ คือ ชอบสีดำ มันดูคลาสสิคดี
เวลาผ่านไปหลายเดือน เราไม่แตะรถคันใหม่เลย จอดอยู่แบบนั้น จนแฟนบอกว่าไม่ลองหน่อยเหรอ มันขับดีนะ ดีกว่าคันเก่าเยอะเลย
จนวันนึงแฟนเอารถคันเก่าไปใช้ เรามีธุระ จำต้องไปขับรถคันใหม่ ด้วยความที่เคยชินแต่กับคันเก่า ทำให้เผลอเหยียบเบรคแรง ด้วยความที่มันใหม่ไปหมด และความไม่ชินกับอุปกรณ์ในรถใหม่ เผลอเหยียบแตะเบรคนิดเดียว เสียงนี่ดังเอี๊ยดได้ยินถึงข้างนอกเลย ต่างกับคันเก่า ต้องเหยียบหนักๆ ทุกอย่างต้องหนักเข้าไว้ เพราะคงผ่านการใช้งานมาหลายปี อุปกรณ์ภายในตัวเครื่องคงเสื่อมลงตามกาลเวลา.....
หลายปีผ่านไปเราได้ขับรถไปต่างจังหวัด ระยะทางประมาณ500-600 กิโลเมตร เราไม่ชินกับเส้นทาง และเป็นครั้งแรกที่พยายามขับรถออกต่างจังหวัด เรามั่นใจและคิดว่าเรารู้ใจรถเราดีพอ เราคิดว่าชั่วโมงบินเราสูง แต่มันสูงแค่เฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น การขับรถออกต่างจังหวัดเราไม่มีประสบการณ์เลย
แต่เราก็มีเพื่อนนั่งไปด้วย แต่เพื่อนไม่รู้เส้นทางเลย แค่นั่งไปเป็นเพื่อนให้รู้สึกอุ่นใจ พอใกล้พลบค่ำตะวันตกดิน ต่างจังหวัดมืดเร็วมาก ไม่มีไฟส่องข้างทาง จะมีบ้างก็เฉพาะ ในเมืองหรือแหล่งชุมชน ไม่เหมือนถนนในกรุงเทพ
ราวๆประมาณ 1ทุ่ม ด้วยความที่เราไม่เคยขับรถออกต่างจังหวัด ถนนก็ได้แค่สวนทางกัน รถบรรทุกอ้อยก็เยอะเต็มท้องถนนขับเอื่อยๆกินลมเรียงเป็นระเบียบ ขับก็ช้าเพราะบรรทุกอ้อยหนัก ถ้าไม่มีประสบการณ์นี่หมดหวังที่จะแซง ได้แต่ขับตามตูดรถบรรทุกไปเรื่อยๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น.... . แต่เราเป็นคนใจร้อน ชอบขับรถเร็ว แต่ไม่เจียมตัวว่าไม่มีประสบการณ์ขับออกต่างจังหวัด เราได้แซงรถบรรทุกอ้อย แต่ไม่พ้น เพราะไม่ยอมให้เราแซง ระหว่างนั้นมีรถบรรทุกอ้อยได้ขับสวนเลนมา และเปิดไฟกระพริบใส่รถเราถี่ๆ คงจะเตือน เราโชคดีที่รถบรรทุกขับสวนเลนมาใจดี อาจจะเห็นรถเราไกลๆ คงคิดว่าเรานี่อ่อนหัดบนถนน จึงยอมเบรค แล้วให้เราหาจังหวะขับชิดเข้าเลนตัวเอง ตอนแรกคิดว่ายังไงก็ต้องประสานกันแน่ เรากับเพื่อนคงไม่รอด รถต้องเละ เพราะไม่มีทางหลบได้เลย แต่เราก็รอดมาได้ราวปฎิหารย์
