เภสัชกรวัย30 มีฝันอยากเป็นหมอ ควรทำตามฝันดีไหม

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ ผมมีเรื่องสำคัญที่คิดไม่ตก อยากรบกวนขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆชาวPantip น่ะครับ
เข้าเรื่องเลยนะครับ ผมมีความฝันสูงสุดของชีวิตอย่างหนึ่งคือ การได้ไปใช้ชีวิตเป็นหมออยู่ในหมู่บ้านบนเขาซักแห่งหนึ่งที่ห่างไกล ปลูกบ้านเล็กๆซักหลังอยู่ สร้างคลินิกเล็กๆแห่งหนึ่ง และโรงเรียนเล็กๆ ไม่ใช่สิ อาจเรียกโรงเรียนไม่ได้ เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่สามารถสอนหนังสือได้ วันๆหนึ่งผมก็ไปประจำคลินิกคอยช่วยรักษาชาวบ้านฟรี แล้วก็แบ่งเวลา 2-3 ชม.ไปสอนหนังสือเด็กๆที่ด้อยโอกาสให้ฟรี ส่วนอาหารก็กินแบบประหยัดๆง่ายๆปลูกผักทำกินเอง ซักเดือนสองเดือนก็อาจจะเดินทางไปช่วยตรวจคนไข้ไปให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองกับชาวบ้านหมู่บ้านอื่นที่ห่างไกลซักครั้งหนึ่ง แค่จินตนาการภาพฝันนี้ก็รู้สึกสุขกายสบายใจแล้ว ถ้าทำได้ผมคิดว่าผมได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว

อันนั้นคือ dream งั้นมาดูfactกันครับ ตอนนี้ผมเป็นเภสัชกรสายบริบาล เนื่องจากสอบหมอไม่ติดครับด้วยสาเหตุหลายๆอย่างและตอนม.ปลายผมยังไม่มีpassionที่แรงกล้าเพียงพอครับ ตอนนี้ผมอายุ27ปีย่าง28 เป็นเภสัชกรมา2ปีครึ่งแล้วครับ และได้เก็บความอยากเป็นหมอเข้ากุมานาน จนไม่นานมานี้อยู่ๆมันก็ปะทุออกมาและก่อเกิดภาพฝันที่ผมเล่าไปตอนต้นครับ

พื้นฐานผมไม่ใช่คนรวยครับ พอมีพอกิน ตอนนี้ผมเพิ่งเปิดร้านยาเล็กๆ ของตัวเองมาได้ไม่กี่เดือน รายได้ไม่มากเท่าตอนทำให้กับร้านยาเชน แต่สบายใจกว่าและมีเวลามากกว่าครับ ผมจึงตั้งใจไว้ว่าจะอ่านหนังสือทบทวนความรู้เภสัชทั้งหมดซัก 1 ปี เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองโง่ลงมากหลังจบมาทำงาน เพราะตอนทำงานผมเจอผู้ป่วยแค่ไม่กี่โรคเองครับผมจึงลืมความรู้ในส่วนอื่นๆไป และผมตั้งใจจะอ่านความรู้ทางการแพทย์อื่นๆ เพิ่มเติมและวิชาพื้นฐานอื่นๆอีก 1 ปี แล้วจึงไปสอบหมอ กสพท. ครับ ตอนนั้นน่าจะอายุประมาณ30ปีครับ อ่อผมทราบว่ามีแพทย์ NT ที่เรียนแค่5ปี แต่มหา'ลัยที่เปิดไกลบ้านผมมากครับ ผมไม่สะดวกจริงๆ รู้สึกไม่คุ้มกับการแลกกับประหยัดเวลาเรียนไป1ปี

ความกังวลของผมคือ
1. ผมไม่แน่ใจว่าผมคิดถูกไหม ผมคิดว่าบริบทในภาพฝันผม การเป็นหมอเฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อน่าจะมีประโยชน์มากที่สุด และถ้าเชี่ยวชาญการรักษาเด็กด้วยน่าจะดี เพราะร่างกายเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ และโรคบางอย่างก็พบมากในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผมจึงวางแผนว่าหลังจบ6ปี และจบinternแล้ว ผมจะต่อแพทย์ประจำบ้านด้านเด็ก แล้วก็ต่อเฉพาะทางfellowโรคติดเชื้อครับ หลังจากจบก็เป็น staff ใช่ไหมครับ ถ้าตามนี้ผมก็น่าจะรักษาโรคทั่วไปและโรคติดเชื้อยากๆได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กใช่ไหมครับ เรียนจบทั้งหมดทั้งมวลน่าจะอายุไม่เกิน45ปี ก็ทำงานเก็บเงินอีก5-10ปี แล้วค่อยเอาเงินที่หามาไปทำตามความฝันครับ เพราะผมตั้งใจรักษาชาวบ้านและสอนเด็กๆฟรี ก็ต้องมีค่าเครื่องมือ+ค่ายา ค่าหนังสือ สรุปคือได้ทำให้ฝันเป็นจริงอายุ 55ปี ทำไปจนสิ้นลมหายใจครับ อย่างน้อยน่าจะซัก10-20ปีนะครับ
2. เงินที่ผมหาได้ตอนทำงานเป็น staff 5-10ปี จะเพียงพอเอามาใช้ช่วยชาวบ้านได้แค่ไม่กี่ปีไหม ต้องหักค่าสร้างบ้าน+คลินิก+ห้องเรียน อย่างที่ผมบอกพื้นฐานผมแค่พอมีพอกินครับ แม้ไม่เคยต้องอดหรืออยู่อย่างลำบาก แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้มากมายครับ ดังนั้นผมคาดว่าเงินที่หาในช่วง5-10ปีนั้นไม่น่าช่วยชาวบ้านได้หลายปี หรือผมควรคิดทำธุรกิจอื่นควบคู่ไปด้วย พอถึงเวลานั้นธุรกิจผมรันเองไป ผมก็เอาเงินจากธุรกิจนั้นมาช่วยชาวบ้าน แต่ประเด็นคือผมไม่รู้จะทำอะไรดี มีคิดๆบ้าง แต่ยังไม่ได้เริ่มเลย แล้วถ้าเริ่มตอนนี้กว่าธุรกิจจะสำเร็จจนรันเองไม่มีทางทันใน2ปีแน่ และผมทราบดีว่าหมอไม่ใช่เรียนง่ายๆและไม่มีเวลามาทำธุรกิจอื่นคู่ไปด้วยได้แน่ แค่เวลาจะนอนยังแทบไม่มีเลย
3. พ่อแม่ของผมท่านอายุมากแล้ว และแม่ของผมก็ป่วยอยู่ มีปัญหาเรื่องการเดินและจิตใจไม่แข็งแรงนัก และผมเป็นลูกคนเดียวที่จะอยู่เคียงข้างท่านได้ แม้ผมจะมีพี่-น้องแต่ก็หวังพึ่งให้ช่วยดูแลพ่อแม่ไม่ได้ครับ ปัญหานี้ทำผมเครียดมากครับ ถ้าผมไปเรียนหมอ ผมจะแทบไม่มีเวลากลับมาเยี่ยมท่านเลย แล้วใครจะดูแลท่าน เหมือนท่านรอผมมาตลอดตั้งแต่ผมไปเรียนจนทำงานก่อนที่ผมจะมาเปิดร้านตัวเองและพาท่านมาอยู่ด้วย จริงๆ พี่ผมคนหนึ่งก็อาจทำได้ แต่ก็แค่ช่วงเย็น เพราะกลางวันต้องทำงาน และบางทีต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน พออ่านถึงตรงนี้ผมว่ามีเพื่อนหลายๆคนคงบอกให้ผมทิ้งฝันไปเถอะ ผมก็คิดว่าอาจจะต้องเป็นแบบนั้น ผมอับจนหนทางจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะหาทางออกให้ปัญหานี้ยังไงจริงๆครับ

สุดท้ายนี้ผมจะบอกว่าผมทราบแก่ใจครับว่าทุกๆอาชีพมีเกียรติไม่ต่างกันเลย และอาชีพเภสัชกรก็เป็นอาชีพหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้เช่นกัน แต่ในความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่ายังมีข้อจำกัดมากมาย เราเรียนเภสัชกรรมมา แน่นอนเราเรียนเรื่องโรคและการรักษามา แต่ไม่ได้ลึกและละเอียดเท่าหมอ โดยเฉพาะการวินิจฉัยเราเรียนน้อยกว่าหมอมากๆ เพราะเภสัชก็จะเรียนเน้นเรื่องของยา ทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับยาเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ ดังนั้นไม่แปลกที่ต่างประเทศจะให้หมอวินิจฉัยและสั่งยาแล้วคนไข้ถือใบสั่งยาไปซื้อกับเภสัชกรที่ร้านยา หรือมองใกล้ๆ โรงพยาบาลคนไข้หาหมอเสร็จก็มารับยากับเภสัช ดังนั้นทุกวันนี้ที่ผมเป็นเภสัชกรร้านยาอยู่ ถ้าโรคทั่วไป เช่น หวัด ปวดกล้ามเนื้อ ท้องผูก ท้องเสีย ถ้าซักแล้วไม่มีสัญญาณอันตราย ผมก็จ่ายยารักษาเขาได้ แต่หากซักเจอสัญญาณอันตรายผมก็ส่งต่อคนไข้ไปโรงพยาบาล แต่ประเด็นคือถ้าผมหลุดล่ะ ถ้าความรู้ที่ผมเรียนรู้มามันไม่เพียงพอล่ะ ถ้ามันยังมีสัญญาณอันตรายอื่นๆที่ผมไม่รู้และไม่ได้ซักล่ะ ถ้าจำเป็นต้องตรวจร่างกายเพื่อประกอบการวินิจฉัยที่แม่นยำล่ะ ผมจึงรู้สึกว่าความรู้ที่ผมมียังไม่เพียงพอกับการรักษาคนไข้ การอ่านเพิ่มเองก็ย่อมทำได้ แต่ดีพอหรือเปล่า แม้ผมจะมีพื้นฐานด้านการแพทย์ก็ตาม แต่ถ้าอ่านเองแล้วเข้าใจเองแบบผิดๆล่ะ ถ้าการรักษาคนไข้มันง่ายขนาดนั้นคงไม่ต้องมีการเรียนการสอนแพทย์หรอกจริงไหมครับ แม้จะอ่าน guideline รู้เกณฑ์วินิจฉัย รู้การรักษา แต่นั่นดูเป็นสูตรสำเร็จที่ไม่ใช่เอาไปใช้จริงง่ายๆ ผมคิดว่าหมอต้องเชื่อมโยงความรู้หลายอย่างมากครับในการรักษาคนคนหนึ่งและการฝึกฝนและประสบการณ์สำคัญมาก ไม่ใช่แค่ถามคนไข้ตาม check list แล้วจ่ายยาตาม guideline เท่านั้น

