สวัสดีครับ เพราะยังมูฟออนไม่ได้ และติดอยู่ในวังวนของดินแดนที่ไม่โร้วววว~ กับ FROZEN II หรือ ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ ภาคต่อของอนิเมชั่นที่กำลังมาแรงในขณะนี้ และก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีอะไรที่ด้อยกว่า และดีกว่าภาคก่อน ซึ่งผมบอกในรีวิวแล้วไปอ่านเอาเองนะ เพราะวันนี้ผมจะขอใช้กระทู้นี้เป็นสะพานเชื่อมให้กับคน ได้รู้จักธีมเรื่อง วิเคราะห์ประเด็นที่ในตอนนั้น ผมไม่สามารถทำได้ เพราะเพิ่งดูไปรอบเดียว
ตอนนี้สามรอบแล้วทั้งไทยทั้งอังกฤษ ผมก็พร้อมแล้วที่จะมาชำแหละทั้งตัวละครกับเพลงประกอบในเรื่องที่เป็นดาบสองคมของภาคนี้ว่าเป็นอย่างไร ตั้งใจอ่านดี ๆ แหล่ะ ส่วนชื่อกระทู้ได้มาจากเพลง "กลับคืนมา" หรือ All is Found เพลงหนึ่งในเรื่อง เห็นว่าเข้าท่าดีเลยเอามาท่อนร้องใช้ตั้งชื่อกระทู้นี้ โดยอ้างอิงจากมุมมองระหว่างดูที่สามารถจับมาได้ หวังว่าผมจะไม่ได้ทำให้กระทู้นี้เข้าใจอะไรยากด้วย
เมื่อ 6 ปีก่อนที่ออกมาวิเคราะห์ตัวละคร และ บทเพลงในภาคแรก ใครอยากตามไปย้อนดูก็เชิญได้เลยครับ
วิเคราะห์ตัวละคร
อันนา (21 ปี)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้น้องสาวจอมแก่นของเอลซ่า ที่ตั้งแต่ได้คืนดีกับพี่สาวก็ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อดูแลพี่สาว จนแทบไม่สนใจแฟนหนุ่มสุดหล่ออย่างคริสตอฟฟ์เลย ต้องย้อนความไปก่อนว่าใน FROZEN FEVER ซึ่งเป็นหนังสั้นที่เล่าเรื่องต่ออ้อม ๆ จากภาคแรก เอลซ่าได้ทุ่มกำลังจัดงานวันเกิดให้อันนาอย่างสุดกำลัง แม้จะป่วย จามออกมาเป็นเจ้าสโนว์กี้ที่ออกมาป่วนเบา ๆ ทำให้อันนาเป็นห่วงพี่สาวมาก นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ว่าเราเห็นอันนาอยู่กับเอลซ่ามาตลอด เพราะกลัวว่าเอลซ่าจะเป็นอะไรไป อันนากลัวการอยู่โดดเดี่ยวแบบที่เคยเป็นมา
เมื่อเข้าภาคสองเราจะเห็นได้ว่าความคิดนี้ถูกส่งต่อออกมาในเพลง Some Things Never Change บางเรื่องไม่เคยเปลี่ยน เธอยังเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แต่รอบนี้เธอไม่ใจง่ายเหมือนตอนฮานส์ (ผิด ๆ) เธอเริ่มรู้จักดูคนผ่านท่าทาง ไม่ได้หุนหันพลันแล่นอย่างเมื่อก่อน แม้ทุกอย่างมันตรงข้ามกับสิ่งที่อันนาพยายามจะสื่อตลอดผ่านเนื้อเพลง (ลมพัดเย็น ต้นไม้ถูกตัด ใบไม้ร่วงกราว ฟักทองกลายเป็นปุ๋ย) ยกเว้นอย่างเดียว ความรู้สึกที่อันนามีต่อคนที่เธอรัก ทั้งเอลซ่า ทั้งคริสตอฟฟ์ โอลาฟ มันยังคงเป็นเหมือนเดิม
ทว่า ความต้องการที่จะดูแลเอลซ่า มันกลายเป็นเหมือนสิ่งที่กลายเป็นโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นไปแล้ว เธอทำทุกอย่างเพื่อเป็นกำลังสำคัญให้เอลซ่าในทุก ๆ เรื่อง (อาจเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบภาคแรกอีก) ความสูญเสียพ่อแม่ในตอนเด็กที่เคยสร้างกำแพงกั้นไว้ ความรักดึงทั้งคู่กลับมาหากันอีกครั้ง อันนาคิดแค่ว่า พี่สาวฉันจะต้องไปไม่ตามเสียงนั้น เธอบอกกับพี่สาวว่าจะทำทุกอย่างไปด้วยกัน หลังจากเผชิญหน้ากับอสูรศิลาในป่าต้องมนตร์ และการกระโดดเข้ากองไฟตอนที่พี่สาวต่อสู้กับจิตวิญญาณโดยไม่สนใจคริสตอฟฟ์ เธอก็เอาแต่บอกว่าพี่ไปคนเดียวไม่ได้ คือเชื่อมั่นในพี่สาว แต่ในความเชื่อมั่นนั้นต้องมีฉันอยู่ด้วย เป็นความกลัวของอันนาเองที่กลัวว่าพี่สาวจะต้องตาย ก่อนที่ทุกอย่างจะมาระเบิดออกตอนที่อันนาพยายามขอให้เอลซ่าพาตัวเองไปที่ทะเลกาฬ (Dark Sea) ด้วยกัน
อันนาไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนั้นเธอจะยิ่งทำให้เอลซ่าต้องกังวล เมื่อต้องคุยกับโอลาฟ เธอก็บอกว่าเธอทั้งโกรธและเป็นห่วงพี่สาวคนนี้ กระทั่งเธอติดอยู่ในถ้ำและได้รับข้อความจากเอลซ่าก่อนที่จะถูกแช่แข็ง เธอจึงรู้แล้วว่า พี่สาวได้ยอมสละชีวิตเพื่อความจริงในการปลดปล่อยป่าต้องมนตร์ ไม่มีใครอยู่กับเธอได้ตลอดไป เธอต้องเลิกยึดติดกับพี่ตัวเอง ความกล้าหาญที่มาจากความโศกเศร้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายกับผู้หญิงคนหนึ่งมากที่สุด (เสียพ่อแม่ เสียพี่ เสียโอลาฟ) ในเพลง The Next Right Things ผลักดันให้เธอเลือกที่จะมองความสำคัญของคนอื่นมากกว่าตัวเอง
การขอโทษคริสตอฟฟ์ การเสียสละอาณาจักรของตัวเองเพื่อช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสามารถปลดปล่อยอาณาจักร และพบกับพี่สาวอีกครั้ง ที่ซึ่งตอนนั้นเธอได้เลือกที่จะปล่อยให้พี่สาวได้ไปตามทางของตัวเอง เป็นการปล่อยวางอดีตอย่างสมบูรณ์และเป็นสิ่งที่เธอคู่ควรที่จะเป็นคือ ราชินีแห่งแอเรนเดลล์และครองรักกับผู้ชายธรรมดาแต่รักเธอสุดหัวใจอย่างคริสตอฟฟ์ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้แล้วว่าแม้พี่สาวจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ทั้งคู่ก็จะสามารถเป็นสะพานให้กับอาณาจักรด้วยกัน เธอได้เป็นผู้ใหญ่ และมีความสุขจริง ๆ สักที เป็นสิ่งที่เธอไม่คิดฝันว่าจะได้เจอ แต่ก็ได้เจอ คงมีเจ้าหญิงไม่กี่คนที่จะได้เจอผจญภัยไปกับจิตใจตัวเองได้เท่าอันนาแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่ Let It Go จริง ๆ คือ อันนานี่ล่ะ
เอลซ่า (24 ปี)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พี่สาวคนสวย ความอาภัพของชีวิตที่ทำให้สามปีก่อน เธอเกือบฆ่าน้องสาว สาปอาณาจักรจนเป็นน้ำแข็ง แม้จะเปิดใจ แล้วทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเดิม ยังคงหลอกหลอนเธออยู่ เหมือนปมทางจิตที่ยังไม่เคยหายไป เพราะกลัวว่าความรักจะฆ่าน้องของตัวเอง (ภาคแรกคืออาการทางจิต ภาคนี้คือการบำบัดทางจิตเยียวยาใจ) แต่ไม่รุนแรงเท่ากับการที่เธอได้ยินเสียงประหลาดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ บางทีอาจจะได้ยินมาตลอด แต่ครั้งนี้หนังพาเรามาสำรวจมุมเอลซ่าบ้าง เป็นไปได้ว่าเสียงนั้นอาจจะอยู่กับเอลซ่ามาตลอด แค่เราอาจจะไม่ได้รับรู้ในครั้งที่ผ่าน ๆ มา เธอเป็นราชินีได้ตามที่พ่อเคยสั่งไว้ ได้เป็นที่รักของทุกคน ในทุกงานเทศกาล
แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยก น่าจะเป็นเพราะเธอไม่รู้จริง ๆ เลยว่า ตัวเธอ หรือพลังมหัศจรรย์นี้นั้นมันมีไว้เพื่ออะไร กระทั่งเสียงนั้นมันทำให้เธอตอบรับ เพราะเสียงนั้นมันช่างคุ้นเคยเหมือนในเพลง Into The Unknown ที่ในช่วงแรกเธอยังกลัวที่จะข้ามผ่านตัวเอง เพราะความที่เธอเชื่อว่าสิ่งที่เธอเป็นอยู่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แม้ในใจจะรู้ว่ามันไม่ใช่ กระทั่งเธอเห็นว่าเสียงนั้นกำลังจะนำพาเธอไปสู่ที่ ๆ หนึ่งที่เธอฝันใฝ่ เธอก็ตอบรับพลังนั้นทันที นั่นทำให้เกิดเรื่องขึ้น ซึ่งเธอก็ยืนกรานว่าเสียงนั่นไม่ใช่เสียงอันตราย
เห็นได้จากการที่เธอไปถึงป่าต้องมนตร์ เธอใช้เวลาไม่นานในการทำให้จิตวิญญาณทั้งสองเชื่องลง ทั้งคู่ได้เห็นความทรงจำว่าแท้จริง แม่ของเธอคือผู้ช่วยชีวิตพ่อในตอนเด็ก ในขณะเดียวกัน การได้พบ "ฮันนี่มาเร็น" ผู้หญิงเผ่า "นอร์ธธัลดร้า" ที่นั่งกองไฟร่วมกันสองคน ชวนคุยกันเรื่องผ้าคลุม เรื่องเพลงกล่อมเด็ก อย่างเพลง All is found ก็ดูเป็นอะไรที่ทำให้เอลซ่าสบายใจ เพราะอย่างน้อยฮันนี่ก็เชื่อว่าเธอเป็นส่วนนึงของพลัง ซึ่งน้องสาวเธอไม่ได้เชื่อแบบนั้น น้องสาวเธอแค่อยากให้เอลซ่าหาทางปลดปล่อยป่า มีไม่มากที่จะเห็นเอลซ่ามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนอกเหนือจากคนรอบตัว ซึ่งฮันนี่มาเร็นเป็นคนนั้น ที่แม้จะออกมาสั้น ๆ ก็ดันเป็นคนที่ทำให้เธอเปิดใจกล้าคุยเรื่องนี้ได้ (ไม่แปลกใจว่าทำไมตอนนี้ในทวิตติด #Elsamaren ผมก็ด้วย5555)
แต่การมีคนเข้าใจเพิ่มนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ภาคนี้ต้องการจะสื่อ เพราะสิ่งที่เอลซ่าต้องการคือหาคำตอบ เธอจึงเดินทางไปพร้อมกับอันนาที่ยังตามติดเธอไม่ห่าง เธอได้พบกับซากเรือของพ่อแม่ที่อัปปางอยู่ชายฝั่ง และได้ใช้พลังตามความรู้ที๋โอลาฟมีว่า "น้ำมีความทรงจำ" ซึ่งทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายของพ่อแม่ ซึ่งเป็นอะไรที่หนักหน่วงมากสำหรับผู้หญิงสองคนที่รู้ทั้งรู้ว่าพ่อแม่ตาย แต่ต้องเห็นกับตา มันยิ่งทำให้เอลซ่ายิ่งโทษตัวเองเข้าไปใหญ่ เพราะพ่อแม่ออกเรือขึ้นทางเหนือเพื่อจะไปอะโตฮาลลานนั่นเอง