ขากลับกรุงเทพฯ เราขับมาด้วยความเร็ว บวกกับไม่ได้นอนจะรีบกลับให้ถึงกรุงเทพก่อนมืดค่ำ และเราคิดว่าเรามาทางตรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราต้องถูกเสมอ เราจะไม่ยอมถ้ามีใครเลี้ยวตัดหน้า มันทำให้เราเกือบประสานงากับรถบัส เราเหยียบเบรคเป็นทางยาวดังเอี๊ยดลากเสียงเบรคมาแต่ไกล สุดท้ายเราต้องเบรค ต่างคนต่างเบรค ตอนนั้นถ้ารถบัสไม่เบรคให้ คงได้ประสานงากันแน่ เพราะขนาดเบรคสุดแรงแล้วรถเรายังห่างรถบัสแค่เกือบเมตร..... เจอเหตุการณ์ในครั้งนั้น 2 ครั้ง มันทำให้เราคิดได้ว่า ไม่ว่าเราจะผิดหรือถูก เราควรจะผ่อนปรน มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมทาง และไม่ประมาทเสี่ยงชีวิตบนท้องถนน
หลังจากนั้นไม่นาน เราขับรถไปแถวคู้ซ้ายกับเพื่อนบ้านเพื่อไปเที่ยวงานเกี่ยวกับอิสลาม แถวนั้นมีแต่สุสานและทุ่งนา ที่นั่นจะขึ้นชื่อเรื่องปล้นฆ่า ดึกๆไม่ค่อยมีใครขับรถผ่านถ้าไม่จำเป็น เราเป็นคนต่างถิ่นเลยไม่ค่อยรู้อะไรมาก เพิ่งมารู้ทีหลังเกี่ยวกับประวัติบนถนนเส้นทางสายนี้ .... ขากลับประมาณ 4ทุ่ม ทั้งเปลี่ยวทั้งวังเวง สังเกตรถทุกคัน เมื่อขับสวนทางจะเปิดไฟสูงกระพริบใส่รถเราทุกคัน เหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง จนพี่เพื่อนบ้านที่นั่งมาด้วย แกรู้สึกกลัว เพราะเราต้องผ่านสุสานของอิสลามตลอด2ข้างทาง แล้วพี่เค้าบอกว่าในรถเรามันเย็นๆผิดปกติบอกไม่ถูก....หลังจากวันนั้นพี่เค้าบอกว่าสังเกตเห็นเวลาเราขับรถจะเห็นมีคนนั่งอยู่ข้างๆเราตลอด พี่เค้าเคยบอกเราหลายครั้ง แต่เราเฉยๆไม่พูดอะไร เพราะบางครั้งเราก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน รู้สึกมีคนนั่งรถไปกับเรา โดยเฉพาะเวลาเดินทางไกลคนเดียว เราจะไม่กลัว รู้สึกอุ่นใจอย่างแปลกประหลาดแทนที่จะรู้สึกกลัว ทั้งที่เส้นทางนั้นเราไม่เคยไปไม่ชินเส้นทาง และเคยหลงแต่ก็หาทางกลับจนได้ เพราะเรารู้สึกได้ว่ามีคนคอยอยู่ข้างๆเรา และระหว่างทางเราจะชอบท่อง อิติปิโส ฯลฯ ท่องวกไปวนมาจนถึงจุดหมายปลายทาง รู้สึกเพลินดี
และล่าสุดที่ทำให้เราต้องเชื่อสนิทใจ เมื่อ3ปีที่แล้ว เราทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำยอดให้ได้ตามเป้า มีประชุมตลอด อดหลับอดนอน 3-4 วัน ทำให้ร่างกายไม่ไหว หลังเลิกประชุมส่งลูกน้องกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่ตัวเราเกือบตาย คืนนั้นเราจำได้ว่า เราขับรถมาถึงหน้าบ้าน และได้เดินลงมาเปิดประตูบ้านเรียบร้อย ขึ้นไปขับรถเข้าบ้าน แต่ กลายเป็นว่าเราขับรถไปชนบ้าน ถ้าไม่ทำที่กั้นป้องกันน้ำท่วมเข้าบ้านตอนนั้น รถคงพุ่งทะลุกระจกเข้าไปในบ้านและเราคงได้เป็นผีเฝ้าบ้านไปแล้ว