สำหรับเรื่องการไปทำงานเป็นเภสัชโรงพยาบาลนั้นผมได้ลองทำตอนจบมาใหม่ๆได้4-5เดือนครับ และรู้สึกว่าผมทำอะไรได้ไม่เต็มที่ครับ ผมพยายามใช้ความรู้ที่มีช่วยคุณหมอตรวจทวนการสั่งใช้ยา พอเจอที่สงสัยผมก็โทรไปถามคุณหมอเพื่อคอนเฟิร์มครับ คุณหมอบางท่านดีมากครับกรุณาอธิบายให้ผมฟังว่าทำไมจึงยืนยันสั่งแบบนั้น บางท่านก็ยอมรับเหตุผลของผมและเปลี่ยนแปลงคำสั่งใช้ยาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น แต่บางท่านก็ยืนยันคำสั่งเดิม ไม่อธิบายใดๆ และยังด่ากลับด้วยครับ ซึ่งในกรณีนี้ด้วยความเคารพผมก็ยังไม่แน่ใจว่าคนไข้ได้ยาที่เหมาะสมจริงๆหรือไม่ แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก ได้แต่ให้คำแนะนำแก่คนไข้ให้ดีที่สุดเท่านั้น ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งกว่าคุณหมอนะครับ แต่เราทุกคนล้วนผิดพลาดกันได้ครับ คุณหมอก็เป็นคนก็ย่อมผิดพลาดกันได้ เราจึงต้องช่วยๆกันดูครับ 

ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าผมควรตัดสินใจยังไงกับชีวิตดี จึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ครับ หากเพื่อนๆชาวpantipท่านใดจะกรุณาช่วยชี้แนะ ผมจะขอบพระคุณมากๆครับ และขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ

ปล.1 ผมค่อนข้างมั่นใจมาก ว่าในวัย30ที่ผมตั้งใจจะสอบหมอ กสพท. ผมจะสอบติดครับ
ปล.2 ความฝันผมดูเหมือนผมเป็นพวกเพ้อเจ้อโลกสวย แต่จริงๆ ผมอาจเป็นแค่คนเพ้อเจ้อแต่ไม่ใช่พวกโลกสวยแน่ๆครับ เพราะโลกของผมมันไม่เคยสวยจริงๆเลย ผมใช้ความพยายามอย่างมากมองให้มันสวยมาตลอด และผมก็อยากทำให้มันสวยจริงๆซักทีน่ะครับ 

