ขั้นปรมัตถ์
ขั้นที่ ๗ ปราโมทย์กับภาวะธรรม คือ ไม่ว่าเราทำดีต่อเขา หรือเขาทำดีต่อเรา ฯลฯ เราต้องปราโมทย์กับภาวะธรรมนี้
ขั้นที่ ๘ ต้องซึ้ง คือ ต้องรับความจริงกับภาวะธรรมนั้น ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องดำรงแห่งความพึงพอใจ ดำรงแห่งความปิติ ดำรงแห่งความเข้าใจตรงนี้ ซาบซึ้งตรงนี้ มีความดีใจกับตรงนี้
ขั้นที่ ๙ วาง คือ จะก้าว จะเดิน จะดำเนินแล้ว มีความปราโมทย์ที่จะดำเนิน จะหลุดแล้ว เราต้องวางปราโมทย์ ถ้าเรายังติดปราโมทย์อยู่เราจะเข้านิพพานไม่ได้ ยังเป็นปมอยู่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้
ขั้นที่ ๑๐ จะเข้าสู่กระแสธรรม เหมือนกับคล้ายๆ เข้าสู่ภาวะดำรง ปราโมทย์ที่จะยอมรับความจริงแห่งภาวะธรรม มีการอยู่ในภาวะธรรม ให้เป็นไปตามภาวะธรรม มีแต่ความปราโมทย์ดำรงอยู่
ขั้นที่ ๑๑ ต้องวาง คือ ไม่ให้มีปม
แต่ขั้นที่ ๙ "วาง" นี้แค่ละเฉยๆ แต่ข้อที่ ๑๑ นี้ ไม่ใช่ "ละ" แล้ว
เพราะถ้า "ละ" แสดงว่า "มี" แต่ขั้นนี้ต้องไม่มี ปราโมทย์มีความสุขอยู่กับคำว่า "ไม่มี"
ขั้นที่ ๑๒ แม้แต่ปราโมทย์ก็ยังต้องไม่มี เข้าสู่ตถตา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนี้เอง มีก็เรื่องของมัน ไม่มีก็เรื่องของมัน
ตถตานี้มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ ทุกอย่างปราโมทย์จะขาดไป หมายความว่า แม้แต่ปราโมทย์ยังต้องตัดขาด ถ้ายังมีปราโมทย์แสดงว่ายังมีปม ร้อยเข้ารูเข็มไม่ได้
เราจะมีความรู้สึกที่ว่า
"เราไม่ได้วางอะไรเลย แต่สิ่งนั้นก็คือวาง"
หรือ
"ฉันไม่ได้หยิบอะไรเลย แต่สิ่งนั้นก็คือหยิบ"
ทั้งหยิบทั้งวาง ก็คือสิ่งนั้นไม่มีอะไรเลย สิ่งนั้นก็จึงไม่มีอะไรเลย ทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละ "ตถตา"
ปราโมทย์นำไปสู่ภูมิปัญญาตรงนั้น
หากไม่มีปราโมทย์เป็นพื้นฐานจะไม่ถึงสุขตรงนั้น
ปราโมทย์เปรียบเสมือนเรือให้เราขึ้นฝั่ง แสดงว่าสิ่งที่เราทำบุญ สร้างกุศล ทำคุณงามความดีต่างๆ นั้นเพื่อให้เกิดปราโมทย์
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ปราโมทย์ ขั้นปรมัตถ์
ขั้นที่ ๗ ปราโมทย์กับภาวะธรรม คือ ไม่ว่าเราทำดีต่อเขา หรือเขาทำดีต่อเรา ฯลฯ เราต้องปราโมทย์กับภาวะธรรมนี้
ขั้นที่ ๘ ต้องซึ้ง คือ ต้องรับความจริงกับภาวะธรรมนั้น ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องดำรงแห่งความพึงพอใจ ดำรงแห่งความปิติ ดำรงแห่งความเข้าใจตรงนี้ ซาบซึ้งตรงนี้ มีความดีใจกับตรงนี้
ขั้นที่ ๙ วาง คือ จะก้าว จะเดิน จะดำเนินแล้ว มีความปราโมทย์ที่จะดำเนิน จะหลุดแล้ว เราต้องวางปราโมทย์ ถ้าเรายังติดปราโมทย์อยู่เราจะเข้านิพพานไม่ได้ ยังเป็นปมอยู่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้
ขั้นที่ ๑๐ จะเข้าสู่กระแสธรรม เหมือนกับคล้ายๆ เข้าสู่ภาวะดำรง ปราโมทย์ที่จะยอมรับความจริงแห่งภาวะธรรม มีการอยู่ในภาวะธรรม ให้เป็นไปตามภาวะธรรม มีแต่ความปราโมทย์ดำรงอยู่
ขั้นที่ ๑๑ ต้องวาง คือ ไม่ให้มีปม
แต่ขั้นที่ ๙ "วาง" นี้แค่ละเฉยๆ แต่ข้อที่ ๑๑ นี้ ไม่ใช่ "ละ" แล้ว
เพราะถ้า "ละ" แสดงว่า "มี" แต่ขั้นนี้ต้องไม่มี ปราโมทย์มีความสุขอยู่กับคำว่า "ไม่มี"
ขั้นที่ ๑๒ แม้แต่ปราโมทย์ก็ยังต้องไม่มี เข้าสู่ตถตา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนี้เอง มีก็เรื่องของมัน ไม่มีก็เรื่องของมัน
ตถตานี้มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ ทุกอย่างปราโมทย์จะขาดไป หมายความว่า แม้แต่ปราโมทย์ยังต้องตัดขาด ถ้ายังมีปราโมทย์แสดงว่ายังมีปม ร้อยเข้ารูเข็มไม่ได้
เราจะมีความรู้สึกที่ว่า
"เราไม่ได้วางอะไรเลย แต่สิ่งนั้นก็คือวาง"
หรือ
"ฉันไม่ได้หยิบอะไรเลย แต่สิ่งนั้นก็คือหยิบ"
ทั้งหยิบทั้งวาง ก็คือสิ่งนั้นไม่มีอะไรเลย สิ่งนั้นก็จึงไม่มีอะไรเลย ทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละ "ตถตา"
ปราโมทย์นำไปสู่ภูมิปัญญาตรงนั้น
หากไม่มีปราโมทย์เป็นพื้นฐานจะไม่ถึงสุขตรงนั้น
ปราโมทย์เปรียบเสมือนเรือให้เราขึ้นฝั่ง แสดงว่าสิ่งที่เราทำบุญ สร้างกุศล ทำคุณงามความดีต่างๆ นั้นเพื่อให้เกิดปราโมทย์
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต