วิธีบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนบ้าเที่ยว (ฉบับบ้านๆ)


คำว่า บ้าเที่ยว นี่คือขนาดไหน? 

ก็คือปกติจะแพลนทริปยันจบปีไว้ล่วงหน้า บางทีเลยไปถึงปีถัดไป กิจกรรมยามว่าง คือ นั่งเชคตั๋วเครื่องบินและที่พัก ถ้าเจอโปรตั๋วถูกบางทีก็มือลั่นไม่รู้ตัว รู้อีกทีคือตัดบัตรไปแล้ว 555

เชื่อว่าหลายคนฝันจะมีโอกาสได้เดินทางรอบโลก(เราเองก็เหมือนกัน) ปัญหาคือถ้าเราไม่รวยล่ะจะทำยังไง? 

เราเองเริ่มเดินทางจริงจังตอนอายุ 22 ปีค่ะ (ตอนนี้อายุ 28 ปี) ตอนนั้นเป็นนักศึกษาแต่อยากไปเที่ยว เลยทำงานพิเศษหาเงินสมทบทุนท่องเที่ยวโดยการเป็นล่ามและไกด์ตอนสมัยอยู่ต่างประเทศ จำได้ว่าก่อนหน้านั้นเคยไปเที่ยวต่างประเทศแค่ 3 ประเทศคือ เยอรมนี, สิงคโปร์และรัสเซีย ตั้งใจทำงาน และหาเงินมากๆ เพราะความสุขของเราคือการได้เดินทางไปที่ต่างๆ ใช้เงินส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการท่องเที่ยว จนเวลาผ่านไป6 ปีด้วยความบ้าท่องเที่ยวเลยได้แผนที่ที่เคยไปแผ่นนี้มา

คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดคงจะเป็น “ไปเอาเงินที่ไหนมาเที่ยว?”

เราเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาบ้านไม่ได้มีฐานะร่ำรวยค่ะ เน้นการบริหารเงินและหลักการที่ว่าถ้าอยากให้เงินงอกเงยต้องลงทุนและหาเงินเพิ่มค่ะ
ตอนนี้ทำงานประจำมาได้เกือบ 3 ปีละค่ะเข้าใจมนุษย์เงินเดือนดีว่ามีสิ่งยั่วยุหลายสิ่ง ทั้งค่าสังคม, ค่าบุฟเฟต์ชาบู,ค่าเครื่องสำอางค์,ค่าเสื้อผ้า
ไม่แปลกที่จะใช้เงินเดือนชนเดือน  แต่ถ้าเรารู้จักการบริหารเงินให้ดีเราจะมีเงินสำหรับท่องเที่ยวตลอดเวลาค่ะ  ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการบริหารเงินที่แตกต่างกันไปที่จะนำเสนอวันนี้เป็นตัวอย่างของการบริหารเงินของเราเองที่ใช้ตั้งแต่เริ่มเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ

จากการลองมาหลายวิธี เราคิดว่าไม่มีวิธีไหนผิดถูกมีแต่วิธีที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด  ถ้าใครยังไม่มีไอเดียหรือกำลังหาทางบริหารเงินลองเอาวิธีนี้ไปปรับใช้ดูนะคะ (เรายังโสด ที่บ้านไม่ได้มีหนี้สินหรือภาระอะไรที่ต้องใช้เงินเเต่ละเดือนชำระเยอะๆค่ะ มีค่าบัตรเครดิตทั่วไป คนมีครอบครัวอาจจะต้องปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับรายจ่ายค่ะ)
 
ก่อนจะเริ่มใช้วิธีนี้แนะนำให้มีเงินออมอย่างน้อย 6-12 เท่าของเงินเดือนเราก้อนนี้จะเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในชีวิตค่ะ

หลังจากนั้นจะเอาเงินเดือนมาแบ่งออกเป็น 5 ส่วนตั้งแต่เงินเดือนออก (ย้ำว่าแบ่งสัดส่วนก่อนใช้ แยกบัญชีเลยก็ได้ค่ะ) ดังนี้

1) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว  50% : ค่าที่อยู่ค่าอาหารค่าเดินทาง
2) ค่าใช้จ่ายจิปาถะหรือให้ที่บ้าน 5%
3) เงินสำหรับเก็บออม 5%
4) เงินสำหรับลงทุน 20% 
5) เงินสำหรับท่องเที่ยว 20%


 
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆคือ

สมมติเราได้เงินเดือน 30,000 บาทก่อนอื่นคือต้องเก็บเงินให้ได้ 6-12 เท่าของเงินเดือนคือ 180,000 – 360,000 บาทอดทนหน่อยค่ะช่วงแรกอย่าเพิ่งฟุ่มเฟือย

หลังจากเก็บได้เเล้วเงินเดือนแต่ละเดือนแบ่งออกเป็น 5 ส่วน

1) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 15,000 บาท: บริหารค่าที่อยู่ค่าอาหารค่าเดินทาง(สมมุติเช่าอพาร์ทเม้นท์เดือนเลย7,000 บาทค่าอาหาร6,000 บาทค่าเดินทาง2,000 บาท— เราไม่มีรถเป็นของตัวเองค่ะ) 
2) ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 1,500 บาท: อาจจะได้การ์ดงานแต่งคนนู้นคนนี้ค่าสังคม, ช้อปปิ้งเสื้อผ้าหรือของที่อยากได้หรือให้ที่บ้าน
3) เงินออม 1,500 บาท: เงินก้อนนี้ควรเป็นการออมที่มีความเสี่ยงต่ำเอาออกมาใช้ได้ง่ายกรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นฝากธนาคาร)
4) เงินสำหรับลงทุน 6,000 บาท: เงินก้อนนี้รับความเสี่ยงได้มากกว่าก้อนข้างบนเพราะต้องการหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นอาจจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม, ลงทุนในหุ้นหรือทำธุรกิจส่วนตัว
5) เงินสำหรับท่องเที่ยว 6,000 บาท: อาจจะดูเยอะสำหรับหลายๆคนแต่สำหรับคนบ้าเที่ยวอย่างปอก้อนนี้จะทำให้เราไม่เดือดร้อนเวลาต้องการจัดทริปในแต่ละปีค่ะถ้าคิดเป็นก้อนรวมก็ตกปีละ72,000 บาทซึ่งอาจจะไปยุโรปได้ยาวๆทริปนึงหรือแบ่งเป็นทริปเล็กๆไปเที่ยวไม่ไกลจากไทยได้หลายทริปมากเลยค่ะเช่นไปเที่ยวเวียดนามงบ 3 พันนิดๆ (ดูรีวิวได้ที่ https://www.travelwithpor.com/เที่ยว-da-lat-ด้วยงบ-3xxx/)

น่าจะพอเห็นภาพกันคร่าวๆแล้วนะคะอยากบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการทำให้การบริหารเงินนี้เกิดขึ้นจริงและอยู่กับเราไปตลอดช่วงแรกๆอาจจะทรมานนิดนึงสำหรับคนที่ไม่เคยบริหารเงินมาก่อนแต่ถ้าเราใจเด็ดทำได้สัก 3 เดือนจะเริ่มภูมิใจและทำต่อไปได้เรื่อยๆ 

อย่าปล่อยให้ความฝันเป็นแค่ฝันเราต้องลงมือทำมันให้เป็นจริงค่ะ 

ปล. ใครมีวิธีบริหารเงินมาใช้ในการท่องเที่ยวยังไง แชร์ได้นะคะ เผื่อเราเอาไปปรับใช้บ้าง 
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่