***ขอเพิ่มข้อมูลนะครับ เรื่องกังวลใจของผมมีเพียง3ข้อด้านบนที่แจ้งไว้ครับ สำหรับ
1. เรื่องเงินเรียนต่อหมอ จากการประเมินรายได้ รายจ่าย และเงินเก็บที่มีอยู่ คาดว่าในวัย30 ผมจะเงินเก็บประมาณ 1 ล้านบาทครับ น่าจะเพียงพอถึงตอนเรียน resident ใช่ไหมครับ เรียนมหา'ลัยรัฐบาลน่ะครับ ผมกินอยู่ง่ายครับ นิสัยประหยัดเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนพ่อแม่ผมมีเงินมากกว่าผมหลายเท่าครับ และยังมีค่าเช่าที่เก็บได้ทุกเดือนครับ คิดว่าเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายของท่านทั้งสองเองครับทั้งค่ากินค่าใช้และค่ารักษาพยาบาลครับ คิดว่าไม่น่าต้องกังวลนะครับ
2. ร่างกายผมสมบูรณ์แข็งแรงดีครับ ไม่มีโรคประจำตัวครับ ผมพยายามใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองครับ ผมคิดว่าในวัย30-40ปี ผมอาจจะยังสามารถ อดหลับอดนอนติดต่อกันถึง 48 ชม.ได้นะครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจครับ หากท่านใดอายุ30กว่าแล้วมีประสบการณ์อดนอนต่อเนื่องนานๆ จะช่วยกรุณาแชร์ให้ทราบ จะขอบพระคุณมากครับ
3. ผมทราบดีครับว่าเรียนหมอนั้นยากมาก ยิ่งเรื่องต่อเฉพาะทางอีกยิ่งยาก แต่ผมเชื่อมั่นว่าผมทำได้ครับ ผมในตอนนี้และผมในตอนม.6 ต่างกันมากๆครับ ทั้งนิสัย ความคิด และความมุ่งมั่น ที่สำคัญคือความคมชัดของภาพฝันในตอนนี้กับตอนนั้นครับ
4. ผมไม่กังวลเรื่องชีวิตอันน่าเบื่อหน่ายบนเขาเลยครับ สำหรับผมแค่มีหนังสือกับกระดาษดินสอไว้วาดรูปเล่นและเครื่องดนตรีง่ายๆอย่างเช่นKalimbaก็เพียงพอแล้วครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
เรื่องเดินตามฝันดูคุณมีการวางแผนมาหมดแล้ว ปัญหาหลักๆน่าจะเป็น คนที่จะมาดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการส่งท่านไปอยู่บ้านพักคนชรา (เรียกเป็นทางการคือ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ) ที่เป็นเกรดสูงๆหน่อย ซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง ถ้าคุณสามารถหาเงินตรงนี้ได้ เราว่าดูมีทางออกอยู่ค่ะ

ญาติเราครอบครัวนึง มีแม่อายุมาก 80 กว่าที่ป่วยเป็นเบาหวาน ต้องเข้าออก รพ ตลอดเวลา หลังจากที่ลองผิดลองถูกในการรักษาใน รพ และกลับมาพักฟื้นที่บ้านแต่ สุขภาพแม่เค้าก็สามวันดีสี่วันไข้มากๆ ในขณะที่ลูกๆ 3 คน คือก็ต้องทำงานตลอดเวลา แต่ลูกๆเค้าเรียนสูงทุกคน มีคนนึงเป็นหมอเฉพาะทางที่ต้องการตัวมากๆแทบไม่มีเวลามาดูแลแม่เลย สุดท้ายครอบครัวเลยปรึกษากันและส่งแม่ไปอยู่ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ที่บริหารโดยแพทย์ (ค่าใช้จ่ายเดือนละเกือบห้าหมื่น ได้มากจากลูกๆที่ทำงานส่งเงินมาให้ทุกเดือน) แต่การดูแลคือเรียกว่า ดีเลิศ มีมืออาชีพคอยดูแลเรื่องอาหารและยา มีแม้กระทั่งหมอประจำตัว มีกิจกรรมต่างๆ มีสังคม และลูกๆก็มาผลัดมาเยี่ยมตอนเย็นสลับๆวันกันตามแต่ที่ตกลงกัน

พ่อแม่เราไปเยี่ยมมา หลังจากได้คุยกับคุณแม่และลูกๆของครอบครัวนี้แล้ว แล้วมีมุมมองเรื่องบ้านพักคนชราเปลี่ยนไปเลยค่ะ แถมสรุปพ้องกันอีกว่าถ้าอายุมากๆ ก็จะมาอยู่แบบนี้ด้วย เพราะมันลงตัวทุกฝ่าย สุขภาพของคุณแม่เค้าก็ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา จากแต่ก่อนแทบจะเป็นผู้ป่วยติดเตียง ผิวหนังก็ถูกเบาหวานเล่นงาน ตอนนี้คือเหมือนคนแข็งแรงทั่วๆไปเลย (เพราะถูกควบคุมอาหารด้วย และคนดูแลก็คอยให้กำลังใจด้วย) แม้แต่แม่เค้าเองยังบอกเลยว่าชอบที่นี่มาก

น่าจะเป็นอีกทางเลือกนึงนะคะ แต่ปัญหาน่าจะเป็นเรื่องเงินมากกว่า ซึ่งถ้าบริหารชีวิตตัวเองดีๆ คนที่เรียนสูงๆอย่าง จขกท การจะหาเงินได้มากก็ดูน่าจะยังมีโอกาสตามฝันได้อยู่ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่