เอลซ่ายิ่งไม่เข้าใจตัวเองว่าพลังนี้มีไว้เพื่ออะไร ถ้ามันทำให้คนที่รักต้องล้มตาย อันนาบอกว่ามันคือของขวัญ แม้เอลซ่าจะพร่ำบอกมันก็ยิ่งทำให้เอลซ่ากลัว แต่ประสบการณ์จากภาคแรกไม่ได้ทำให้เธอเตลิด แต่ทำให้เธอใจแข็ง เธอใช้พลังส่งอันนาไปที่ปลอดภัย โดยเธอเชื่อว่า นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้กลับมา เอลซ่าต้องใช้ความกล้าและพลังอย่างมากในการต่อสู้กับนูค จิตวิญญาณม้าพยศที่เป็นต้นเหตุของพายุในทะเลกาฬ แต่ด้วยจิตที่เชื่อมโยงกันทำให้เธอสามารถไปถึงอัลโตฮาลลานได้ เธอได้ปลดปล่อยตัวเอง
จากการเกล้าผมทั้งที่ Let It Go ไป คือการเป็นตัวเราให้คนอื่นได้เห็น แต่การ Show Yourself มันคือการเป็นตัวเองจริง ๆ การยอมรับว่าฉันเป็นแบบนี้ ฉันไม่ต้องทนอีกแล้ว จะปล่อยผมยาวก็ได้ตามใจ ได้เป็นมากกว่าราชินีหิมะ แต่คือจิตวิญญาณที่ 5 ที่จะเชื่อมจิตเข้าด้วยกัน ยิ่งฉากที่เห็นหน้าแม่ในความทรงจำแล้วเอามือปิดปากนี่มันออกแนว "หนูลูกสาวแม่" มาก เพศที่สามเห็นคงกริ๊ดแตก ภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาขวางกั้นอีกแล้ว เปลี่ยนชุดเฉิดฉายเลยรอบนี้55555 หลังจากนั้น เธอก็เห็นอดีตทั้งของพ่อแม่ ของปู่ตัวเองที่ได้สร้างเรื่องไว้ จนกระทั่งเกือบปลายสุดของอะโตฮาลลาน ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธออาจจะกลัวจนไม่กล้า แต่นี่เธอกระโจนลงไปเอง เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่า ความทรงจำคือสิ่งเดียวที่จะไขปมทุกอย่างได้
เธอพยายามจะห้ามปู่ไม่ให้ทำเรื่องแย่ แม้จะเป็นความทรงจำ เธอไม่กลัวอะไร แม้จะต้องแข็งตาย อยู่ที่ก้นอัลโตฮัลลาน เธอเป็น เอลซ่าคนใหม่แล้ว เมื่อเธอได้กลับมามีชีวิต สิ่งแรกที่เธอทำคือใช้พลังหยุดคลื่นน้ำจากเขื่อนถล่มเอาไว้ เพียงแค่ไม่นานก็สงบลง เธอกลับมาหาน้องสาวตัวเอง และบอกว่าอันนาได้ช่วยอาณาจักรไว้ในที่สุด สองครั้งด้วย แม้จะไม่บอกอะไรต่อ แต่การบอกว่าสะพานเชื่อมสัมพันธ์คนกับจิตวิญญาณ ก็เป็นการบอกกลาย ๆว่าจะยกตำแหน่งให้น้องสาวผู้ที่คู่ควรที่สุด ส่วนตัวเองได้รับการชักชวนจากฮันนี่แมเร็นที่บอกว่า "รู้มั้ย ท่านควรอยู่ที่นี่"
