อย่าดราม่า (แก่ตัวไป) ก็ดูแลตัวเองได้

จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยจะเห็นได้ว่าตัวเลขผู้สูงอายุมากขึ้นทุกวัน โดยตั้งแต่ปี 2561 ประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีประมาณ 7% ของประชากรทั้งหมด และจะเพิ่มเป็น 14%ในปี 2565 และ 20% ในปี 2578 ตามลำดับ อาจจะเป็นเพราะมีข่าวการหย่าร้าง หรือจำนวนคนที่เลือกใช้ชีวิตโสดสูงขึ้น (ผมก็ด้วยครับ….555) จึงทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่มีลูก หรือไม่แต่งงานกันเยอะขึ้นพูดง่ายๆ ก็คือ คนแก่มีมากขึ้นทุกวันแต่เด็กๆ จำนวนน้อยลงนั่นเองครับ เป็นยังไงครับ  ตอนนี้เราเริ่มคิดถึงวัยหลังการทำงานกันบ้างหรือยัง แน่นอนครับผมคนหนึ่งเริ่มคิดแล้วนะ เพราะโสดสนิทแน่นอนครับ

ผมคิดว่า สิ่งแรกที่ต้องเริ่มทำตอนนี้เลยนะก่อนที่วัยหลังเกษียณจะมาถึง คือ....เริ่มดูแลสุขภาพมากขึ้นครับ ผมว่าอันดับแรกเลยนะเราควรคำนึงถึงสุขภาพเราก่อนเพราะถ้าวันนี้สุขภาพแย่ วันนั้นก็คงมีแพคเกจหยิบยื่นให้เราแน่ๆ ครับ เช่น ความดัน เบาหวาน คลอเรสเตอรอล หัวใจ และอีกมากมายครับ 
แต่ถึงแม้วันนี้เราจะมีสุขภาพดีแล้ว อีกสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมากๆ พอๆ กัน คือ เงินเก็บเพื่อวัยเกษียณนั่นเอง เพื่อนๆ ลองคิดดูนะครับ ถ้าวันนี้ผมเริ่มเก็บเงิน ที่อายุประมาณ 35 ปี ผมน่าจะยังเหลือเวลาในการทำงานแน่ๆ ก็อีก 25 ปี (เกษียณ 60 ปีครับ) แล้วหลังเกษียณล่ะครับผมจะมีอายุยืนยาวไปอีกเท่าไหร่ ผมลองให้ซัก 20 ปีละกันก็คืออายุ 80 ปีนั่นเอง เห็นไหมครับว่าผมมีเวลาในการใช้เงินหลังเกษียณอีกนานเลย ผมเลยลองเริ่มสำรวจแล้วว่าตอนนี้เงินในกระเป๋าผมมีเท่าไหร่แล้ว เพื่อนๆ ลองคิดตามนะครับ
 
ถ้าหลังเกษียณผมต้องใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาท หลังเกษียณ 20 ปี ต้องใช้เงิน 15,000  x 12 เดือนต่อปี x 20 ปี  3,6 ล้านบาท  นี่ยังไม่รวมเงินเฟ้ออีกนะครับ
 
สิ่งที่จะช่วยให้มีเงินเพียงพอได้คือ เก็บต่อเดือนให้มากและนำเงินไปลงทุนถูกต้องไหมครับ มาถึงตรงนี้ถ้าเพื่อนหันกลับไปเปิดแอพเช็กยอดเงินในบัญชีแล้วปรากฏว่า “ ยังไม่มีเงินเก็บ” ไม่ต้องตกใจหรือวิตกกังวลมากไปนะครับ 
 
สิ่งที่อยากแนะนำคือให้เริ่มสำรวจเรื่องของค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันว่าเราหมดไปกับอะไรที่ทำให้เราไม่มีเงินเก็บ และลองลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นพวกนั้น ลองทำติดๆ กันเพื่อนๆ จะเห็นว่ามีเงินเหลือในบัญชีมากขึ้นแน่นอนครับ
 
อย่างผมเงินเดือน 30,000 บาท ถ้าหักไว้เพื่อออมก่อน 20%ของเงินเดือน หรือเดือนละ 6,000 บาท แล้วนำไปลงทุนในทางเลือกที่ให้ผลตอบเฉลี่ยปีละ 5%ต่อปี (เช่น กองทุนผสม) ตอนเกษียณในอีก 25 ปี ก็มีโอกาสมีเงินก้อน 3.6 ล้านบาท จากเงินต้นแค่ 1,8 ล้านบาท (= 6,000  x 12 เดือนต่อปี x 25 ปี) ได้เลยครับ
 