เพราะหลังจากที่รถได้ชนกำแพงกั้นก่อนขึ้นบันได น่าจะชนแรงมาก เครื่องดับทันทีเพราะหม้อน้ำแตก แอร์พัง ไฟตัดหมอกหลุดกระเด็น ฝากระโปรงรถเปิด.... หน้าอกกระแทกพวงพาลัย มือสะบัดออกจากพวงมาลัยอย่างแรง จนรู้สึกเจ็บข้อมือ เท้าก็ชาสักพักรู้สึกเจ็บ ประมาณเหมือนเราเหยียบคันเร่งแล้วปะทะอะไรแรงๆแล้วมันเด้งกลับ จนป่านนี้เรายังไม่รู้เลยว่า ได้เผลอไปเหยียบคันเร่งเข้าบ้านได้ยังไง ตอนเดินลงจากรถไปเปิดประตูบ้านเราก็ยังมีสติดีอยู่ แต่ตอนชนนี่ไม่รู้ตัวว่าไปชนตอนไหน จนป่านนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าไปชนได้ยังไง หรือว่าเราหลับใน ตอนชนได้ฟุบคาพวงมาลัยไปพักนึง เพราะจุก เจ็บบริเวณหน้าอก จนเพื่อนบ้านมาเคาะประตูรถจึงได้สติ ตอนแรกคิดว่าเราฝันไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนป่านนี้ก็พยายามนึกแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่า เราขับชนบ้านได้ยังไง ขนาดเพื่อบ้านยังตกใจวิ่งออกมาดูเพราะเสียงดังมากเหมือนหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด
แม้แต่เพื่อนบ้านที่เคยยืมรถเราไปใช้ ก็บอกว่ารถเราเหมือนมีคนนั่งมาด้วย เรายังบอกติดตลกเลยว่า ก็ดีสิ จะได้ไม่เหงาไง เหตุการณ์หลายๆอย่าง ทำให้เราเชื่อว่า แม่ย่านางในรถคอยคุ้มครองเรา หลังจากขับรถชนบ้านตัวเอง ต้องออกค่าซ่อมเอง คู่กรณีเป็นบ้านตัวเอง เราขอเล่นๆว่าต้องซ่อมรถเอง แต่ไม่คิดว่าหวยจะออกเลขทะเบียนท้ายรถเรา 3 ตัวตรงๆ แล้วก็งวดถัดไปก็ออกเลขท้าย 2 ตัว แล้วก็จะวนเวียนออกทะเบียนรถบ่อยครั้ง ตอนแรกไม่อยากเชื่อ แต่คิดว่ามันไม่น่าจะใช่เหตุบังเอิญ ขนาดวิ่งไปไหนไกลๆ ขนาดน้ำท่วมเข้ารถ แต่ก็ไม่ดับ จนขับมาถึงหน้าบ้านส่งเราเสร็จเรียบร้อยรถดับเฉยเลย
รถคันนี้จะผูกพันมาก จากที่ไม่เคยชอบเลยเมื่อแรกเห็น..... มีคนมาขอซื้อ บางทีอยากขาย แต่ก็สงสารไม่กล้าขาย เพราะรู้สึกผูกพันและรักมาก อยู่ด้วยกันมา12ปีแล้ว ช่วยชีวิตเรามาก็หลายครั้ง วิ่งแค่1แสนกว่ากิโลเมตรเอง และเป็นรถคู่ใจ เวลาขับไปไหนเหมือนมีคนนั่งข้างๆเราตลอดเวลา
แม่ย่านางในรถมีจริงไหม???
รถคันนี้อดีตแฟนได้ถอยออกมาจากโชว์รูมโดยไม่บอกกล่าวเราสักคำ คงคิดจะเซอร์ไพรส์ พอเราเห็นรถมาจอดอยู่หน้าบ้าน คิดว่ารถใครป้ายแดงสีดำสวยดี คิดว่าอาจจะเป็นรถของเพื่อนพ่อสามี หรือไม่ก็รถเพื่อนแฟน เพราะรถเราก็มีอยู่แล้วจะไปออกมาอีกคันทำไม ไม่มีเหตุจำเป็น.....