ในชีวิตหนึ่ง ไม่เคยมีใครชักชวนเอลซ่า (ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ทำให้เอลซ่าสบายใจจริง ๆ นะไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม แม้ใช้เวลาด้วยกันไม่มาก) มันทำให้เธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะอยู่ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะจิตวิญญาณให้ดีที่สุด โดยมีน้องสาวอยู่ในใจเสมอ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เธอไม่ใช่เอลซ่า คนที่หวาดกลัวอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่คือเอลซ่าผู้เข้มแข็ง และ มีอิสรภาพในชีวิตของตัวเอง กล้าที่จะ Show Yourself (ไปเป็นนางโชว์อย่างแท้จริง แล้วเตรียมขี่ม้าไปเปิดคาบาเร่ต์โชว์กับแม่ตัวเองที่อัลโตฮาลาน5555)
คริสตอฟฟ์ (24 ปี)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นอกจากการเป็นผู้ชายส่งน้ำแข็ง กับผู้ชายที่เป็นพระรองเพลงโพลีแคท ในภาคแรกแล้ว คริสตอฟฟ์ยังเป็นผู้ชายธรรมดาที่ไม่ได้เก่งกาจด้านการต่อสู้ แต่เป็นฝ่ายสนับสนุนที่ดีเลยก็ว่าได้ จริงอยู่ที่ภาคนี้ ในหัวคริสตอฟฟ์จะมีแต่เรื่องกวางกับเรื่องขอแต่งงานอันนา ส่วนตัวที่คนบอกว่าทำไมไม่ขอตั้งแต่ปีแรก เดี๋ยวก่อน ย้อนกลับไปตั้งแต่ภาคแรก คริสตอฟฟ์คือ สุภาพบุรุษมาก จะทำอะไร จะจูบ จะกอด ต้องขออนุญาตอันนาอยู่เสมอ เป็นไปได้ว่า คริสตอฟฟ์เองก็รอโอกาสขออยู่เหมือนกัน จนกระทั้งวันฉลองฤดูนี่ล่ะ เหมาะสุด แต่ความปากเสียกับเด๋อด๋าที่เอาเรื่องฮานส์มาพูดประสาผู้ชาย มันทำให้แม้แต่สเฟนยังต้องมองบน อันนาเองตอนนั้นก็อารมณ์แบบรักแหล่ะ แต่ฉันก็มีปัญหาของฉัน ซึ่งคริสตอฟฟ์ก็พร่ำบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร โคตร อดทน
การไปป่าต้องมนตร์นี้ทำให้คริสตอฟฟ์ได้สำรวจตัวเองด้วยว่าเขาทำอะไร พาสเฟนไปต้อนกวางกลับมา ได้ผูกมิตรกับไรเดอร์ หนุ่มเลี้ยงกวางที่ชอบอะไรเหมือนกัน (ไรเดอร์ไม่รู้เรื่องผู้หญิง ไรเดอร์จึงปลื้มคริสตอฟฟ์ และไม่ชอบเวลาเห็นคริสตอฟฟ์ไม่สบายใจ) เห็นได้จากที่คริสตอฟฟ์พยายามขออันนาแต่งงาน โดยมีไรเดอร์ที่พูดภาษากวางได้ช่วย แล้วไม่สำเร็จ ไรเดอร์พยายามปลอบ ก่อนที่คริสตอฟฟ์จะเอาความน่าสงสารไปโยนทิ้งกับเพลง Lost In The Woods (ผมขอแปลว่า : เธอจากไปแล้ว ไม่ได้เลิกรักเธอ แค่นอยด์เธอ) พูดถึงความไม่แน่นอน แต่ในใจยังมีอันนาอยู่เสมอ เห็นได้จากตอนท้ายที่เมื่อเจออันนาปั๊บก็ถามเลย "มีอะไรให้ช่วย" ไม่มีงอน ใจนายหล่อมากสมควรเป็นสามีอันนาจริง ๆ
มีต่อครับ
ที่ที่ FROZEN 2 ทำให้งง สิ่งที่ข้องใจ ไขให้คุณได้ดู โอ้ไปดูอีกรอบเถอะหนา ที่สูญหายไปจะกลับคืนมา (สปอยล์)
เอลซ่า (24 ปี)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คริสตอฟฟ์ (24 ปี)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีต่อครับ