ส่วนเงินที่เหลืออีกเดือนละ 24,000 บาท ก็นำไปเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวันครับ
 
แล้วถ้าโชคดีเดือนไหนมีเงินเหลือก็เก็บเพิ่มลงทุนเพิ่มนะครับ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ครับ แล้วลองกลับมาดูเงินในบัญชีที่แยกเก็บไว้ต่างหากหลังจากทำแบบนี้ผ่านไป 1 ปี เพื่อนๆ อาจจะไม่เชื่อว่าเราก็มีเงินก้อนได้ไม่ยากครับ มาถึงตรงนี้แล้วเราพอจะทราบบ้างแล้วนะครับว่า เรามีเครื่องมือที่จะช่วยเราในยามเกษียณอย่างน้อยก็ การเริ่มเก็บเงินทุกเดือนและนำเงินนั้นไปลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยจนพอใช้ในยามแก่ ส่วนถ้าเก็บไม่ได้หรือไม่พอนั้น อย่าเพิ่งตกใจไปลองสำรวจตัวเองก่อนว่าเรามีสินทรัพย์ เช่น บ้านหรือที่อยู่อาศัยที่เป็นของตนเองหรือไม่ 
 
ถ้ามีบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ลองมาทำความรู้จักกับสินเชื่อ Reverse Mortgage หรือที่เรียกว่าสินเชื่อผู้สูงอายุที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันไว้สักนิด เผื่อมีโอกาสได้ใช้ตอนเราเกษียณ โดยเป็นสินเชื่อประเภทหนึ่งเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งแตกต่างจากสินเชื่อทั่วไปคือ เป็นสินเชื่อที่ผู้กู้เป็นผู้สูงอายุโดยอาจจะรับเป็นเงินก้อนหรือทยอยรับเงินเป็นงวด จนกว่าผู้กู้จะเสียชีวิตหรือครบตามสัญญาสินเชื่อที่กำหนด ในระหว่างที่ผู้กู้ยังไม่เสียชีวิตและยังไม่ครบสัญญานั้น ผู้กู้ยังคงมีกรรมสิทธิ์และอยู่อาศัยได้ตามปกติ และไม่ต้องชำระสินเชื่อคืนจนกว่าผู้กู้จะเสียชีวิต หรือหากครบกำหนดแล้วผู้กู้ก็ยังคงพักอาศัยในหลักประกันนี้ได้ จึงถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่คนโสดอย่างเราสามารถเลือกได้ ในกรณีที่เราอาจจะไม่สามารถเก็บเงินได้พอใช้ยามเกษียณ
 
บ้านพักคนชรา ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราก็จำเป็นต้องมีเงินก้อนหนึ่งเพื่อที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อเข้าไปพักอาศัยด้วย ส่วนราคาก็มีหลากหลายเริ่มต้นตั้งแต่หลักแสนต้นๆ ไปจนถึงหลักสิบล้านก็มี แต่ก็นั่นแหละเราต้องเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วันนี้เพื่อที่จะได้มีเงินไปจ่ายในการเข้าพักอาศัยโดยที่ไม่ต้องเป็นภาระของลูกหลานนะครับ เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้ามนุษย์เงินเดือนอย่างผมต้องการใช้วิธีนี้ก็อาจต้องรีบเก็บเงินอย่างน้อยก็ 5,000-15,000 ต่อเดือนแหละครับ ถ้าต้องการอยู่ที่พักที่สบายๆ หน่อย
 
หรือทางเลือกสุดท้ายถ้ามีเงินแต่ไม่อยากอยู่บ้านพักคนชรา มีบ้าน อยากอยู่บ้านตัวเองงั้นคงต้องหันมาพึ่งลูกหลาน หรือหาพยาบาลมาเฝ้าและพยาบาลอยู่ที่บ้านซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะขึ้นอยู่กับราคาของศูนย์พยาบาล ณ ตอนนั้นซึ่งผมคิดว่าก็คงต้องมีเงินไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
 
มาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่าจากเรื่องราวที่เล่ามา ไม่อยากให้เพื่อนต้องรู้สึกนอยด์กับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงนะ แต่อย่างน้อยผมคิดว่าถ้าเรารู้จักเตรียมตัวล่วงหน้า ก็จะช่วยเราได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เราไม่ทราบหรอกว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่การที่เราเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าก็คงจะบรรเทาเรื่องหนักให้เบาลงได้ไม่ยาก ลองเริ่มเก็บเงินเพื่อเกษียณตั้งแต่วันนี้ หรือตั้งแต่วันเงินเดือนออกรอบหน้ากันนะครับทุกคน ด้วยความปรารถนาดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่