หลังจากถอยออกมาก็ไปให้หลวงพ่อเจิมที่วัด
พอเรารู้ว่าเป็นรถที่แฟนไปถอยออกมาใหม่ ก็รู้สึกเฉยๆเพราะรถคันเก่าก็ยังดีอยู่ ทำไมต้องไปถอยมาอีก ฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ เราไม่ชอบรถคันใหม่นี้เลยบอกตรงๆ แต่ก็มีชอบอยู่อย่างเดียวในรถใหม่คันนี้ คือ ชอบสีดำ มันดูคลาสสิคดี
เวลาผ่านไปหลายเดือน เราไม่แตะรถคันใหม่เลย จอดอยู่แบบนั้น จนแฟนบอกว่าไม่ลองหน่อยเหรอ มันขับดีนะ ดีกว่าคันเก่าเยอะเลย
จนวันนึงแฟนเอารถคันเก่าไปใช้ เรามีธุระ จำต้องไปขับรถคันใหม่ ด้วยความที่เคยชินแต่กับคันเก่า ทำให้เผลอเหยียบเบรคแรง ด้วยความที่มันใหม่ไปหมด และความไม่ชินกับอุปกรณ์ในรถใหม่ เผลอเหยียบแตะเบรคนิดเดียว เสียงนี่ดังเอี๊ยดได้ยินถึงข้างนอกเลย ต่างกับคันเก่า ต้องเหยียบหนักๆ ทุกอย่างต้องหนักเข้าไว้ เพราะคงผ่านการใช้งานมาหลายปี อุปกรณ์ภายในตัวเครื่องคงเสื่อมลงตามกาลเวลา.....
หลายปีผ่านไปเราได้ขับรถไปต่างจังหวัด ระยะทางประมาณ500-600 กิโลเมตร เราไม่ชินกับเส้นทาง และเป็นครั้งแรกที่พยายามขับรถออกต่างจังหวัด เรามั่นใจและคิดว่าเรารู้ใจรถเราดีพอ เราคิดว่าชั่วโมงบินเราสูง แต่มันสูงแค่เฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น การขับรถออกต่างจังหวัดเราไม่มีประสบการณ์เลย
แต่เราก็มีเพื่อนนั่งไปด้วย แต่เพื่อนไม่รู้เส้นทางเลย แค่นั่งไปเป็นเพื่อนให้รู้สึกอุ่นใจ พอใกล้พลบค่ำตะวันตกดิน ต่างจังหวัดมืดเร็วมาก ไม่มีไฟส่องข้างทาง จะมีบ้างก็เฉพาะ ในเมืองหรือแหล่งชุมชน ไม่เหมือนถนนในกรุงเทพ
ราวๆประมาณ 1ทุ่ม ด้วยความที่เราไม่เคยขับรถออกต่างจังหวัด ถนนก็ได้แค่สวนทางกัน รถบรรทุกอ้อยก็เยอะเต็มท้องถนนขับเอื่อยๆกินลมเรียงเป็นระเบียบ ขับก็ช้าเพราะบรรทุกอ้อยหนัก ถ้าไม่มีประสบการณ์นี่หมดหวังที่จะแซง ได้แต่ขับตามตูดรถบรรทุกไปเรื่อยๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น.... . แต่เราเป็นคนใจร้อน ชอบขับรถเร็ว แต่ไม่เจียมตัวว่าไม่มีประสบการณ์ขับออกต่างจังหวัด เราได้แซงรถบรรทุกอ้อย แต่ไม่พ้น เพราะไม่ยอมให้เราแซง ระหว่างนั้นมีรถบรรทุกอ้อยได้ขับสวนเลนมา และเปิดไฟกระพริบใส่รถเราถี่ๆ คงจะเตือน เราโชคดีที่รถบรรทุกขับสวนเลนมาใจดี อาจจะเห็นรถเราไกลๆ คงคิดว่าเรานี่อ่อนหัดบนถนน จึงยอมเบรค แล้วให้เราหาจังหวะขับชิดเข้าเลนตัวเอง ตอนแรกคิดว่ายังไงก็ต้องประสานกันแน่ เรากับเพื่อนคงไม่รอด รถต้องเละ เพราะไม่มีทางหลบได้เลย แต่เราก็รอดมาได้ราวปฎิหารย์
ขากลับกรุงเทพฯ เราขับมาด้วยความเร็ว บวกกับไม่ได้นอนจะรีบกลับให้ถึงกรุงเทพก่อนมืดค่ำ และเราคิดว่าเรามาทางตรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราต้องถูกเสมอ เราจะไม่ยอมถ้ามีใครเลี้ยวตัดหน้า มันทำให้เราเกือบประสานงากับรถบัส เราเหยียบเบรคเป็นทางยาวดังเอี๊ยดลากเสียงเบรคมาแต่ไกล สุดท้ายเราต้องเบรค ต่างคนต่างเบรค ตอนนั้นถ้ารถบัสไม่เบรคให้ คงได้ประสานงากันแน่ เพราะขนาดเบรคสุดแรงแล้วรถเรายังห่างรถบัสแค่เกือบเมตร..... เจอเหตุการณ์ในครั้งนั้น 2 ครั้ง มันทำให้เราคิดได้ว่า ไม่ว่าเราจะผิดหรือถูก เราควรจะผ่อนปรน มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมทาง และไม่ประมาทเสี่ยงชีวิตบนท้องถนน
หลังจากนั้นไม่นาน เราขับรถไปแถวคู้ซ้ายกับเพื่อนบ้านเพื่อไปเที่ยวงานเกี่ยวกับอิสลาม แถวนั้นมีแต่สุสานและทุ่งนา ที่นั่นจะขึ้นชื่อเรื่องปล้นฆ่า ดึกๆไม่ค่อยมีใครขับรถผ่านถ้าไม่จำเป็น เราเป็นคนต่างถิ่นเลยไม่ค่อยรู้อะไรมาก เพิ่งมารู้ทีหลังเกี่ยวกับประวัติบนถนนเส้นทางสายนี้ .... ขากลับประมาณ 4ทุ่ม ทั้งเปลี่ยวทั้งวังเวง สังเกตรถทุกคัน เมื่อขับสวนทางจะเปิดไฟสูงกระพริบใส่รถเราทุกคัน เหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง จนพี่เพื่อนบ้านที่นั่งมาด้วย แกรู้สึกกลัว เพราะเราต้องผ่านสุสานของอิสลามตลอด2ข้างทาง แล้วพี่เค้าบอกว่าในรถเรามันเย็นๆผิดปกติบอกไม่ถูก....หลังจากวันนั้นพี่เค้าบอกว่าสังเกตเห็นเวลาเราขับรถจะเห็นมีคนนั่งอยู่ข้างๆเราตลอด พี่เค้าเคยบอกเราหลายครั้ง แต่เราเฉยๆไม่พูดอะไร เพราะบางครั้งเราก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน รู้สึกมีคนนั่งรถไปกับเรา โดยเฉพาะเวลาเดินทางไกลคนเดียว เราจะไม่กลัว รู้สึกอุ่นใจอย่างแปลกประหลาดแทนที่จะรู้สึกกลัว ทั้งที่เส้นทางนั้นเราไม่เคยไปไม่ชินเส้นทาง และเคยหลงแต่ก็หาทางกลับจนได้ เพราะเรารู้สึกได้ว่ามีคนคอยอยู่ข้างๆเรา และระหว่างทางเราจะชอบท่อง อิติปิโส ฯลฯ ท่องวกไปวนมาจนถึงจุดหมายปลายทาง รู้สึกเพลินดี
และล่าสุดที่ทำให้เราต้องเชื่อสนิทใจ เมื่อ3ปีที่แล้ว เราทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำยอดให้ได้ตามเป้า มีประชุมตลอด อดหลับอดนอน 3-4 วัน ทำให้ร่างกายไม่ไหว หลังเลิกประชุมส่งลูกน้องกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่ตัวเราเกือบตาย คืนนั้นเราจำได้ว่า เราขับรถมาถึงหน้าบ้าน และได้เดินลงมาเปิดประตูบ้านเรียบร้อย ขึ้นไปขับรถเข้าบ้าน แต่ กลายเป็นว่าเราขับรถไปชนบ้าน ถ้าไม่ทำที่กั้นป้องกันน้ำท่วมเข้าบ้านตอนนั้น รถคงพุ่งทะลุกระจกเข้าไปในบ้านและเราคงได้เป็นผีเฝ้าบ้านไปแล้ว เพราะหลังจากที่รถได้ชนกำแพงกั้นก่อนขึ้นบันได น่าจะชนแรงมาก เครื่องดับทันทีเพราะหม้อน้ำแตก แอร์พัง ไฟตัดหมอกหลุดกระเด็น ฝากระโปรงรถเปิด.... หน้าอกกระแทกพวงพาลัย มือสะบัดออกจากพวงมาลัยอย่างแรง จนรู้สึกเจ็บข้อมือ เท้าก็ชาสักพักรู้สึกเจ็บ ประมาณเหมือนเราเหยียบคันเร่งแล้วปะทะอะไรแรงๆแล้วมันเด้งกลับ จนป่านนี้เรายังไม่รู้เลยว่า ได้เผลอไปเหยียบคันเร่งเข้าบ้านได้ยังไง ตอนเดินลงจากรถไปเปิดประตูบ้านเราก็ยังมีสติดีอยู่ แต่ตอนชนนี่ไม่รู้ตัวว่าไปชนตอนไหน จนป่านนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าไปชนได้ยังไง หรือว่าเราหลับใน ตอนชนได้ฟุบคาพวงมาลัยไปพักนึง เพราะจุก เจ็บบริเวณหน้าอก จนเพื่อนบ้านมาเคาะประตูรถจึงได้สติ ตอนแรกคิดว่าเราฝันไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนป่านนี้ก็พยายามนึกแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่า เราขับชนบ้านได้ยังไง ขนาดเพื่อบ้านยังตกใจวิ่งออกมาดูเพราะเสียงดังมากเหมือนหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด
แม้แต่เพื่อนบ้านที่เคยยืมรถเราไปใช้ ก็บอกว่ารถเราเหมือนมีคนนั่งมาด้วย เรายังบอกติดตลกเลยว่า ก็ดีสิ จะได้ไม่เหงาไง เหตุการณ์หลายๆอย่าง ทำให้เราเชื่อว่า แม่ย่านางในรถคอยคุ้มครองเรา หลังจากขับรถชนบ้านตัวเอง ต้องออกค่าซ่อมเอง คู่กรณีเป็นบ้านตัวเอง เราขอเล่นๆว่าต้องซ่อมรถเอง แต่ไม่คิดว่าหวยจะออกเลขทะเบียนท้ายรถเรา 3 ตัวตรงๆ แล้วก็งวดถัดไปก็ออกเลขท้าย 2 ตัว แล้วก็จะวนเวียนออกทะเบียนรถบ่อยครั้ง ตอนแรกไม่อยากเชื่อ แต่คิดว่ามันไม่น่าจะใช่เหตุบังเอิญ ขนาดวิ่งไปไหนไกลๆ ขนาดน้ำท่วมเข้ารถ แต่ก็ไม่ดับ จนขับมาถึงหน้าบ้านส่งเราเสร็จเรียบร้อยรถดับเฉยเลย
รถคันนี้จะผูกพันมาก จากที่ไม่เคยชอบเลยเมื่อแรกเห็น..... มีคนมาขอซื้อ บางทีอยากขาย แต่ก็สงสารไม่กล้าขาย เพราะรู้สึกผูกพันและรักมาก อยู่ด้วยกันมา12ปีแล้ว ช่วยชีวิตเรามาก็หลายครั้ง วิ่งแค่1แสนกว่ากิโลเมตรเอง และเป็นรถคู่ใจ เวลาขับไปไหนเหมือนมีคนนั่งข้างๆเราตลอดเวลา